บทที่ 13 : ไม่ได้ด้อยกว่าใครทั้งนั้น

1620 คำ
“โอ๊ย...โคตรจะง่วงเล๊ยย เจ๊ไปนอนก่อนนะ ฝันดี” “ฮะ ?” มาร์‍ชที่กลับมาถึงก่อนนานแล้วนั่งรออยู่ที่โซฟาย่นคิ้วงงยามมองปฏิกิริยาประหลาดของร่างเล็กที่กำลังทำทีเหยียดยืดแขนเรียวของตัวเองเล็กน้อยประกอบคำพูดก่อนวิ่งจนตัวปลิวขึ้นชั้นสองไป แล้วต้องหันไปอีกด้านเมื่อได้ยินเสียงถามจากอีกคนที่เดินตามเข้ามาในบ้านนาทีต่อมา “พี่หมี่ล่ะ” “ขึ้นชั้นบนไปล่ะ” ใบหน้าหล่อเชิดไปที่ชั้นสองประกอบคำพูด “สงสัยจะง่วงจัด วิ่งจู๊ดจนฝุ่นตลบ” “หึ เออ...น่าจะง่วงจริงแหละ รีบจนลืมกระเป๋าเลย” “…” “มองอะไรของมึง” อาร์เจย่นคิ้วเมื่อถูกจับจ้องแทบทะลุจากเพื่อนรักจนรู้สึกอึดอัด จึงวางกระเป๋าของคนตัวเล็กที่รีบหนีเขาจนลืมไว้ที่โต๊ะแล้วยกมือลาเพื่อน “หมดธุระแล้วกูกลับเลยนะ” “เดี๋ยวสิวะ อยู่ให้เสือกก่อน อย่ามาหนีกูอีกคน” “ดูเวลาหน่อย กูง่วง” “ตอแหล...นั่งเลย !” มาร์‍ชไม่สนใจเพราะตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดีและกำลังโมโหเป็นฟืนเป็นไฟด้วย อาร์เจที่เห็นหน้าไม่สบอารมณ์ของเพื่อนจึงจำใจนั่งโซฟาอีกด้านอย่างช่วยไม่ได้ “มึงรู้อยู่แล้วใช่ไหม ?” “...” “มึงรู้อยู่แล้วว่าข้าวหอมเป็นเด็กเสี่ยใช่ไหม ถึงได้ใจเย็นอยู่แบบนี้” “กูจะไปรู้ได้ยังไง” มาร์‍ชนิ่งและจ้องหน้าเพื่อนเขม็งเพื่อจับสังเกตแต่พอเห็นว่าเพื่อนพูดจริงเขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง รอดไปนะ เพราะหากว่ารู้แต่ก็ยังคุยต่อเขาจะต่อยมันซักที “แล้วมึงจะเอายังไงกับข้าวหอม” “ก็เลิกคุย” “ง่าย ๆ เลยเหรอ” “อืม...ต้องทำอะไรให้มันยากด้วยหรือไง ไม่ได้เป็นแฟนกันซักหน่อย” “ก็จริงของมึง...โธ่เว้ย ! คนเราแม่งรู้หน้าไม่รู้ใจจริง ๆ” มาร์‍ชพูดอย่างโมโหอีกรอบ “มีผัวอยู่แล้วมาคุยยังไม่น่าด่าเท่าหนีเสี่ยมาคุยเลย บ้าฉิบหาย...ดีนะเสี่ยเหี้ยนั่นไม่สั่งคนมาเก็บ เกือบซวยแล้วไหมล่ะ” “กูเก็บง่ายขนาดนั้นเลยรึไง” อาร์เจเห็นเพื่อนเป็นเดือดเป็นร้อนก็หัวเราะและพูดอย่างไม่คิดอะไร แต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่ออีกคนดูจะไม่ขำด้วย “ยังจะมาพูดเป็นตลกอีก” มาร์‍ชมองตาขวางไม่เล่น แล้วพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ “ผู้หญิงแต่ละคนที่เขามาหามึงนี่แสบสุด ๆ ไปเลยนะ” วงการที่ไม่ควรยุ่งมากที่สุดก็เป็นเรื่องพวกนี้นี่แหละ เพราะหลายครั้งก็ดวงตกไม่รู้ตัว ไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายตกลงกับคนเลี้ยงแบบไหน เขาถึงบอกไงว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เกิดเสี่ยนั่นโรคจิตหวงเด็กของตัวเองขึ้นมา จะโดนเอาปืนมาจ่อหัวตอนไหนใครจะรู้ล่ะ อาร์เจยิ้มเจือนเมื่อมาร์‍ชผู้ที่เคยพูดทุกอย่างเป็นเรื่องตลกโปกฮา ตอนนี้กลับมีสีหน้าคร่ำเคร่งคงจะเป็นห่วงจริง ๆ จึงพ่นลมหายใจเบาและเลือกที่จะไม่พูดอะไรไปอีก ขนาดรู้แค่นี้ยังด่าเช็ดขนาดนี้ ถ้าเพื่อนรู้ว่าจริง ๆ มีหลายครั้งเลยที่เห็นว่าข้าวหอมไปกับผู้ชายคนอื่น อย่างเช่นวันเกิดของข้าวหอมที่เขาก็เห็นว่าเธอขึ้นรถไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มวันนั้นเลยทำให้เขาไม่ได้เอาเค้กให้เพราะไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ ก็ในเมื่อยังไม่ได้เป็นอะไรกัน เธอจะคุยกับใครมันก็เป็นสิทธิ์ของเธอ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นถึงขั้นนี้เลยจริง ๆ นะ หากรู้เรื่องพวกนี้ด้วยล่ะก็คงจะได้ฟังมาร์‍ชคงบ่นจนเลือดออกหูยันเช้าแน่ คนที่กำลังง่วงนอนอย่างเขายังไม่อยากจะเสี่ยงตอนนี้ “มึงก็นิ่งเกิน นี่ถ้าเป็นกูต้องด่าไปบ้างแล้ว...เป็นเด็กเสี่ยทำไมไม่บอกกันก่อนวะ” คำพูดของมาร์‍ชทำให้อาร์เจนึกถึงมัดหมี่ที่ก่อนหน้าก็พูดประโยคประมาณนี้ถึงจะไม่ได้ตรงเผงขนาดนี้แต่ใจความที่ต้องการสื่อสารคงเหมือนกัน “ใครเขาจะมาบอกล่ะ” อาร์เจหัวเราะพร้อมตอบคำถาม มันก็ปกติแล้วไหม ใครจะอยากพูดถึงในสิ่งที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับ มันก็เข้าใจได้อยู่แหละ “มึงแม่งใจดีเกินไป ไม่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีบ้างเหรอ แล้วข้าวหอมแม่งเอาอะไรคิด ทั้งที่มึงก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครทั้งนั้น” มาร์‍ชขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิง ยิ่งเห็นว่าเพื่อนไม่โกรธอีกฝ่ายเลย ก็ทำให้เขารู้สึกโมโหแทนเข้าไปใหญ่ รักแท้แม่งแพ้เสี่ยพุงพลุ้ย...ประสาทจะแดก อาร์เจยิ้มบาง ๆ ถึงเขาจะไม่ได้โกรธอะไรอีกฝ่ายก็ใช่ว่าเขาจะรู้สึกดีซะทีเดียว คล้ายกับปลงไปแล้วมากกว่า บางครั้งก็คิดว่าทำไมนะ...ก็ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ทางที่เวิร์คเลย สุดท้ายแล้วมันก็เสียเวลาจริง ๆ เขาไม่ได้ด้อยกว่าใครทั้งนั้น... คำพูดติดปากของมาร์‍ชที่ชอบพูดใส่หน้าเขาในทุกครั้งที่มักจะสงสัยว่าทำไมความสัมพันธ์ของเขามันไม่เคยจะดีเลยซักครั้ง หรือว่าเขาไม่ดีแต่เพื่อนก็จะพูดคำนี้เสมอ “อืม...” “เป็นกูนะถ้าต้องหลอกมึงแล้วไปรับจ็อบเป็นเด็กเสี่ย กูหลอกเอาเงินมึงเลยดีกว่าง่ายดี แถมยังน่าจะได้เยอะกว่าด้วย ทำไมเรื่องแค่นี้คิดไม่ได้กันวะ” “นี่มึงสนับสนุนให้คนมาหลอกกูเหรอ” อาร์เจพูดไปขำไป ดูเหมือนเพื่อนจะเจ็บใจแทนเขาไม่น้อยเลย “กูก็แค่เปรียบเปรยเฉย ๆ ว่าผู้หญิงบางคนก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่ตัวเองมีอยู่คือกรวดหรือเพชร” “ช่างเถอะน่า” อาร์เจเอ่ยประโยคอย่างเกียจคร้าน แล้วบิดตัวเอนไปกับพนักพิงโซฟา เขาไม่อยากคิดมากกับเรื่องนี้หรอก “บางทีก็กูนี่แหละที่เป็นกรวด” “มึงก็เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองอย่างเดียว” คำพูดคล้ายกันอีกแล้วแฮะ... “เมื่อก่อนมึงก็ด่ากูเช้าเย็นนี่ ว่ากูเฉื่อยชา ตายด้าน ทำผู้หญิงเสียเวลาไม่ใช่หรือไง...” ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรไม่ดีกับเขา แต่ความจริงที่ว่าเขาทำตัวแบบไหนใส่คนอื่นมันก็ใช่ว่าจะถูกลบล้างไปด้วย “ถือว่าหายกันจะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างกันอีก” เขาว่าแบบนั้นแล้วเงยหน้าปิดเปลือกตาเบา ๆ จนเบื่องหน้าค่อย ๆ ถูกความมืดมิดปกคลุมเพื่อพักสายตาลงซักครู่ มันก็แค่ความสัมพันธ์ที่ควรจะจบไปตั้งนานแล้ว และวันนี้ถึงเวลาได้จบซักทีก็เท่านั้น ถ้าตัดเรื่องที่ข้าวหอมหลอกเขาทิ้งไป จากที่ได้ฟังสิ่งที่อยู่ในใจข้าวหอมตรง ๆ เป็นครั้งแรก ก็ทำให้เขารู้ว่าเวลานั้นตัวเองเป็นได้แค่กรวดเท่านั้น ไม่ได้ดูแลเธอดีเท่าที่ใจจริงเธอต้องการ เขารับรู้มาตลอดว่าข้าวหอมเกรงใจเขา แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหรือทำเพื่อให้เธอผ่อนคลายลงเลย คิดแค่ว่าหากข้าวหอมต้องการอะไรก็คงจะบอกเขาเอง แต่กลายเป็นว่าเส้นทางระหว่างเรามันค่อย ๆ แยกออกจากกันไปเรื่อย ๆ และไม่มีใครที่คิดอยากจะหักหัวเลี้ยวให้มาบรรจบกัน เขาไม่พูดเธอก็ไม่ถาม เธอไม่พูดเขาก็ไม่ถามเช่นกัน มันหมายความว่าอะไรรู้ไหม...เราก็แค่อยากเข้าใจเขาในสิ่งที่เราอยากเข้าใจและตัดสินเอาเองว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้แน่นอน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายคิดจริง ๆ หรือไม่ก็ตาม ซึ่งมันก็หมายความว่า...เราไม่ได้อยากเข้าใจกันจริง ๆ หรอก นอกจากเพื่อนก็ไม่เคยมีใครที่อยากเข้ามาทำความเข้าใจเขาจริง ๆ ว่าเขารู้สึกยังไง ต้องการอะไร หรือคิดอะไรอยู่... ‘เห็นเธอเงียบไป พี่ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่เลยน่ะ...ถึงจะดูว่าไม่เป็นอะไร...แต่ไม่เป็นอะไรจริง ๆ น่ะเหรอคะ ?’ และเขาก็ดันเป็นคนที่ไม่ชอบบอกความรู้สึกของตัวเองซะด้วยสิ ‘ผมไม่ชอบคนโกหกเลย...’ “หือ ?” คิดแบบนั้นก็ไม่ถูกสินะ...ยังมีบางคนที่ไม่ได้แค่หน้าตาคล้าย ๆ เพื่อนของเขาอย่างเดียวเท่านั้น อาร์เจอดรู้สึกถึงภาพที่ทับซ้อนไม่ได้ เมื่อก่อนเขาก็ฟังมาร์‍ชซักไซ้จนเบื่อหน่าย คราวนี้ยกกำลังมาทั้งพี่ทั้งน้องเลย ตลกดีเหมือนกัน... อาร์เจทำหน้ามึน ๆ ซักครู่ร่างสูงก็เด้งตัวขึ้นแล้วเอ่ยลาเจ้าของบ้าน “กูกลับบ้านแล้วนะ ดึกเกินไปแล้ว” “เออ ๆ” มาร์‍ชไม่ได้รั้งไว้เพราะรู้สึกว่าดึกแล้วจริง ๆ อย่างที่ว่า ก่อนจะหันซ้ายขวาแล้วโบกมือไล่เพื่อน “กลับดี ๆ ล่ะ เดี๋ยวกูต้องรื้อบ้านหากุญแจอีกเนี่ย ไม่รู้มุดอยู่ไหน” ใบหน้าหล่อชะงักแล้วเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่กระเป๋าบนโต๊ะซึ่งอยู่ด้านหน้า ลังเลครู่หนึ่งว่าจะบอกเพื่อนดีมั้ย แต่คิดไปคิดมา ไม่บอกดีกว่า... “เออ...โชคดี” คงจะเจอหรอกเพื่อนรัก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม