บทที่ 16 : หน้าด้านฉิบหาย

2272 คำ
“สำหรับนิสิตที่มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมสามารถตามไปสอบถามที่ห้องพักอาจารย์ได้เลยนะครับ พี่จะอยู่ถึงประมาณบ่ายสามโมง สำหรับวันนี้ขอบคุณมากครับ” และเมื่อพี่วิทยากรพิเศษกล่าวขอบคุณและวางไมค์ในมือลง นิสิตก็แตกเป็นสองส่วน เพราะวันนี้เป็นการพูดเรื่องฝึกงานในสายคมนาคมจึงมีนิสิตที่สนใจฝึกงานในภาคเรียนฤดูร้อนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย อีกส่วนก็คือพวกที่ไม่สนใจและกำลังหิวโซ และแน่นอนว่ากลุ่มของอาร์เจเป็นกลุ่มอย่างหลัง “ไปกินข้าวกัน น้ำอิงอยากกินปิ้งย่างมีใครสนใจมั้ย” นธีลุกขึ้นยืนแล้วหันมาเชิญชวนเพื่อน ๆ “ได้” เป็นปูนที่พยักหน้าแล้วตอบตกลงก่อนใคร ก่อนจะหันไปหาเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ถัดไปจากเขา “ดะ...” “กูกับไอ้ตี๋มีนัดล่ะ” “ฮะ? กูมีนัดเหรอ” อาร์เจครางเสียงอย่างงุนงง ขณะที่เมื่อครู่เขากำลังจะตอบรับไปด้วยอีกคนหนึ่ง เค้นเสียงยังไม่ทันได้เป็นคำแขนใหญ่ของมาร์‍ชก็เกี่ยวกระหวัดเข้าที่ต้นคอแล้วเอ่ยปฏิเสธให้อย่างเรียบร้อย อีกทั้งยังบอกว่าเขานั้นมีนัดทั้งที่ตัวอาร์เจเองก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันว่าไปมีตอนไหน “เออ วันนี้มึงต้องไปบ้านกู” มาร์‍ชพูดหน้ามึน ก่อนส่งสายตามาหาเขาประมาณว่า มึงลืมได้ยังไง “และรับพี่กูกลับบ้าน” “ไม่ใช่ล่ะ” อาร์เจดึงมือเพื่อนตัวเองออกจากตัว เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองไปตกลงปลงใจด้วยตอนไหน แบบนี้มันมัดมือชกชัด ๆ “สรุปเอาไง น้ำอิงหิวแล้วเนี่ย...” นธีย่นคิ้วเมื่อเพื่อนอีกสองคนดูจะตกลงกันไม่ได้ซักที เขาขยับเข้าไปหาแล้วทำทีกระซิบกระซาบ “เดี๋ยวแม่แมวโมโหหิว กูซวยอีก ด่วน ๆ เลยเอายังไง” “ตามนั้น” มาร์‍ชยังคงตอบแทนอาร์เจที่พูดไม่ทันเขา “แล้วข้าว...” “แดกบ้านกู...เดี๋ยวกูให้เจ๊ทำกับข้าวให้กินเอง เจ๊กูทำกับข้าวเก่งที่สุดแล้ว” มาร์‍ชพยักหน้ายิ้ม ๆ แต่แฝงไปด้วยความกดดัน ก่อนจะพูดโกหกอย่างหนักแน่นไปอีกว่า “ตั้งแต่เกิดมากูยังไม่เคยเจอใครทำอาหารได้น่ากินเท่าเจ๊กูเลยนะ” น่ากิน แต่กินได้ไหมอีกเรื่องหนึ่ง ประโยคนี้มาร์‍ชคิดในใจและรับรู้อยู่คนเดียว คำพูดโฆษณาชวนเชื่อของมาร์‍ชทำให้ปูนที่ยืนฟังมานานถึงกับอยากรู้ “พี่มึงเป็นเชฟเหรอ ?” “ยิ่งกว่าเชฟอีก !” มาร์‍ชเผลอพูดเสียงดังกลัวว่าเพื่อนจะไม่เชื่อคำพูดโกหกของเขา แต่นั่นเป็นพิรุธที่นธีถึงกับหัวเราะในลำคอออกมา “ไอ้เหี้ยมาร์‍ชแม่งแปลก ๆ ปกติเหม็นเบื่อพี่ตัวเองอย่างกับอะไร นี่พี่มึงล้างสมองอะไรมึงมารึไง ถึงรักพี่แบบนี้เนี่ย” “จริง...เมื่อก่อนเรียกพี่ตัวเองว่างูพิษอยู่เลย” “กูหลอนหมดล่ะ” นธีรู้สึกขนลุกขึ้นมาฉับพลัน ไม่รู้อยู่ดี ๆ เกิดอาการรักพี่รักน้องกำเริบหรือยังไง “งูอะไรไอ้ปูน พูดดี ๆ นะเว้ย ถ้าเป็นงูก็ต้องเป็นงูที่สวยที่สุด !” มาร์‍ชรีบตอบจนลิ้นแทบจะพันเป็นเกลียว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะถึงคนอื่นจะมองออกหรือต่อให้อาร์เจจะมองออกด้วยอีกคนก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา เพราะยังไงหน้าที่ของเขาก็มีแค่พาตัวเพื่อนไปที่บ้านเท่านั้น ที่เหลือมันนอกเหนือจากหน้าที่ของเขาไปแล้ว “สรุปตามนั้นนะ ไปไอ้ปูน” นธีรีบรวบรัดก่อนแตะไหล่ปูนแล้วหันกลับไปหาคนตัวเล็กที่หน้ายุ่ง ๆ ไปแล้วนิดหน่อยเพราะใกล้ถึงจุดเดือดของความหิว ส่วนมาร์‍ชก็ยิ้มแล้วโบกมือร่ำลาเพื่อนไหว ๆ “วันนี้มึงเป็นเหี้ยอะไร ตั้งแต่เช้าแล้วนะ” อาร์เจพึมพำส่งสายตาหงุดหงิดไปให้เพื่อนที่เดินผิวปากอารมณ์ดีออกมาจากตึกด้วยกัน มองจากดาวอังคารก็ยังรับรู้ได้ว่าเพื่อนจงใจดึงเขาออกมาชัด ๆ “ก็เจ๊กูใส่กระโปรงนั่งมอไซต์ไม่ถนัด” “แล้วปกติเขากลับยังไงล่ะ เขาก็มีรถนี่” “ก็วันนี้ไม่ปกติไง รถเจ๊แกถึงเวลาเข้าศูนย์พอดี เอาน่า...มึงก็ไปรับพี่กูหน่อยเป็นไรไปล่ะ” “...” อาร์เจหน้ายุ่ง มันก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่เขาแค่รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่มันไม่ชอบมาพากล มาร์‍ชกำลังต้องการทำอะไรซักอย่าง ซึ่งดูท่าว่าไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ มาร์‍ชเห็นอาร์เจย่นคิ้วไม่คลายก็เห็นใจไปแวบเดียว แวบเดียวเท่านั้นแหละแล้วก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไรอีก จึงตบไหล่เพื่อนเป็นการปลอบใจ “วันนี้กูเลี้ยงข้าวเอง หาไม่ได้บ่อย ๆ นะบอกไว้ก่อน” “มีตัง ? ไหนว่าไม่มีจะแดกแล้วไง” “เฮ้ย...ใครมันไปพูดแบบนั้นกันวะ เสี่ยมาร์‍ชตังเต็มเป๋า” อาร์เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนส่ายหน้าระอายามที่เพื่อนตบไปที่กระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วยักคิ้วหงึก ๆ ให้ด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความอวดดี ซึ่งเขาก็ไม่อยากจะเอาความอะไรกับคนที่ไม่เอาอะไรเลย ยกเว้นเอาแต่ใจแบบมาร์‍ช เดินแยกกันไปหารถของตัวเองซึ่งจอดกันอยู่คนละฟากของตึก อาร์เจก็เดินเข้าไปที่รถแล้วเก็บของด้านในนิดหน่อยก่อนที่จะไปจอดอยู่หน้าตึกคณะบัญชีฯ และนิ่งอยู่แบบนั้นซักพักอาร์เจก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้ถามว่าที่มาร์‍ชบังคับให้เขามารับพี่สาวนั้น เจ้าตัวรู้หรือยังว่าเขามา มือหนาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่ถูกวางไว้ช่องวางแก้วแล้วกดเข้าไปดูแอปพลิเคชันล่าสุดที่ถูกมาร์‍ชเข้าไปยุ่งวุ่ยวาย คิ้วหนาเลิกขึ้นนิดหน่อยที่เพิ่งเห็นว่าแอ็กเคานต์ของเขาที่ถูกมือดีนำไปกดติดตามมัดหมี่นั้นอีกฝ่ายก็กดติดตามเขากลับมาเช่นกันเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่เพราะเขานั่งฟังวิทยากรอยู่จึงยังไม่ได้จับโทรศัพท์ เพราะต่างฝ่ายต่างติดตามกันและกันไปแล้ว อาร์เจจึงจิ้มไปที่ Direct Message เพื่อส่งไปให้อีกคนรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา ‘พี่หมี่ผมรออยู่หน้าตึกครับ’ ยังไม่ทันที่นิ้วจะได้แตะเพื่อกดส่งไป หางตาคมก็เห็นผู้หญิงตัวเล็กผมตรงยาวหน้าละม้ายคล้ายเพื่อนจอมบงการที่เขากำลังรออยู่กำลังเดินออกมาพร้อมรุ่นพี่อีกสองคนที่เขาเคยเห็นไปเที่ยวกับมัดหมี่เมื่อคืนนี้ และอีกด้านก็ขนาบข้างไปด้วยผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งอีกคน ซึ่งจากระยะห่างระหว่างพวกเธอกับรถที่เขาจอดอยู่เห็นแค่ปากที่ขยับแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เรียวขาสวยเดินลงบันไดมาหยุดที่ฟุตบาทไม่ห่างจากรถของอาร์เจมากนัก แต่เหมือนมัดหมี่จะไม่ทันได้สังเกตเห็นเธอก็โบกมือร่ำลาเพื่อนอีกสองคนที่แยกกลับไป แต่ผู้ชายด้านข้างก็ยังไม่ยอมไปไหน คล้ายว่าจะขอยืนรอเป็นเพื่อน อาร์เจมองด้วยใบหน้าเรียบ ๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปก่อนถอนหายใจแล้วโยนโทรศัพท์ที่ยังคงค้างข้อความไม่ทันได้กดส่งไปที่ช่องวางแก้วน้ำด้านซ้ายมือ แต่เพราะในนั้นมีของอยู่มันเลยเกิดเสียงดังขึ้นไม่รู้จอร้าวหรือเปล่า เขาเค้นหัวเราะในลำคอและส่ายหน้าเบา ๆ ที่นึกภาพมาร์‍ชทำตัวตลกตั้งแต่เช้าโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เขามารับพี่สาวของมัน ทำอะไรไม่เข้าท่า...ไม่เห็นจำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้นเพื่อหาคนมารับเลยนี่...แค่มัดหมี่ปรายตาผู้ชายก็พร้อมต่อแถวอาสาไปส่งอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง มัดหมี่ “หมี่รอใครเหรอ” ภาค เพื่อนในสาขาเอ่ยถามขณะที่เธอกำลังโบกไม้โบกมือลาเนยกับจูนที่กำลังไปหามื้อกลางวัน แต่เธอนั้นต้องกลับบ้านเนื่องจากมาร์‍ชรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะพาอาร์เจกลับไปด้วย และเดี๋ยวน้องชายจะพยายามทุกวิถีทางที่จะให้อาร์เจมารับเธอให้ได้ แน่สิ...เสียเงินตั้งสามหมื่น งานก็ต้องเดินบ้าง “รอ...” มัดหมี่ลากเสียงยาวเนื่องจากไม่รู้จะนิยามยังไงดี แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนในคณะคนนี้จะมองเลยจากใบหน้าเธอแล้วไปหยุดที่ศีรษะ “เดี๋ยวนะ...เหมือนจะมีอะไรติดผมเลย แมลงหรือเปล่าอ่ะ” “ว้าย ! จริงเหรอ” มัดหมี่ตัวแข็งทื่อ เธอเกร็งคออยู่อย่างนั้นแล้วช้อนตามองร่างสูง กลัวว่าหากเงยหน้าหรือขยับตัวแล้วจะถูกกัดเอาได้ ถึงแม้ว่าจะไม่อยากให้เขาเข้าใกล้เพราะแอบรู้มานิดหน่อยจากจูนว่าภาคน่าจะคิดเกินกว่าเพื่อน แต่เพราะยังมีโปรเจ็คจบที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่จึงไม่อาจเลี่ยงเขาจนน่าเกลียดได้ แต่ถึงยังไงนี่ก็เป็นสถานการณ์จำเป็น “เอาออกให้ทีได้ไหม” “แป๊บนะ ขยับมาสิ เดี๋ยวเราเอาออกให้” อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ เอ็นดูคนตัวเล็กที่เริ่มเบะปากตัวแข็ง “ไม่เอา ภาคนั่นแหละขยับมา เร็ว ๆ เดี๋ยวมันกัดเรา” มัดหมี่ทำหน้าตาคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ทำให้ภาคพยักหน้าแล้วขยับเข้าไปใกล้คนตัวเล็กก่อนจะยกมือกำลังจะหยิบบางสิ่งออกจากหัวเธอ แต่ทั้งคู่ก็สะดุ้งโหยงแล้วถอยห่างจากกันโดยอัตโนมัติ ปิ้น ! ทั้งสองหันไปทางต้นเสียงลืมสิ่งที่จะทำไปชั่วขณะ และเมื่อมัดหมี่เพ่งสายตาฉงนไปยังรถคันหรูที่จอดนิ่งเทียบฟุตบาตอยู่ก็หรี่ตาพยายามมองทะลุกระจกแล้วแต่มันค่อนข้างจะทึบเพราะฟิล์มดำจนมองไม่เห็นด้านใน ว่าเจ้าของรถมีปัญหาอะไรหรือเปล่า จะว่ามีหมาขวางทางก็ไม่น่าจะใช่ วืด... มัดหมี่ชะงักเมื่ออีกฝ่ายคงเห็นว่าเธอจ้องอยู่นานก็ยังไม่รู้ตัวซักทีจึงลดกระจกด้านข้างลงเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเอาการของเพื่อนน้องชาย “อ๊ะ...ตะ” ชื่อที่เกือบหลุดออกจากปากเล็กตามความเคยชินทำให้มัดหมี่สะดุดไปเมื่อนึกขึ้นได้ “อาร์เจ” “หมี่รู้จักเหรอ” ภาคที่ยืนงงยังไม่เข้าใจเอ่ยถาม “อือ...เขาคือคนที่เรารออยู่น่ะ” มัดหมี่ได้ทีก็พูดออกไปแบบนั้นชักจูงให้เขาคิดไปในแบบที่เธอต้องการ ก่อนจะยกมือโบกไปมาเพื่อเดินเข้าไปหาอีกคนซึ่งนั่งอยู่ในรถ “ขอบคุณที่รอเป็นเพื่อนนะ กลับดี ๆ ล่ะ” ภาคยังไม่ทันได้ยกมือลาด้วยซ้ำมัดหมี่ก็หันหลังแล้ววิ่งไปที่รถคันนั้นทันที คล้อยหลังเธอเขาก็ถอนหายใจเซ็งอย่างนึกเสียดาย คนตัวเล็กหยุดอยู่ที่รถคันใหญ่แล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ อาร์เจส่งสายตาให้เธอคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ดูเหมือนเขากำลังจะเลื่อนกระจกฝั่งเธอขึ้นแต่ก็ชะงักไปแวบหนึ่งพูดกับเธอเป็นประโยคแรก แต่ไม่ใช่คำทักทาย “เอี่ยวหัวมาทีครับ” “หือ ? ทำไมคะ...เอ๊ะ !” มัดหมี่กะพริบตาปริบ ๆ แต่แล้วเธอก็เพิ่งจะนึกได้ว่าบนหัวของเธอมีแมลงอยู่นี่นา และไม่รู้ว่ามันออกไปหรือยัง ส่งผลให้นั่งคอแข็งอีกครั้งพลางพูดปากคอสั่น “แมลง...เอามันออกไปที” อาร์เจเห็นคนยืดตัวหลังตรงดิ่งของคนตัวเล็กก็ต่อจะมองออกว่ามัดหมี่คงกลัวสิ่งที่เธอหลุดปากพูดสิ่งนั้นออกมาพอสมควร จนเขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นผู้ชายซึ่งยังคงยืนอยู่ด้านนอกไม่ยอมไปไหนแถมจ้องตามมัดหมี่ขึ้นมาแม้ว่าตัวเธอจะขึ้นรถมาแล้วก็ตาม ดวงตาคมจึงจ้องตอบกลับไปด้วยแววตาไม่เป็นมิตร เพราะท่าทางคนตัวเล็กจะกลัวจนขึ้นสมอง บอกให้เอี่ยวตัวมาก็ไม่ยอม จึงต้องเป็นเขาที่ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเสียเอง เรียวนิ้วหยิบบางสิ่งบนหัวของเธอออกให้แล้วชูมันขึ้นมาตรงหน้าทำให้คนตัวเล็กผงะไปด้านหลัง แต่พอเธอเพ่งมองดี ๆ ก็พบว่ามันคือ... “ใบไม้นี่” “ครับ ใบไม้ไม่ใช่แมลงหรอก แค่เหมือนเฉย ๆ มั้ง” มัดหมี่ย่นคิ้วกับสิ่งที่อาร์เจสันนิษฐาน เธอรู้สึกค้านในใจว่าไม่เห็นเหมือนตรงไหน ไม่ว่าจะตะแคงข้างหรือตีลังกามองห่างไปอีกสองเมตรก็ยังมองออกว่าเป็นใบไม้ชัด ๆ อาร์เจพูดเพียงเท่านั้นเขาก็ยืดตัวไปอีกนิดแล้วทิ้งมันต่อหน้าต่อตาผู้ชายอีกคนที่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ใช้ความกลัวของคนอื่นเพื่อให้ได้เข้าใกล้ผู้หญิง...หน้าด้านฉิบหาย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม