ร่างเล็กซึ่งตื่นตั้งแต่เช้าตรู่จนแต่งตัวเรียบร้อยก่อนเวลาเนื่องจากวันนี้เธอต้องเอารถไปเข้าศูนย์ และมีเรียนช่วงเช้าจึงเดินลงมาด้านล่างก่อนที่จะได้ยินเสียงพูดคุยของน้องชายและคุณป้าแม่บ้านที่เข้ามาทำงานแทนแม่นมที่ดูแลทั้งคู่ตั้งแต่เกิด ก่อนที่เขาจะอายุมากและลากลับไปอยู่ที่บ้านเกิดเมื่อหนึ่งปีก่อน
“ป้าไปเจอที่ไหนครับเนี่ย”
“ที่โรงรถค่ะ ป้าเห็นว่ามันหล่นอยู่ใต้ท้องรถคุณหมี่ เลยคิดว่าน่าจะใช่”
“จะเป็นไปได้ไง...อืม ช่างเถอะ ขอบคุณมากครับป้า”
“ค่า”
“มีอะไรกันเหรอ”
มัดหมี่เอ่ยถามในตอนที่ ‘ป้าเนียน’ แม่บ้านที่ถูกจ้างมาทำความสะอาดวันเว้นวันขอตัวไปทำหน้าที่ ก็เห็นมาร์ชกำลังทำหน้ายิ้มอย่างโล่งใจ นิ้วก็ควงกุญแจไปรอบ ๆ อย่างอารมณ์ดี
“ก็กุญแจรถน่ะสิ เมื่อคืนเค้าหาแล้วหาอีกทั้งคืนไม่เจอ พอให้ป้าเนียนช่วยหาแป๊บเดียวเจอเลย นี่สินะที่เรียกว่าประสบการณ์ชีวิต”
มาร์ชพูดอย่างชื่นชม แม้จะตงิดใจว่าเขาสายตาไม่ดีขนาดนั้นเลยเหรอเพราะโรงรถเป็นที่ที่เขาหาไม่ต่ำกว่าสามรอบ แต่ก็ยักไหล่ ไม่คิดอะไรมากในเมื่อเจอแล้วก็แล้วกัน “คิดว่าจะต้องเสียเงินทำกุญแจใหม่แล้ว เงินไม่มีจะกินข้าวแล้วเนี่ย”
“วันหลังก็แทะรถที่แกอุตส่าห์เสียเงินหลายแสนไปแต่งแล้วกัน”
“มีแซะ ๆ ปากร้ายแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคะบี๋”
“จะอ้วก...” มัดหมี่เบ้หน้าเอียนกับคำพูดชวนสำรอก แต่ก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน “แล้วนี่ตี๋มารับใช่ไหม”
“ไม่มาหรอก...เค้าเจอกุญแจแล้ว เขาแว้นไปเองเท่กว่า”
คำตอบของน้องทำเอาเธอนั้นเซ็งไปเลย ก้มหน้ามองดูตัวเองที่อุตส่าห์เสียเวลาแต่งหน้า แต่งตัว ทำผม และฉีดน้ำหอมซะฟุ้งฟรี ๆ เหตุผลที่เธอตื่นเช้ามืดอีกอย่างก็เพื่อไปหย่อนกุญแจทิ้งไว้เพราะคิดว่าคงจะใช้เวลาอีกซักพักกว่าน้องจะเจอ...รู้งี้น่าจะลิบไว้ไม่น่ารีบคืนเลย
“แล้วเขาเป็นยังไงบ้าง”
“เรื่องไรอ่ะ”
มาร์ชเงยหน้าจากโทรศัพท์เห็นพี่สาวเดินตามตัวเองมาที่โซฟาแล้วถามด้วยใบหน้าติดสงสัย
“ก็เรื่องแฟนไง”
“นี่เจ๊จำได้ด้วยเหรอ...ไม่ได้เมาจนจำอะไรไม่ได้แบบปกติหรือไง”
“...” มัดหมี่ชะงักเพราะเมื่อคืนเธอดื่มไปแค่แก้วเดียวจึงแค่ชา ๆ และรออาร์เจคุยกับผู้หญิงคนนั้นจนหายเป็นปลิดทิ้ง ใครจะเมาล่ะอุตส่าห์คิดแผนตั้งนาน เห็นดวงตาคมหรี่มองคล้ายจับผิดมัดหมี่ก็จิ๊จ๊ะแล้วเท้าเอว “ฉันก็ไม่ได้คออ่อนขนาดนั้นมั้ย”
“ไม่คออ่อนแล้วให้ไปรับทำไม ไกลก็ไกล...” มาร์ชพูดพลางเกาหัว แต่ก็นิ่งไปนิดหน่อยจนมัดหมี่เป็นกังวลว่าเขาจะจับต้นชนปลายถูกจึงรีบพูดเสียงดัง
“ก็จำได้ราง ๆ โอ๊ย...แกอย่ามาสงสัยมากได้ไหม ตอบเท่าที่ฉันถามก็พอ”
“เออ ๆ มันจะเป็นอะไรได้เล่า มันไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ถึงอย่างงั้นก็น่าเจ็บใจอยู่ดีนะเจ๊ว่ามั้ย”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ดีนะมันไม่ได้ชอบ ไม่อย่างงั้นคงเป็นเรื่องไปแล้ว”
“ใช่...” ใบหน้าสวยทำหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะย่นคิ้วเมื่อสะดุดกับบางอย่าง “ฮะ ไม่ได้ชอบ ? เป็นแฟนกันทำไมไม่ได้ชอบ”
“ไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่คุยไปงั้น”
มัดหมี่นิ่ง ก่อนจะค่อย ๆ พยักหน้า จำได้ว่าเมื่อคืนก็คล้ายจะได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลกอยู่ดีไม่ใช่เหรอ
“เพื่อนแกเป็นเพลย์บอยเหรอ...” เธอจำได้อีกว่า ผู้หญิงคนเมื่อคืนก็พูดประมาณว่าเขานั้นคุยไปทั่วอยู่เหมือนกัน และดูเหมือนหน้าตาของเขาจะให้ซะด้วย
พอมาร์ชเงียบกับคำถามนั้น ดวงตากลมโตก็เลื่อนไปสบด้วยอาการใจไม่ค่อยดี ก่อนที่จะโล่งอกเมื่อน้องชายส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ใช่ ถึงหน้ามันจะดูเหมือนพวกทิ้งขว้างผู้หญิงแต่คนเราดูกันที่ภายนอกไม่ได้หรอก มันแค่ดวงสมพงษ์กับผู้หญิงร้าย ๆ เกินไปหน่อยน่ะสิ ถึงได้บอกไงว่าดูจากภายนอกไม่ได้ ไม่รู้จักฟัง” ท้ายประโยคเหมือนกับมาร์ชไม่ได้พูดกับมัดหมี่ แต่กำลังบ่นไปให้เจ้าของหัวข้อบทสนทนา “คิดว่าคบคนที่ตรงข้ามกับสเปกตัวเองแล้วจะแก้ปัญหาได้หรือไง หลอนไปใหญ่”
มาร์ชเริ่มบ่นไม่หยุดตามประสาคนปากมาก หากเป็นปกติมัดหมี่คงยกมือก่อนบอกให้หยุดพูดซักทีแล้วด่าไปว่าน่ารำคาญจริง ๆ แต่ครั้งนี้เธอนิ่งและรับฟังเพื่อเก็บข้อมูล
“ทำไมล่ะ สเปกเขามันทำไม”
“ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวเค้าจะไปเรียนล่ะ”
“นี่แกยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ สเปกตี๋มันทำไม”
มัดหมี่รีบลุดตัวขึ้นมาขวางร่างสูงที่ลีลาทิ้งบอมบ์ไว้แต่ก็เตรียมจะชิ่งหนีเหมือนแค่ให้อยากรู้เล่น ๆ เท่านั้น
“แล้วเจ๊จะมาอยากรู้ทำไมเนี่ย ครั้งก่อนถามก็บอกว่าไม่สนใจไม่ใช่เหรอ ไม่สนใจก็ไม่ต้องรู้” มัดหมี่ทำหน้าไม่พอใจ ย่นคิ้วอยากจะฉีกน้องชายตัวเองทิ้ง ไร้ประโยชน์ พูดก็ครึ่ง ๆ กลาง ๆ หน้าก็กวนตีน มีอะไรดีบ้างไหมเนี่ย “มาจ้องกันอยู่ได้ นี่กำลังจะไปทำแซนด์วิชรึเปล่า ยังพอมีเวลางั้นทำเผื่อด้วย เดี๋ยวเค้ารอ...เอาแบบวันนั้นน่ะ”
“น้อย ๆ หน่อย สั่งใครไม่ทราบ”
“เอ้าไหงวันนั้นมีให้ วันนี้ไม่มีให้ได้ไง”
“ไม่มีอารมณ์”
มัดหมี่พูดพลางจิกตาใส่ มีอย่างที่ไหน ทำตัวมีประโยชน์หรือก็เปล่า ยังหน้าไม่อายมาขอให้คนอื่นทำอะไรให้อีก ฝันไปเถอะย่ะ
มาร์ชวางโทรศัพท์ที่เปิดหน้าออนไลน์ช็อปปิ้งในมือลงแล้วแซะด้วยความหมั่นไส้
“แหม...ไม่มีอารมณ์ซ่ะด้วย แสดงว่ามีอารมณ์เฉพาะตอนไอ้อาร์เจมารึไง”
“ใคร ?”
“ฮะ”
“อาร์เจน่ะใคร”
ชื่อไม่คุ้นหูทำให้มัดหมี่งง ว่าเขากำลังพูดถึงใครอยู่ แล้วทำไมต้องมาแซวกับคนที่เธอไม่รู้จักด้วย
“ก็ไอ้ตี๋นั่นแหละ มันชื่ออาร์เจ พอดีเค้าติดปากเรียกแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ๆ”
ข้อมูลใหม่ทำให้มัดหมี่ย่นคิ้วงง มาร์ชมองคนที่ทำหน้าสับสนอยู่ซักครู่ก็หัวเราะ
“เอ้านึกว่ารู้แล้วซะอีก”
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า”
มัดหมี่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก คิดแค่ว่าก็คงเป็นชื่อหรือฉายาอะไรเทือก ๆ นั้น จึงไม่ได้สนใจคิดแค่ว่าดีเสียอีกมันเหมือนกับว่าเราทั้งสองสนิทกันดี แต่ประโยคต่อมาของร่างสูงทำเอาเธอรู้สึกว่าฟ้าตรงหน้าแทบจะถล่ม
“เค้านึกว่ามันบอกเจ๊แล้วซะอีกว่าตี๋เป็นชื่อพ่อมัน...สงสัยจะไม่ถือสาจริง ๆ”
“กะ...แกว่าไงนะ” มัดหมี่หายใจติดขัดรู้สึกหน้าแดงเถือกและร้อนหูเหมือนมีควันพวยพุ่งออกมา “แล้วแกก็ให้ฉันเรียกอยู่อย่างนั้นน่ะนะ แกบ้ารึเปล่า แบบนี้เขาไม่คิดว่าฉันกวนตีนเขาหรือไง ไอ้น้องบ้า !”
ใบหน้าสวยแยกเขี้ยวแล้วกระโจนเข้าไปเขย่าตัวน้องชายที่ยังนั่งอยู่ที่โซฟาจนร่างสูงเดี๋ยวลุกเดี๋ยวหงายตามแรงกระชากอย่างโมโหของมัดหมี่ จนมาร์ชร้องออกมาและปัดมือเล็กเป็นพัลวัน
“โอ๊ย ๆ อย่าขยุ้มเดี๋ยวเสื้อยับ หมดหล่อกันพอดี”
“ยังจะสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกไอ้น้องไร้ประโยชน์เอ๊ย ! ตายซะ ๆ”
@ CCU University คณะ วิศวกรรมศาสตร์
หนุ่มหน้าหล่อติดกวนประสาทของมาร์ชเดินเข้าไปยังห้องเรียนขนาดใหญ่เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ต้องฟังวิทยากรแทนการเข้าเรียนคนจึงเยอะกว่าปกติ และเพราะวันนี้เดินทางมากับรถคู่ใจจึงทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองดูหล่อขึ้นมาหลายเปอร์เซ็นต์หลังจากที่เป็นตุ๊กตาหน้ารถของเพื่อนสนิทอย่างอาร์เจมาหลายวันถึงเวลาแล้วที่ต้องเฉิดฉาย
เพื่อน ๆ ของเขาที่นั่งกันอยู่ก่อนแล้วหันมาหลังจากรับรู้ถึงการมีอยู่ของมาร์ช โดยมีเพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยทักทาย
“หวัดดีมาร์ช...วันนี้ดูแปลก ๆ นะ”
“หล่อเป็นพิเศษหรือเปล่า ดูดี ๆ สิ” มาร์ชเหล่สายตาขณะที่เดินเลยน้ำอิง และนธีที่มองเขาด้วยหางตาผ่านกรอบแว่นแล้วเค้นหัวเราะเบา ๆ มาร์ชขยิบตาทักทายปูนที่ไม่พักนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเห็นตาได้ข่าวว่าทำงานเสริมเก็บเงินไม่ว่างเว้น จนมาถึงอาร์เจเขาก็พูดด้วยใบหน้าชื่นมื่นขณะที่หย่อนตัวนั่งลง “วันนี้มีแต่คนมอง สงสัยหล่อจัด”
“หล่อจัด เหมือนฟัดกับหมาพึ่งเสร็จอ่ะ”
“...”
“ไปเหยียบหางหมามาหรือไง” อาร์เจเหล่มองเสื้อของเพื่อนที่ขนาดใส่ช็อปสีแดงผ้าหนายังยับยู่ยี่ “หมาดุใช่เล่นนะ”
มาร์ชก้มลงมองตัวเองก็ถอนหายใจเบา ๆ ใช้มือปัด ๆ ตรงคอเสื้อแต่มันก็ไม่ได้เรียบขึ้นเลย ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของวิทยากรหน้าห้องเรียนหยิบไมค์ขึ้นมาก่อนเริ่มพูด
เขาไม่ได้สนใจอะไรตรงด้านหน้าอยู่แล้วเนื่องจากไม่ใช่การเรียนการสอนที่ต้องเอามาเก็บคะแนน มาร์ชจึงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาแล้วเข้าไปยังอินสตาแกรม ซักพักก็ทำทีกระแอมไอเบา ๆ นั่งเบี่ยงตัวให้หน้าจอโทรศัพท์หันไปทางเพื่อนที่นั่งใกล้ ๆ
“ว้าวว...”
“...”
“ว้าว !”
เพราะในครั้งแรกเขาอุทานออกมาเสียงเบาเกินไปอาร์เจที่มองไปยังหน้าห้องฟังพี่วิทยากรพิเศษพูดอยู่จึงไม่ทันได้ยิน จึงเอ่ยน้ำเสียงตื่นเต้นและกระตือรือร้นกว่าเก่า จนคิ้วเข้มของอาร์เจย่นเข้าหากันแล้วหันไปหาเขาก่อนจะด่าเบา ๆ
“ว้าวพ่อมึงสิ...เดี๋ยวได้โดนไล่ไปว้าวนอกห้องจนได้” อาร์เจดุเพื่อนที่ไม่รู้วันนี้มันเป็นอะไร หรือดีใจที่เจอกุญแจมอเตอร์ไซต์จนเพี้ยนไปแล้ว
พอเห็นว่าอาร์เจหันมาสนใจแล้วมาร์ชก็กระแอมไออีกที ลอบยกยิ้มนิด ๆ ก่อนจะทำหน้าขรึมอย่างจริงจังยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปหา
“โทษที พอดีกูเพิ่งเห็นเจ๊ลงรูปเลยตกใจนิดหน่อย” มือที่ถือโทรศัพท์เปิดภาพมัดหมี่แทบจะจ่อเข้ากับใบหน้าของเพื่อน ขนาดที่ต่อให้ไม่อยากดูก็ต้องดูอย่างไม่อาจเลี่ยง “เจ๊ใครกันนะ สวยเวอร์ !”
อาร์เจมองภาพที่อยู่ตรงหน้า เป็นรูปภาพผู้หญิงตัวเล็กพี่สาวของเพื่อนซึ่งอยู่ในชุดว่ายน้ำวันพีชสีดำสนิทนั่งเชิดใบหน้าที่ปกติดูรั้นให้คนมองรู้สึกถึงความเย่อหยิ่งเข้าไปใหญ่ นั่งปลายเตียงนอนซึ่งคาดว่าคงเป็นโรงแรมที่ไหนซักที่ เขาถอนหายใจหนัก ๆ ไม่รู้ว่ามาร์ชเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ถึงแม้ปกติแล้วมันชอบเอาภาพผู้หญิงใส่ชุดว่ายน้ำมายั่วยุเขาอยู่ตลอด แต่ก็ไม่คิดว่ากับพี่สาวก็จะทำแบบนี้ เมื่อเพื่อนแกมบังคับให้มองก็มองก่อนเบนหน้าไปหาแล้วส่งสายตาถามว่า แล้วทำไม ?
“ดูยัง”
“อืม”
“สวยป่ะ” อาร์เจย่นคิ้วไม่เข้าใจแต่อึดใจหนึ่งก็พยักหน้าเอื่อยเฉื่อย จนคนมองจิ๊จ๊ะเมื่อได้รับการตอบสนองแบบนั้นของเขา “พยักหน้าคือ ?”
“ก็สวย”
พอเขาตอบสั้น ๆ มาร์ชค้านเสียงขัดใจทันที
“แค่ก็สวยเหรอ กูว่าเจ๊สวยสุด ๆ เกิดมากูไม่เคยเจอใครสวยเท่าเจ๊เลยนะ”
“ตอนน้ำอิงมึงก็พูดแบบนี้”
อาร์เจอ้างอิงถึงเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลซึ่งอยู่ในสายตาพอดี ตอนปีหนึ่งมาร์ชเป็นตัวตั้งตัวตีในการบอกทุกคนว่า น้ำอิงเป็นของทุกคน แต่ไม่อาจจะต้านทานพลังแห่งการเอาแต่ใจของ เทพนธี ที่ตกเบ็ดนิดหน่อย น้ำอิงของทุกคนก็ติดกับกลายไปเป็นของมันคนเดียว
มาร์ชถอนหายใจเซ็งที่อาร์เจไม่ยอมคล้อยตาม
“เขาเรียกสวยคนละแบบ...น้ำอิงสวยแบบน่ารักน่าทะนุถนอม เจ๊กูเป็นแบบ สวยเอ็กซ์ สวย ! แบบตะโกนอ่ะ ไม่เชื่อดูดิ”
มาร์ชยังเลื่อนนิ้วให้เขาดูรูปอื่น ๆ ในอิริยาบถต่าง ๆ ซึ่งเขาก็เบนสายตาหนี...ดูไปแล้วไม่ได้อะไรซักหน่อย จะให้ดูทำไมนักหนา
“…”
“ดู”
“อะไรของมึงเนี่ย” อาร์เจเห็นท่าทางยัดเยียดให้ดูอยู่ได้ก็เริ่มรำคาญ ที่นี่เป็นห้องเรียน คนอื่นก็อยู่เยอะแยะแล้วแต่ละรูปที่ให้ดูก็มีแต่รูปที่ปิดอะไรไม่มิดเลยซักอย่าง หากยังเสียงดังแบบนี้ต่อไปมีหวังโดนอาจารย์ที่คุมเพ่งเล็งแน่ จึงพูดออกแนวประชดไปอย่างเอือมระอา “ถ้าจะขนาดนี้มึงไม่ให้กูฟอลพี่มึงไว้ดูเลยล่ะ ไอ้สัตว์”
“แหม...ได้ดิ”
“กูล้อเล่น...” อาร์เจส่ายหน้าไหว ๆ เมื่อมาร์ชยกยิ้มน่ากลัว เขาตะครุบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะเล็กเชอร์ด้านหน้าไม่ทันมือที่ไวยิ่งกว่าลิงของเพื่อน จนต้องหันไปด่าด้วยคำพูดที่ไม่มีเสียงยามที่มือถือตกไปอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้วเรียบร้อย “ไอ้เหี้ยมาร์ช...เอามา”
มาร์ชทำเมินเหมือนกับว่าคำพูดที่ไม่มีเสียงก็แปลว่าไม่มีความหมาย เพราะสนิทกันมาตั้งนานไม่ว่าจะรหัสอะไรของเพื่อนเขานั้นรู้หมด นับประสาอะไรกับปลดล็อกโทรศัพท์ ถึงแม้จะรับรู้ได้ว่าอาร์เจจ้องเขาด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อแต่เขาก็ไม่สนใจ กดเข้าไปยังไอจีแล้วพิมพ์ชื่อแอ็กเคานต์พี่สาวไปให้ก่อนจะกดติดตามให้อย่างเรียบร้อยไม่ขาดตกบกพร่อง
“เอาน่าเพื่อน...” ทำอะไรเสร็จสิ้นมาร์ชก็หย่อนโทรศัพท์ในมือไปที่กระเป๋าเสื้อเพื่อคืนให้แล้วตบบ่าหนาเบา ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร แต่คนมองกลับรู้สึกอยากจะต่อยเขาให้หงายสักที “ไม่ต้องทำหน้าโมโหกลบเกลื่อน กูรู้ใจมึงที่สุดอยู่แล้ว”
อาร์เจพ่นลมหายใจหนักออกมาหนึ่งครั้ง เขารำคาญเต็มทนกับความคิดเองเออเองของเพื่อน...
“กูเริ่มอยากเลิกเป็นเพื่อนกับมึงล่ะ”
มาร์ชหัวเราะไร้เสียง เห็นอาร์เจทำหน้าหงุดหงิดที่ถูกจัดแจงอย่างเอาแต่ใจ แต่เขาก็ต้องหน้าด้านเพราะรับเงินมาแล้ว ก็เลยต้องทำงานให้สำเร็จลุล่วง
ใช่...เขาขายไอ้อาร์เจให้เจ๊ไปแล้วล่ะ