บทที่ 12 : ปิดประตูตีแมว

2923 คำ
“ที่พูดแบบนี้ เป็นเพราะพี่เองก็ทำใช่ไหมคะ ระหว่างที่เราคุยกัน พี่ก็คุยกับคนอื่นเต็มไปหมดใช่ไหมถึงได้บอกว่ามันไม่สำคัญ และอีนี่ก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่พี่คุยใช่ไหม !” “...” ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เคยสดใสและยิ้มเอาใจอีกฝ่ายอยู่เสมอ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวขณะที่พูดก็ตะคอกใส่เขาอย่างโมโหร้าย มัดหมี่ลอบถลึงตาใส่เด็กเปรตที่ไม่รู้จักผิดรู้จักถูกตรงหน้า มีอย่างที่ไหนตัวเองผิดเองแท้ ๆ ดันพาลไปโทษคนอื่น สันดานไม่ดี หากไม่ใช่เพราะต้องการรักษาภาพลักษณ์แล้วล่ะก็แม่จะจิกหัวเด็กนี่แล้วสั่งสอนพฤติกรรมซักทีให้เข็ดหลาบ แม้ว่าจิตใต้สำนึกจะประท้วงแต่เสียงที่ตอบกลับไปกลับต้องดัดให้อ่อนลงพร้อมทั้งยกมือปิดปากทำท่าตกใจ “ไม่ใช่นะคะน้อง...” “ใครต้องการความเห็นของแก !” “...” อีเด็กเวร...มัดหมี่กัดฟันกรอดที่โดนปีนเกลียวอีกครั้ง แต่เธอก็ทำหน้าสลดแล้วเงยหน้ามองคนสูงกว่าด้วยสีหน้าหงอ ๆ เหมือนกับสะเทือนใจ และตกใจไม่น้อยกับเสียงขัดนั้น “ตี๋...” ยิ่งอีกฝ่ายสติแตกจนแสดงด้านแย่ ๆ ออกมามากแค่ไหน ก็ยิ่งส่งเสริมคนอื่นให้ดูสูงขึ้นมากเท่านั้น เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรือไง...เด็กเมื่อวานซืน ใบหน้าสวยสลดวูบทันทีที่โดนตวาดให้หยุดพูด อาร์เจที่ตอนแรกกะจะเงียบจนถึงที่สุดเพราะเหนื่อยจะอธิบายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาคิดว่ายืนเถียงกันไปกันมาแล้วเมื่อไหร่จะจบและแยกย้ายกันกลับบ้านกลับช่องเสียที แต่ข้าวหอมดันฟาดงวงฟาดงาไปเรื่อย แถมยังไปใส่ร้ายคนข้างตัว ทั้งที่มัดหมี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของพวกเขาอย่างที่ถูกกล่าวหา “พี่หมี่เป็นพี่สาวเพื่อนพี่ ไม่ใช่แบบที่เราคิดหรอก” “ใครเชื่อก็โง่ละ พี่เห็นหนูเป็นควายเหรอ ?” น้ำเสียงแสดงอาการน้อยใจระคนโมโหส่งออกผ่านน้ำเสียงแหลมบาดหู “หนูคุยกับพี่ทำไมหนูจะรู้สึกไม่ได้ล่ะว่าพี่ไม่สนใจหนูเลย แล้วมันจะเป็นอะไรได้ถ้าพี่ไม่ได้คุยกับคนอื่นอยู่ เลิกโกหกกันซักที” อาร์เจนิ่งด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ แม้เขาจะตกใจไม่น้อยที่เธอโพล่งสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นครั้งแรก มันไม่ได้ผิดอะไรในสายตาของเขา และเขาก็มีหน้าที่เพียงแค่ตอบกลับบางส่วนในสิ่งที่เธอเข้าใจผิดไป “พี่ไม่ได้โกหก” เขาพูดเพียงเท่านั้นจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้อยากอธิบายอะไรเพิ่มเติมอย่างที่ข้าวหอมต้องการ คนตัวเล็กกำมือแน่นดวงตาแดงก่ำและรื้นไปด้วยหยาดน้ำ “อีกอย่างนะข้าวหอม...ถ้ารู้สึกไม่ดีก็ควรจะบอกพี่ เพราะพี่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเราคิดแบบนี้มาตลอด” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเคย น้ำเสียงที่ตอบกลับก็ไม่ชัดเจนพอที่จะบ่งบอกได้ว่าผู้พูดพูดออกมาด้วยอารมณ์ไหน อาร์เจรู้สึกตื้อในสมอง เขาย้อนกลับไปในขณะที่อยู่กับข้าวหอม ในช่วงเวลาต่าง ๆ และทุกครั้งเขาก็ทำทุกอย่างด้วยความซื่อตรงกับความรู้สึกขณะนั้น ตอนนี้จึงมีเสี้ยวนาทีที่รู้สึกผิดกับเธอ หากเธอบอกเขาซักหน่อยว่าไม่โอเคในสิ่งที่เขาทำ ความสัมพันธ์ของเราก็คงไม่กินเวลาชีวิตกันนานขนาดนี้ เขานึกว่าเธอมีความสุขดีซ่ะอีก ถึงแม้ว่าเพื่อนจะบอกเขาว่าเธอเป็นอย่างนู้นอย่างนี้แต่เขาก็ไม่อยากตัดสินเธอเพียงเพราะคำพูดของคนอื่น ถ้าเธอบอกกันตามตรงตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องทรมานขนาดนี้... คิดแบบนี้อาจจะมองว่าอาร์เจโทษอีกฝ่าย แต่กลับไม่เป็นแบบนั้นเขายังคงรู้สึกโทษตัวเองและรู้สึกผิดกับข้าวหอมไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าข้าวหอมจะโกหกเขาหลายครั้งต่อหลายครั้ง...แต่ก็เป็นเขาที่เปิดโอกาสให้เธอทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารับรู้ได้ว่าตัวเองไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยตอนที่เห็นเธออยู่กับผู้ชายคนอื่น เขาไม่ได้ต้องการคำอธิบายหรือรู้สึกหงุดหงิด ไม่ได้มีความสงสัยว่าผู้ชายที่เธออยู่ด้วยคือใคร อะไรทำให้เธอเลือกที่จะทำแบบนี้ และที่สำคัญเขาไม่ได้แค้นเคืองที่ถูกเธอหลอก ทั้งที่ควรรู้สึกอีกแบบแต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย เขาจึงเห็นใจในตอนที่อีกฝ่ายร้อนรนและรู้สึกทรมานใจ ราวกับไม่ได้ช่วยแบกรับอะไรไว้ หลายอย่างมันก็ทำให้อาร์เจสับสนกับการลองผิดลองถูกของชีวิตในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่...เหมือนกับว่ากำลังหลงทางจริง ๆ “พี่ผิดเองครับ” “คาดเข็มขัดด้วยครับพี่หมี่” “อ๋อค่ะ...” มัดหมี่นั่งเหม่อในตอนที่ทั้งสองกลับมาที่รถหลังจากที่อาร์เจขอคุยกับผู้หญิงอีกคนเป็นการส่วนตัว และขอให้เธอนั่งรอใกล้ ๆ ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วว่าเธอก็เลือกนั่งในจุดที่สามารถสอดรู้สอดเห็นและได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน การสนทนาไม่มีอะไรพิเศษเลย มีเพียงแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เท่านั้นที่ทำสีหน้าเคร่งเครียดและร้องไห้ออกมาพร้อมทั้งต่อว่าเขาอยู่นานว่าที่ผ่านมาเธอรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เขาทำ ส่วนอาร์เจก็ยังนิ่งเฉยและรับฟังพร้อมพูดขอโทษในสิ่งเหล่านั้น ซึ่งจากที่เห็นมัดหมี่รู้สึกว่ามันโคตรจะไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโหแทนเขาที่ยัยนั่นมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่นและทำเป็นลืมในสิ่งที่ตัวเองทำผิดเหมือนตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ ถึงแม้สุดท้ายแล้วทั้งคู่จะแสดงออกชัดเจนว่าคงตัดขาดกันแล้ว แต่ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมอาร์เจถึงเป็นคนที่ต้องยอมรับผิด ในเมื่อคนผิดคือคนที่จงใจหลอกคนอื่นต่างหาก พาลใส่คนอื่นแถมยังหาคนผิดร่วมอีก บ้าบอกันไปใหญ่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมัดหมี่กลับไม่สามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่าเขาใจดีเกินไป บางทีกลับรู้สึกว่าเขานั้นใจร้ายด้วยซ้ำที่ไม่พูดหรืออธิบายอะไรไปเลยซักคำ เป็นความรู้สึกขัดแย้งที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง... เธอเหลือบมองคนข้างตัวขณะที่คาดเข็มขัดตามที่อีกฝ่ายบอก ขณะที่สายตาก็เหลือบมองใบหน้าที่เหมือนกับแสดงออกเป็นอยู่หน้าเดียว แล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ คนอะไรอ่านยากชะมัด...อยากรู้จริง ๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ “ตี๋...” “ครับ ?” “พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” “ถามเหรอครับ ?” อาร์เจชะงักเพราะเขาเดาไม่ออกว่าเธอมีอะไรที่ต้องการรู้ จึงเลิกคิ้วอย่างรอคอยคำตอบ ซึ่งมัดหมี่ก็ถามออกมาด้วยแววตาใสแจ๋วเป็นประกายที่มีแต่เครื่องหมายคำถามอย่างปิดไม่มิด “เห็นเธอเงียบไป พี่ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่เลยน่ะ” “...” “ถึงจะดูว่าไม่เป็นอะไร...แต่ไม่เป็นอะไรจริง ๆ น่ะเหรอคะ” มัดหมี่จ้องเขาและถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ราวกับคงต้องถามเพราะต่อให้มองจากสีหน้าก็จนปัญหาจะอ่านออก “ทำไมถึงทำเหมือนกับว่าตัวเองผิดล่ะคะ ตี๋ไม่ผิดอะไรซักหน่อยนะ” หากไม่ได้รับความกระจ่างจากสิ่งที่ตัวเองสงสัยคาดว่ามัดหมี่ก็คงนอนไม่หลับจึงเลือกที่จะถามเขาตรง ๆ คนฟังส่งสายตาแปลกใจครู่หนึ่งก่อนที่มันจะถูกกระพริบหายไปจากดวงตาคมอย่างรวดเร็ว “งั้นเป็นความผิดของใครล่ะครับ ระหว่างโทษอีกฝ่ายกับตัวเอง ผมว่ารับความผิดไว้เองเรื่องจบง่ายกว่านะ” “ทำเพราะมันง่ายกว่าเหรอคะ” “ไม่ได้เหรอครับ” “มันก็ได้ค่ะ แต่มันดีแน่เหรอ ไม่ใช่ว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรอกเหรอ ?” “...” อาร์เจคิ้วกระตุกไปนิดหน่อยกับคำพูดเบา ๆ ที่คล้ายกับพึมพำถาม เขาไม่คิดว่ามัดหมี่จะพูดกับเขาด้วยซ้ำเหมือนกับเธอพูดกับตัวเองมากกว่า “พี่คิดแบบนั้นเหรอครับ” ถึงแม้จะอดต่อว่าเธอในใจไม่ได้ว่ามัดหมี่ก็ไม่ได้รู้เบื่องลึกเบื่องหลังซักหน่อยกลับทำเป็นรู้ดี แต่เพราะว่าเธอเป็นพี่สาวเพื่อนสนิทที่มีนิสัยชอบตัดสินอะไรตามใจตัวเองแบบมาร์‍ชคงจะมีนิสัยคล้าย ๆ กันเขาจึงไม่ได้ถือสา กลับมองเธอดีกว่าน้องชายนิดหน่อยตรงที่ยังมีกะใจไถ่ถาม และรู้สึกว่าเธอนั้นมีน้ำใจที่จะเห็นอกเห็นใจคนอื่นที่เธอไม่ได้สนิทด้วย “อื้อ ถ้าต้องโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดตัวเอง มันก็จะเหนื่อยไม่ใช่เหรอ สู้อธิบายและยอมรับความผิดของใครของมันไม่ดีกว่าเหรอคะ ยังไงในทุก ๆ ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ผิดเต็มประตูหรอกค่ะ” หญิงสาวพูดออกมายาวเหยียดกับสิ่งที่คิด และอาร์เจก็พยักหน้าเมื่อฟังจบ แต่เขาไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำหรอก... “ไม่รู้สิครับ ถ้าไม่ได้จะไปกันต่ออยู่แล้วจะอธิบายไปให้ได้อะไรขึ้นมาล่ะ รู้แค่ว่าสุดท้ายมันจบด้วยดีก็พอแล้ว” เขารู้ว่าต่างฝ่ายต่างผิด แต่การที่อีกฝ่ายจะรู้หรือไม่ เป็นสามัญสำนึกที่เขาไม่ได้มีหน้าที่สอนใครให้เสียเวลา “แต่ถึงอย่างงั้นก็อย่าโทษแต่ตัวเองเลยค่ะ ไม่เห็นต้องรับผิดชอบคนเดียวเลย” ไม่ว่าจะใช้คำพูดที่สวยหรูแค่ไหน สุดท้ายการตัดใครซักคนออกไปจากชีวิตมันก็เป็นเพราะความสัมพันธ์มันแย่ถึงได้จบ แต่การที่อาร์เจจะรับบทเป็นคนผิดทั้งหมดมันทำให้มัดหมี่รู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย อาร์เจหัวเราะเล็ก ๆ และเมื่อถึงบริเวณไฟแดงเขาก็หันมามองคนที่ทำหน้าทำตาตำหนิในสิ่งที่เขาคิดด้วยสายตาที่จ้องมาราวกับเป็นห่วงเขามากมาย ตอนแรกก็ว่าจะปล่อยเบลอไปแล้วนะ...แต่เธอยุ่งมากจริง ๆ จนอยากจะเก็บมาคิดซะแล้ว “แล้วให้โทษใครครับ ?” “โทษพี่ก็ได้ เพราะพี่เธอถึงมาเห็นและเลิกกับแฟน” “อ๋อ...พี่รู้สึกผิดงั้นสินะครับ” “ค่ะ...” มัดหมี่พยักหน้า แต่ก็ไม่คิดว่าจะโดนเขาหรี่ตาใส่อย่างไม่เชื่อถือ “ทำไมคะ พี่รู้สึกผิดไม่ได้หรือไง” แม้ว่าความตั้งใจแรกจะอยากให้เขารู้ว่าตัวเองโดนหลอกอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้อยากเห็นเขาเสียใจหรอกนะ ถึงแม้เขาจะไม่แสดงออกว่าเสียใจ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้าตัวคิดอะไรอยู่ “ย้อนแย้งนิดหนึ่งนะ” “คะ ?” เมื่อกี้เขาพูดกับเธอเหรอ... “พี่จะรู้สึกผิดในสิ่งที่พี่ตั้งใจทำไปทำไมล่ะครับ” อาร์เจพูดเสียงกลั้วขำ เขาหันไปมองใบหน้าสวยที่กำลังย่นคิ้วไม่เข้าใจก่อนจะพูดต่อ “ในเมื่อพี่เป็นคนอยากให้ผมมาเห็นอะไรแบบนี้ แต่บอกว่าเป็นห่วงความรู้สึกของผม มันจะไม่ย้อนแย้งไปหน่อยเหรอครับ” อืมก็ย้อนแย้งจริง ๆ นั่นแหละ...ตอนนี้ในหัวของเธอมีแต่ความคิดที่ไม่สามารถเข้าใจได้เต็มไปหมดเลย...แต่เดี๋ยวนะ “...” เขาพูดเหมือนกับรู้อยู่แล้วเลยว่าเธอจัดฉาก “มันยากที่จะเชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญนะครับ” มัดหมี่ถึงกับเก็บสีหน้าไม่อยู่ เธอเหวอไปเพราะอาร์เจพูดออกมาด้วยความมั่นใจ เขากำลังบอกว่าเขามองออกและไม่ได้สันนิษฐานไปมั่ว ๆ “พี่...พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมตี๋ถึงคิดแบบนั้น” เธอทำใจดีสู้เสือ ตีหน้าซื่อเอียงคอถาม แม้ว่าจะหายใจไม่ค่อยสะดวก รู้สึกเย็นเฉียบจนเสียวสันหลังแต่เหงื่อกลับไหลย้อยไปตามกรอบหน้า “พี่ไม่ได้มีเหตุผลที่จะต้องทำแบบนั้นซักหน่อยค่ะ” “ก็นั่นน่ะสิครับ” “ใช่มั้ยล่ะคะ” “แล้วทำทำไมล่ะ...พี่ไม่ได้เมาจนขับรถกลับบ้านไม่ไหวขนาดที่ต้องให้น้องชายมารับข้ามจังหวัดซักหน่อย” “พี่รอตี๋คุยจนสร่างแล้วต่างหากล่ะ” “ก็เป็นไปได้ครับ” เขานิ่งไปนิดกับคำพูดที่ดูสมเหตุสมผลก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “อื้อ” “อืม...แล้วพี่ไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมผมถึงมากับไอ้มาร์‍ช...” พอพูดปุ๊บใบหน้าสวยก็พยักหน้าขึ้นลง บ่งบอกว่าสงสัยทันทีทันใด เขาก็เล่าเหตุการณ์ “พอดีไอ้มาร์‍ชมันหากุญแจรถไม่เจอน่ะครับ” “งั้นเหรอ...แน่ล่ะเด็กบ้านั่นความเป็นระเบียบติดลบ จะหาของไม่เจอไม่ใช่เรื่องแปลกเลย” “ผมก็ว่างั้น...” อาร์เจได้ฟังที่พี่สาวเพื่อนพูดราวกับรู้นิสัยน้องชายตัวเองดีก็พยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้ง มาร์‍ชเป็นคนประเภทนั้นจริง ๆ “หาเจอก็แปลกแล้วล่ะ” “...” “ก็มันอยู่ในกระเป๋าพี่นี่ จะหาเจอได้ไง” “คะ ?” มัดหมี่สะดุ้งโหยง หันกลับไปมองใบหน้าของเขา ใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้วเรียบร้อย ทำไมล่ะ...เขามีตาทิพย์หรือไง “ผมไม่ชอบคนโกหกเลย...” “...” มัดหมี่เงียบกริบ ปากที่กำลังจะปฏิเสธอ้าค้างกลางอากาศ ท่าทางที่กำลังส่ายหัวของเขาบ่งบอกว่าให้เธอหยุดแถเถอะ ยังไงก็ไปไม่รอด ทำให้นึกถึงตอนที่อยู่ในร้านเหล้าก่อนที่จะแยกย้ายออกมา...ถึงว่าทำไมเขาบอกมาร์‍ชว่าจะไปส่งเธอเอง ในเมื่อต่างคนต่างกลับก็ได้แท้ ๆ แต่เพราะเธอรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่จะได้อยู่กับเขาจึงปัดความคิดนั้นทิ้งไป...คิดไม่ถึงเลยว่านี่มันเป็นการ...ปิดประตูตีแมว “ผมไม่ได้เข้าใจผิดหรอกครับ เพราะผมไม่มีทางจำพวงกุญแจที่ซื้อให้เพื่อนเป็นของขวัญวันเกิดไม่ได้ ผมก็เลยมั่นใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก เพียงแค่ผมไม่รู้ว่าพี่ทำไปทำไม บอกได้ไหมครับว่าทำไม ?” ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเงียบนิ่ง สุขุม แถมในตอนที่อยู่กับเด็กเก่าของเขามีช่วงให้พูดเยอะแยะดันมาบอกว่าไม่อยากพูดเพราะไม่มีประโยชน์ แต่คนที่ให้เหตุผลแบบนั้นออกมากลับกำลังไล่ต้อนพี่สาวเพื่อนและพูดยาวเป็นพืดดักทุกทางจนดิ้นไม่หลุด มัดหมี่ถึงกับอึ้งว่านี่เขาเป็นเพื่อนมาร์‍ชน้องชายหน้าโง่ของตัวเองจริง ๆ น่ะเหรอ ทำไมถึงได้ฉลาดนักนะ ! “คือ...” “ครับ ?” คนที่ไม่ได้เตรียมแผนสำรองมาก่อนถึงกับกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างกดดันมือเริ่มเปียกเพราะเหงื่อซึม พูดจาไม่เป็นภาษา และไม่รู้ว่าเขาแกล้งหรือเปล่าถึงได้ครางถามกลับมาอย่างใจเย็น และไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยผ่านไปหรือพูดเพื่อเบี่ยงประเด็นว่า อ๋อ ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรครับ อะไรแบบนั้น แต่เหมือนกับกำลังบีบคั้นบอกให้ พูดออกมาซะเถอะ มากกว่า เขามันเลือดเย็นจริง ๆ “อ้าว...” คิ้วหนาขมวดย่นอย่างงุนงงในตอนที่รถยนต์ของตัวเองตรงไปยังช่องด่านเก็บเงินขึ้นทางด่วนแบบ Easy Pass จู่ ๆ ก็มีพนักงานโบกรถของเขาให้ไปอีกช่องราวกับกำลังบอกว่าเครื่องเสียไม่พร้อมใช้งานขณะนี้ ทำให้คนขับต้องละความสนใจจากเธอไปชั่วขณะหนึ่ง อาร์เจงงกับการจราจรด้านหน้าที่ชะงักกะทันหันจนต้องค่อย ๆ ถอยรถไปยังอีกช่องที่เป็นแบบเงินสดแทน โชคดีที่เขาเคยแลกแบงก์ย่อยเสียบไปบริเวณช่องแถว ๆ ประตูเผื่อฉุกเฉินต้องใช้แบบคราวนี้ ก่อนที่จะลดกระจกเพื่อจ่ายเงินขึ้นทางด่วน พอออกรถมาไกลจากตรงนั้นซักพักเขาก็กำลังจะหันกลับไปหาคนตัวเล็กข้างตัว กำลังจะอ้าปากพูดอะไรซักอย่างก่อนจะชะงักค้างและแปรเปลี่ยนเป็นยกยิ้มขำ “สงสัยจะหลับแล้วแฮะ...” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงประชดประชันอย่างจงใจให้คนแกล้งหลับได้ยิน แต่เห็นคนแกล้งหนีขนาดนั้นเขาก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำจนถึงขนาดที่จะไปปลุกให้เธอลืมตาเพื่อตอบคำถามหรอก เขาแค่แกล้งเธอเล่นก็เท่านั้น ไม่ได้โกรธที่เธอเข้ามาวุ่นวายหรือนึกอยากรู้อะไรขนาดนั้น คงเพราะที่ผ่านมาหลายครั้งเขาเองก็เผลอเข้าไปยุ่งเรื่องของเธอเหมือนกัน ถือว่าเจ๊ากันก็ได้... มือหนาข้างซ้ายเสยผมที่เริ่มยาวจนตกละไล้หน้าผากไปยังด้านหลังลวก ๆ ก่อนที่จะถอนหายใจเบา ๆ และเริ่มใช้ความคิด...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม