ขณะที่ใกล้ถึงเวลาต้องออกจากบ้านเพื่อไปมหาวิทยาลัยเต็มทีแต่มาร์ชยังไม่สามารถออกไปได้ เนื่องจากถูกพี่สาวโมโหร้ายทั้งตี ดึง ทึ้ง อย่างกับว่านี่คือศัตรูคู่อาฆาตไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือด
ปึก !
“เจ็บ !!!”
เสียงทุ้มติดแหบตะโกนออกมาอย่างเจ็บจี๊ดเมื่อถูกฝ่ามือเล็กตบเข้าที่หัวจนหูได้ยินเสียงวิ้ง ๆ ออกมา แต่นอกจากคนตัวเล็กจะไม่ยอมหยุดแล้วยังแยกเขี้ยวขู่ ถลึงตาใส่เหมือนกับสั่งให้เขาหุบปากและยอมจำนนรับโทษไปแต่โดยดีเสียเถอะ
“สมน้ำหน้า กล้าทำฉันขายหน้าต่อหน้าเพื่อนแกอย่างนั้นเหรอ”
มัดหมี่หงุดหงิด พวกเขาอายุกันตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังจะเล่นล้อชื่อพ่อ ชื่อแม่อีก ทำตัวไม่รู้จักโตไปได้...แล้วกลายเป็นว่าเธอนั้นก็ไปเรียกอาร์เจแบบนั้นโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
“พอ ๆ เค้ามีเรียนนะโว้ย !”
“ฮึ่ย !”
ผมที่ถูกเซตไว้อย่างดีถูกมือเล็กของพี่สาวจอมโหดทำลายไม่เหลือทรงเดิม แถมยังถูกกำกลุ่มผมด้านหน้าให้เงยขึ้นอย่างกับถือถุงขยะ เมื่อใส่อารมณ์จนพอใจก็สะบัดหัวมาร์ชทิ้งแล้วปัด ๆ มือที่มีเส้นผมหลุดติดออกมาเล็กน้อย
มาร์ชลูบหัวตัวเองแล้วนิ่วหน้าที่มันเจ็บไปทุกส่วน ก่อนจะตั้งหลักแล้วบ่นอีกคนด้วยหน้าง้ำ ๆ
“ผีเข้าเหรอ จะโมโหอะไรขนาดนี้ ถ้าไอ้ตี๋มันถือสาเจ๊ มันก็คงเตือนไปแล้ว นี่มันไม่พูดอะไรก็แปลว่าเรียกได้”
“ยังไม่สลดใช่ไหม ?!”
“เอ้าก็จริงป่ะ” มาร์ชหดตัวเล็กน้อยที่คนตัวเล็กทำท่าจะเข้ามาเอาเรื่องอีก
“การที่เขาไม่พูดแปลว่าเขามีมารยาท ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ถือสา พี่แกไม่เคยสั่งสอนหรือไง”
มาร์ชทำปากขมุบขมิบล้อเลียน แล้วลุกขึ้นเต็มความสูงอย่างไม่อยากใส่ใจ
“เจ๊อย่ามองมันดีเกินจริงไปหน่อยเลย ถ้ามันมีมารยาทเค้าคงไม่ต่อยกับมันแล้วได้เป็นเพื่อนกันจนถึงทุกวันนี้หรอก”
มีมารยาทอะไรกันล่ะ ถ้าคนที่มันมีของแบบนั้นอยู่จริง ๆ จะปี่เข้ามาต่อยเขาแล้วฟัดกันอย่างกับหมาตั้งแต่วันแรกที่ปฐมนิเทศมัธยมปลายเลยหรือไง มาร์ชส่ายหัวยามที่นึกย้อนกลับไป...
วันแรกของวันปฐมนิเทศโรงเรียนชายล้วนชื่อดังคับคั่งไปด้วยเหล่านักเรียนใหม่ที่ย้ายมาจากโรงเรียนมัธยมฯ ต้นจากที่อื่น และนักเรียนเก่าที่สอบเลื่อนชั้นปีเพื่ออยู่ในโรงเรียนเดิม มาร์ชเป็นเด็กใหม่แต่ด้วยความที่เข้ากับคนค่อนข้างจะง่ายเพราะอัธยาศัยดีเขาทักทายเพื่อนใหม่ที่ต้องอยู่ด้วยกันยาวไปอีกสามปีด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร
ขณะนั้นเขาก็ยังไม่ได้คิดว่าจะสนิทกับใครเป็นพิเศษ จึงชวนคุยได้เรื่อยเปื่อยก่อนที่อาจารย์ที่ปรึกษาจะเข้าห้องมา แต่มีอยู่คนหนึ่ง...ที่นั่งหลังสุดของห้องเรียนไม่ยอมพูดหรือคุยกับใครเลย
เด็กผู้ชายไม่เหมือนเด็กผู้หญิง หากใครที่มันดูไม่มีมนุษยสัมพันธ์ก็ไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะต้องชวนคุยด้วย
มาร์ชลองสะกิด ปูน เพื่อนใหม่แล้วถามว่ารู้จักคนนั้นหรือไม่เพราะปูนเป็นนักเรียนเก่าของที่นี่ แต่ก็พบว่าเพื่อนคนนั้นก็เป็นเด็กใหม่เหมือนกันกับเขา ทั้ง ๆ ที่หน้าตาก็ดูไม่ได้หยิ่งอะไร แต่กลับไม่สนใจคนรอบข้างเลยซักนิด เอาแต่มองไปที่หน้าต่างราวกับคิดอะไรอยู่ในหัวเต็มไปหมด
มาร์ชเป็นคนที่ไม่ชอบความรู้สึกที่สงสัยแล้วไม่ได้รู้ เขาก็เลยเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ เขาถามเพื่อนคนอื่นตั้งหลายคนว่าไอ้หมอนี่มันชื่ออะไร แต่ก็ไม่มีคนรู้จัก...
ประเมินจากทางสายตา พบว่าอีกฝ่ายเป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง ส่วนสูงน่าจะประมาณเดียวกันกับเขาพอดี พร้อมทั้งใบหน้าราวกับลูกคนจีน ขนาดตัวมาร์ชเองที่เป็นลูกครึ่งไต้หวันยังดูไทยกว่าคนตรงหน้าอีก
ทันทีที่เดินไปหยุดอยู่ที่โต๊ะ คนที่ยังนั่งเหม่อลอยก็ยังไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา ทำให้มาร์ชรู้สึกว่ากำลังถูกทำให้เป็นธาตุอากาศจึงเตะโต๊ะเบา ๆ เป็นการสะกิดเรียก
‘เฮ้ย...’ มาร์ชเรียก ก่อนจะก้ม ๆ เงย ๆ หันหน้าออกไปทางหน้าต่างตามสายตาอีกคนที่มองไปบนฟากฟ้า ‘มองเหี้ยอะไรวะ’
‘...’ ไม่มีคำตอบกลับ...มีแต่สายตาเรียบที่เหล่มองเขาอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์
‘กูเห็นมึงมองนานแล้ว มองอะไรวะ บอกกูมั่งดิอยากรู้ด้วยคนว่ามีอะไรน่าสนใจ’
มาร์ชยังคงถาม เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดด้วยหน้าตาแบบไหน แต่อาจจะเพราะหน้าเขาดูกวนประสาทตั้งแต่กำเนิดมากกว่านิสัยจริง ๆ ที่เป็นมิตร จึงได้รับคำพูดแรกเป็นคำทักทายจากคนหน้านิ่งว่า...
‘เสือก’
‘...’
เด็กชายหน้าตาหล่อแบบร้าย ๆ เบิกตากว้างผงะไป แต่แวบเดียวเขาก็หัวเราะ เออ...ใช้ได้นี่หว่า
‘มึงชื่อไรวะ’
‘...’ อีกฝ่ายไม่ตอบอีกแล้ว เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาฉายออกไปทางรำคาญ แล้วหันกลับไปมองท้องฟ้าเหมือนเดิม
‘ชื่ออะไร’
‘...’
‘ฮะ ? มึงชื่ออะไร...บอกกันไม่ได้เรอะ’
มาร์ชยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบเขาก็ยิ่งรู้สึกสนุกสนาน เลยถอยหลังไปนิดหน่อยเพื่อไปนั่งลงบนโต๊ะด้านข้างแล้วถามอยู่แบบนั้น กะว่าถ้าไม่ตอบก็จะถามอยู่แบบนี้แหละ จนเพื่อนคนอื่น ๆ หันมาสนใจเขาที่กำลังพูดอยู่คนเดียว ส่วนคนที่นั่งเป็นโขดหินไม่ขยับเอ่ยปากอะไรกลับมาซักคำ
อาร์เจขี้เกียจพูด เขาจึงไม่อยากจะพูดอะไร ปล่อยให้คนที่น่ารำคาญพูดกับลมพูดกับอากาศต่อไปจนกว่าจะเหนื่อยไปเอง เพราะเขาก็ไม่ได้ลำบากอะไรถ้าจะนั่งนิ่ง ๆ อยู่แบบนี้...แค่ปล่อยให้คำถามเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปแบบนั้น ก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าเหมือนเดิม
‘นี่มึงจะไม่บอกกูจริงอ่ะ’ มาร์ชที่เริ่มคอแห้ง ตอนแรกคิดว่าเดี๋ยวหากหงุดหงิดอีกฝ่ายคงจะพูดออกมาเอง แต่กลายเป็นว่าเขาเหมือนถูกกวนประสาทจนอารมณ์เสียซะเอง ‘ชื่อมึงมันทำไมวะ หวงอะไรขนาดนี้ มึงจะไม่เอาเพื่อนเอาฝูงเลยหรือไงไอ้เหี้ยตี๋’
มาร์ชบ่นไปตามประสา แต่ก็ไม่คิดว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจะรุนแรงกลับมาเพราะคำพูดเมื่อซักครู่นี้ที่เขาเอ่ยอย่างไม่คิดอะไร
‘อย่ามายุ่งกับกู !’
‘...’
มาร์ชชะงักเมื่อถูกมองด้วยสายตาอาฆาต เขากะพริบตาปริบ ๆ แล้วเอียงคอพยายามครุ่นคิดว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกไป ทั้งที่ก่อนหน้าพูดอะไรไปก็ไม่เข้าหูอีกฝ่าย แต่เมื่อกี้กลับเข้าหูแฮะ
เสียงตวาดของเพื่อนใหม่ที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครทำให้เป็นที่สนใจของเพื่อน ๆ คนอื่น จนก่อนหน้าเมื่อครู่ที่มีเสียงดังจ๊อกแจ๊กจอแจเงียบลงแล้วสายตาหลายคู่ก็พุ่งเป้าไปที่ด้านหลังห้อง
‘ไม่อยากให้กูยุ่งมึงก็บอกชื่อมึงมาดิวะ’ เสียงดังเมื่อซักครู่ไม่ได้ทำให้มาร์ชรู้สึกสะเทือนขวัญอะไร เขาแค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไรเพราะอยากรู้ชื่อเพื่อนให้ครบทุกคนก็เท่านั้น ‘กูถามหน่อยนะไอ้ตี๋...’
โครม ! ผลัวะ !
มาร์ชยังไม่ทันพูดจบประโยคเลย หูก็ได้ยินเสียงโต๊ะเคลื่อน และภาพตรงหน้าก็สะบัดสั่นไหวเร็วอย่างกับหนังเดอะฟาส พร้อมทั้งความรู้สึกที่ตัวเองล้มลงไปด้านข้างจนความเจ็บจี๊ดเข้าครอบงำ และเขาก็เพิ่งรู้ว่า ตัวเองถูกต่อย
นั่นแหละคือเฟิร์สอิมเพรสชั่น
“ไอ้ตี๋มันไร้มารยาทจะตายไป”
“แกต่างหากที่กวนประสาทไม่เลิก รู้ว่าเขาไม่ชอบก็พูดอยู่ได้ ฉันเป็นเขาคงจะตัดลิ้นแกไปแล้ว”
“เข้าข้างกันดีนักแหละ” มาร์ชกลอกสายตาเอือมระอาอย่างไม่จริงจังนัก แต่ก็อดกวนพี่สาวไม่ได้ “ชอบมันอะดิ”
“ไปเรียนได้แล้วไป พูดมากน่ารำคาญ”
“แน้ ! มีเปลี่ยนเรื่องซ่ะด้วย อย่าบอกนะว่าสนใจมันจริง ๆ น่ะ !”
“เออไม่บอกก็ไม่บอก”
“...”
มาร์ชที่เมื่อครู่แกล้งทำทีกระแนะกระแหนอึ้งไปเล็กน้อย ตอนแรกเขาก็แค่แซวไปเรื่อยไปเปื่อยตามประสา แต่ก็ไม่คิดว่าพี่สาวของตัวเองจะคิดจริง
คาดว่าใบหน้าของเขาคงจะช็อกไม่น้อยมัดหมี่ก็ยกแขนขึ้นมากอดอกแล้วเบ้หน้าใส่
“ทำไม ? ชอบไม่ได้เหรอ หรือจะบอกว่าฉันก็ไม่ใช่สเปกเขาอีกแล้ว”
“ก็เปล่า...” มาร์ชส่ายหน้าเอื่อย ๆ แล้วขมวดคิ้วถามความแน่ใจอีกครั้ง “จริงเหรอ ไหนบอกว่าเกลียดเด็กรุ่นเค้านักหนา เกลียดเข้ากระดูกดำเลยไม่ใช่หรือไง”
“แล้วคนเรามันจะมีข้อยกเว้นบ้างไม่ได้ ? หรือแกมีปัญหา ?”
ได้ฟังสิ่งที่มัดหมี่พูดมาร์ชก็ยิ้มแหย ซักพักก็อ้าปากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา อ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่จนมัดหมี่ที่เห็นทางท่างแบบนั้นก็รู้สึกขัดหูขัดตา
“จะพูดอะไรก็พูดมา”
“เจ๊...คิดดี ๆ อีกรอบไหม”
“ทำไม...ก่อนหน้านี้แกก็เชียร์ไม่ใช่เหรอ อยากให้ฉันเป็นเมียเกียร์เจ็ดสี่อีกรอบนี่”
มัดหมี่ย้อนคำที่น้องชายเคยพูดไว้ ไหงพอเธอจะเอาเข้าจริงถึงทำท่าเหมือนกับเห็นผีแบบนี้ล่ะ ไอ้บ้านี่ !
“ใครจะคิดว่าเจ๊จริงจังกันล่ะ” พูดแบบนั้นมัดหมี่ก็ดูจะหงุดหงิดอีกรอบ แต่มาร์ชไม่สนใจและเอ่ยเตือนเป็นครั้งแรก “เจ๊...เค้าไม่อยากจะตัดกำลังใจนะ แต่บอกตามตรง เจ๊ตัดใจเถอะ”
“ทำไมยะ ?!” ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวถลึงตาเอาเรื่อง “จู่ ๆ มาสั่งคิดว่าคนอย่างฉันจะทำตามเหรอ ?”
“ก็ผู้หญิงสวย รสจัด แค่ภายนอกก็ดูร้ายกาจแบบเจ๊เนี่ย ไอ้อาร์เจมันขยาดสุด ๆ เกลียดจนเข้าตับ ไต ไส้พุงเหมือนกัน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเป็นพี่เค้านะ อย่าหวังว่ามันจะอยากเข้าใกล้”
มาร์ชพูดออกไปตามจริง แม้ว่าเขาจะรู้อยู่ว่ามัดหมี่ตรงสเปกเพื่อนเขามากแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็เป็นสิ่งต้องห้ามของเพื่อนไปแล้วเช่นกัน ในขณะที่อาร์เจยังทำตัวไม่สมเหตุสมผลอยู่แบบนี้และไม่รู้วันดีคืนดีจะผีเข้าหรือผีออกตอนไหน
ในฐานะที่เป็นน้องชายเขาก็ไม่อยากให้พี่สาวตัวเองเข้าไปพัวพันด้วยเด็ดขาด
“แกหมายถึงยังไงเพื่อนแกเขาก็ไม่หวั่นไหวกับฉันใช่ไหม”
“ที่หมายถึงคือ มันเองก็ขยาดผู้หญิงแบบเจ๊ เจ๊เองก็เกลียดเด็กวิศวะรุ่นเค้า แบบนั้นก็ต่างคนต่างไปดีกว่าไม่ใช่หรือไง...ใช่ไหมล่ะคิดดี ๆ สิ”
สิ่งต้องห้ามของอาร์เจ : ผู้หญิงสวยที่ร้ายกาจ
สิ่งต้องห้ามของมัดหมี่ : ผู้ชายวิศวะ เกียร์ 74
“เหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกันที่มันไม่มีทางดูดกันติดน่ะเจ๊เข้าใจหรือเปล่า”
“งั้นแกก็เป็นตัวกลางซ่ะสิ พาเขาเข้ามาบ้านบ่อย ๆ”
มัดหมี่บอกหน้าตาย ไหน ๆ ก็เลิกสนใจเขาไม่ได้อยู่แล้ว แถมเขาก็เป็นเพื่อนสนิทของมาร์ชอีก มาร์ชที่เกิดมาเป็นน้องชายของเธอก็ควรจะทำตัวมีประโยชน์บ้างไม่ใช่หรือไง นี่คือสิ่งที่มัดหมี่คิดแต่มาร์ชกลับส่ายหน้าพืดไม่เอาด้วยเด็ดขาด
“เรื่องไรต้องทำ เดี๋ยวมันรู้ทีนี้ไม่มีเพื่อนเที่ยวแล้วนะ”
“แกกลัวไม่มีเพื่อนเที่ยวหรือแกอยากอดตาย ?” ใบหน้าสวยเชิดหน้าถามอย่างรู้ดี “ฉันรู้นะว่าแกเพิ่งจะจ่ายเงินค่าทำรถไป แถมที่เขี่ย ๆ โทรศัพท์ดูกระเป๋ากำลังจะซื้อกระเป๋าให้สาวใช่มั้ย”
“…” มาร์ชอึ้ง แล้วก้มลงไปดูหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้งที่ยังคงเปิดค้างหน้าช็อปปิ้งออนไลน์อยู่ ก่อนจะเกิดความลังเลอยู่ในใจ
“เอาไง ? ถ้าแกช่วยฉัน ฉันก็ช่วยแก ห้าพัน” แต่พอได้ยินจำนวนเงินเขาก็โอดครวญทันที
“โอ๊ย ! ห้าพันได้แค่สายกระเป๋ามั้ง เจ๊คิดว่าเงินห้าพันจะทำให้ความสัมพันธ์เพื่อนรักแสนยาวนานสั่นคลอนได้เหรอ”
“อ่ะ หมื่นนึง”
“นี่...เจ๊ไม่มีเพื่อนแท้หรือไง ไม่เอาอ่ะ”
“นี่แกจะบ้ารึไงซื้อกระเป๋าให้สาวเป็นหมื่นเลยเหรอ บ้านรวยนักหรือไง”
“ก็เออสิ บ้านรวยไม่ได้แปลว่าเค้ารวยด้วยหนิ แต่ถ้าเจ้รวยก็เอามาให้เค้า สองหมื่นขาดตัว ! นี่ลดสุด ๆ แล้วนะ”
มัดหมี่แยกเขี้ยว แหม...พูดคำว่าเพื่อนแท้ออกมาได้เต็มปากเต็มคำ พูดเพื่อขอเพิ่มสินะ ไอ้เด็กหัวหมอ!
มาร์ชพึ่งรู้ก็ตอนนี้เองว่าเงินทองเป็นสิ่งหายาก อะไรขายได้ก็ขายไปก่อน เช่น เพื่อน
“...”
“นาทีทองเอาไม่เอา เดี๋ยวเป็นพ่อสื่อเต็มที่เลย ให้โอกาสคิดสามวิ หนึ่ง…”
“สองหมื่นห้า !”
มัดหมี่โพล่งตั้งแต่นับวิแรก กำลังจะพูดข้อเสนอเพิ่มเติมแต่คนเจ้าเล่ห์ที่รักเพื่อนจับใจแต่รักปากท้องของตัวเองมากกว่าเอ่ยขัดออกมาก่อน
“ขอสามหมื่น เจ๊ก็รู้ว่าเรื่องโน้มน้าวคนเค้าถนัดอยู่แล้ว สามหมื่น ๆ”
“ได้คืบเอาศอก ไอ้เด็กไม่มีใครสั่งสอน”
“น้า...”
“เออดีล”
“ดีล พร้อมเพย์เลยนะครับ คนสวยของมาร์ช”