บทที่ 11 : เด็กเสี่ย

3012 คำ
โลเคชั่นปรากฏจุดหมายที่ตั้งอยู่ไกลโพ้นแถบชานเมืองซึ่งไกลจากที่อยู่ปกติจากการคำนวณเวลาในแผนที่พบว่าต้องใช้เวลาบนท้องถนนนานมากกว่าที่จะถึงร้าน “เนี่ยไม่ให้กูบ่นได้ไง ร้านเหล้าที่กรุงเทพฯ มีเป็นร้อยเป็นล้าน ดันแบกสังขารไปนู่น แล้วเสือกกลับเองไม่ได้ด้วยนะ” “มึงก็ไปบ่นกับพี่มึงสิ กูไม่ใช่พี่มึง” “ใครจะกล้าวะ หน้ายังร้ายไม่ได้ครึ่งของปากเลยนะ” มาร์‍ชส่ายหัวราวกำลังบอกว่า เขาไม่เอาด้วยเด็ดขาด “กำลังจะบอกว่านิสัยร้ายกว่าหน้าอีกเหรอ” อาร์เจถาม มัดหมี่ถือเป็นผู้หญิงที่ใบหน้าร้ายใช่ย่อยถ้าเอาหน้าเป็นบรรทัดฐานเขานึกไม่ออกเลยว่านิสัยจะร้ายขนาดไหน แต่จากการที่เขาเคยเห็นรู้สึกว่านอกจากนิสัยที่แปลก ๆ ตอนเมา หากเป็นในช่วงเวลาปกติเธอก็ดูเป็นคนที่โอเคประมาณหนึ่ง ไม่เหมือนอย่างที่เพื่อนของเขาใส่ร้ายพี่สาวตัวเองให้ฟังเลยซักนิด “ร้ายแต่กับกูน่ะสิ เคยได้ยินมั้ยเก่งแต่กับกูอ่ะ จิกหัวใช้แต่กูนี่แหละ เมื่อไหร่จะมีผัววะ กูจะได้หลุดพ้นซักที” “คนที่ควรพูดคำนั้นคือกูมั้ย คนที่รับเคราะห์จริง ๆ คือกูต่างหาก” ถ้าพูดให้ถูก มัดหมี่คือความรับผิดชอบของน้องชายเธอ ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เลย แต่ที่โดนร่างแหไปด้วยเพราะน้องชายเธอดันตัวติดกับเขา และหลายครั้งที่เขาต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตเธอเยอะเกินความไม่จำเป็น เขาต่างหากที่ควรบ่น ยังไม่บ่นเลย “แต่เดี๋ยวก็มี...” เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำเบาหวิว “ฮะ ?” อาร์เจเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองได้เผลอพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาก็ตอนที่ได้ยินเสียงขานรับของเพื่อนที่คล้ายกับได้ยินไม่ถนัดและต้องการฟังอีกครั้ง “แฟนไง ก็มึงถามไม่ใช่เหรอว่าเมื่อไหร่เขาจะมี...เร็ว ๆ นี้แหละ” มาร์‍ชเลิกคิ้วเล็ก ๆ ถามว่า รู้ได้ยังไงว่าจะมี เขาก็ยักไหล่แล้วเสสายตาไปหาแวบหนึ่งขณะที่ขับรถ ประมาณว่า มันก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ “ก็สวยซะขนาดนั้น โสดได้ไม่นานหรอก” เขาตอบไปตามสิ่งที่เห็นและรู้สึกได้ เผลอ ๆ ที่มัดหมี่ยังโสดบางทีปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเธอเอง อาจจะเพราะน้องชายอย่างไอ้มาร์‍ชที่ปากอย่างใจอย่าง บ่นไล่ประหนึ่งอยากให้เธอรีบมีแฟนเร็ว ๆ จะได้ผลักภาระไปจากตัว แต่ใจจริง ๆ แล้วหวงพี่สาวยิ่งกว่าอะไร 01.00 น. @ Treter Club in Nonthaburi “ดั้นด้นมาถึงนี่เพื่อฟังเพลงรำวงจริงเหรอวะ...” ขายาว ๆ ก้าวเข้าไปในร้าน มาร์‍ชอดพึมพำไม่ได้เมื่อพนักงานเปิดประตูให้แล้วเพลงจังหวะสนุกสนานดังเข้าโสตประสาท ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าพี่สาวของเธอมาถึงนี่เพื่ออะไร กลิ่นบุหรี่และเหล้าลอยคลุ้งผสมกันอยู่บนอากาศ จนต้องย่นจมูกฉุน สายตาคมสอดส่องไปทั่วในส่วนของด้านล่างที่แสงไฟสว่างจ้าผู้คนเริ่มเบาบางลงเพราะถึงเวลาร้านปิด “พี่มึงรับสายมั้ย” “ไม่รับเลย” “ชั้นบนล่ะ” “...” มาร์‍ชเริ่มหัวเสียกับการตามหาคนเมาที่บัดนี้ไม่รู้ว่าจะเละเทะถึงขั้นไหน โทรไปจนสายแทบไหม้ก็ไม่มีผีซักตัวที่จะกดรับแล้วชี้ตำแหน่งว่าอยู่ตรงไหนของร้าน ถึงลูกค้าส่วนมากจะทยอยกันออกไปแล้วแต่ร้านนี้ก็ใหญ่มากแถมมีสองชั้นทำให้เขาต้องวิ่งวุ่นลำบากหา เมื่อเห็นว่าด้านล่างไม่มีแน่ ชายหนุ่มทั้งสองก็เดินขึ้นไปชั้นบน ระหว่างนั้นมาร์‍ชก็กลอกตาอย่างหมั่นไส้ที่เห็นหญิงสาวสามคนกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน และบัดนี้แววตาแต่ละคนดูฉ่ำเยิ้มลอย ๆ บ่งบอกถึงปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายคงเยอะไม่ธรรมดา แถมยังอยู่บริเวณโซน VIP ซะด้วย รวยกันซะจริงสวนทางกับสภาพการเงินของน้องชายเธอเอามาก ๆ “เจ๊...” มาร์‍ชเดินเข้าไปยกมือไหว้เพื่อนในกลุ่มมัดหมี่อีกสองคนก่อนที่จะคว้าหมับเข้าที่แขนเป้าหมายซึ่งยังหัวเราะเอิ๊กอ้าก เมื่อไม่ทันได้ตั้งตัวคนตัวเล็กก็สะดุ้งโหยงแต่พอเห็นว่าคนมาใหม่คือน้องชายก็ฉีกยิ้มให้ “ฮายยย~” นิ้วเรียวกระดิกไหว ๆ ไปมาอย่างร่าเริงสวนทางกับใบหน้าบึ้งตึงติดรำคาญของมาร์‍ชโดยสิ้นเชิง “ไม่เล่น ลุก ! กลับบ้านได้แล้ว วุ่นวายมากเลยรู้ตัวบ้างป่ะ” มัดหมี่ไม่สนใจคำพูดที่แสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์นั้น เธอมองเลยไปที่ร่างสูงโปร่งอันหล่อเหลาที่ยืนอยู่ด้านหลังน้องชายแล้วโบกมือทักทายอีกครั้ง “ตี๋~ มาด้วยเหรอ มานั่งดริ้งด้วยกันมั้ย” “ไม่ล่ะครับ ร้านปิดแล้วแยกย้ายกันกลับเถอะ” อาร์เจส่ายหน้าแล้วตอบปฏิเสธคนที่ทักทายเสียงยานครางแถมยังใจดีชวนดื่ม ดวงตาคมเสมองบนโต๊ะที่มีเหล้าดีกรีค่อนข้างสูงขวดลิตรซึ่งขณะนี้ของเหลวด้านในหายไปจนเหลือติดอยู่ก้นขวดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นทั้งที่พวกเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แถมมากันแค่สามคน แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะไม่ชอบใจกับคำตอบของเขาซักเท่าไหร่เพราะทันทีที่เขาไม่ทำตามความต้องการของเธอ ดวงตากลมก็มองเลยตัวเขาไปอีกด้าน พอมองตามสายตาเธอไปก็พบว่าอีกฝั่งมีโต๊ะใหญ่ที่คนเยอะพอสมควร คิ้วสวยได้รูปย่นเข้าหากัน เงียบไปอึดใจหนึ่งก็เงยหน้ามองเขา “ร้านเลิกอะไร ยังมีคนอยู่เลยค่ะ ไม่เชื่อหรอกอย่ามาหลอกซะให้ยาก” “จริงด้วย” อีกสองสาวเอ่ยพร้อมทั้งพยักหน้าเห็นด้วยกับมัดหมี่ จนชายหนุ่มทั้งสองลอบมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ สมกับเป็นเพื่อนกันจริง ๆ เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยไม่มีใครปรามใคร คนเมาตาใสดื้อดึงไม่ยอมกลับ งอแงที่จะอยู่ต่อกับเพื่อนให้ได้ แขนเล็กไขว่คว้าทั้งดึงทั้งรั้งมาร์‍ชให้นั่งลงข้างกายจนอาร์เจต้องนั่งตรงข้ามไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ “นี่กูมาทำเหี้ยไรที่นี่วะ” “ทำอะไรนะ ?” “เปล่า...” เห็นสายตาจิกกัดที่พี่สาวส่งมาให้ คนที่พูดบ่นลอย ๆ อย่างเหนื่อยใจก่อนหน้าก็ปฏิเสธ กลัวว่าพูดไม่เข้าหูแล้วจะโดนด่า เพราะรู้ดีว่าอีกคนยิ่งเมายิ่งคึก นี่ยังดีที่พอมีสติพูดคุยอยู่ได้บ้างไม่ได้ดื่มจนขาดสติตัวเหลวเป็นน้ำแบบครั้งก่อน “จะอยู่ถึงเมื่อไหร่” “...” มัดหมี่เหล่ตาไปอีกทาง แวบหนึ่งก็หันมาคุยแล้วชี้ไปที่ขวดแก้วใส “จนกว่าเหล้าจะหมดขวด แต่ว่าร้านเขาไม่ให้สั่งมิกซ์เซอร์แล้วเลยกินกันไม่ไหว” “เดี๋ยวกูจัดการเอง” ได้ยินดังนั้น อาร์เจก็คว้าเหล้าติดขวดนั้นไว้ในมือ เห็นแก้วเปล่าวางอยู่ใกล้ ๆ ตัดสินใจเทรวดเดียวหมดจนหยดสุดท้ายก็ปาไปครึ่งแก้ว แล้วกระดกเพียว ๆ ลงคอ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขารู้ว่ามาร์‍ชดื่มไปเยอะแล้วหากปล่อยให้ดื่มอีกเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะไหวหรือเปล่า อีกอย่างเขารู้ลิมิตตัวเองว่ายังกินได้อีกนิดหน่อย “…” ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองคนที่ยกน้ำสีอำพันขึ้นดื่มจนลูกกระเดือกขยับขึ้นลงหลายอึกยามที่ของเหลวไหลลงคอไป เขาดื่มมันง่ายดายจนคล้ายกับดื่มน้ำเปล่า ท่าทางดิบ ๆ แบบนั้นทำเอามัดหมี่ที่มองด้วยดวงตาประกายจ้าถึงกับขนลุกซู่ โคตรจะแมน โคตรจะเถื่อน โคตรจะตรงสเปกมัดหมี่ อาร์เจนิ่วหน้ากับเหล้าที่บาดคอเล็กน้อย ใช้ลิ้นเช็ดเหล้าที่เลอะมุมปากแล้วเงยหน้าถาม “หมดแล้วครับ กลับได้ยัง” “...” “อย่ามาเหลี่ยม เหล้าหมดแล้ว แยกย้าย ๆ กลับบ้านกลับช่องกันได้แล้ว” มาร์‍ชเอ่ยไล่เพื่อนมัดหมี่กลาย ๆ ที่ดูมีสติกว่าพี่สาวซึ่งบัดนี้เหม่อลอยไปไกล มัดหมี่สะบัดหน้าของตัวเองเล็กน้อย เธอยกนิ้วมาเกาแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อของตัวเองพร้อมทั้งหายใจไม่ทั่วท้อง พยายามใช้สมองที่แบลงค์ของตัวเองคิดว่าจะตีรวนยังไงต่อ แต่เมื่อมองเลยไปที่บันไดแล้วพบคนที่ตัวเองพยายามดึงดันยื้อเวลาเดินกลับเข้ามาแล้ว ก็ลอบมองกับเพื่อนแล้วตอบกลับร่างสูงทั้งสองอย่างว่าง่าย “ก็ได้ค่า กลับก่อนนะพวกแก” “อืม ไว้เจอกัน” “บายยย” จูนขยิบตาก่อนอมยิ้ม ได้ยินเสียงถอนหายใจโล่‍งอกมาจากคนตรงข้าม เธอก็ลุกพรวดขึ้นแต่เมื่อยืนเต็มความสูงก็เซกลับไปนั่งอีกครั้ง “อูยย ปวดหัวจัง” “ไอ้ตี๋กูว่าเดี๋ยวเราต้องแยกกันกลับแล้วแหละ เจ๊แม่งน่าจะขับรถกลับไม่ไหวแล้ว” “คือมึงจะขับรถพี่มึงกลับ ?” “เออ” “แล้ว...” “หยิบกุญแจรถในกระเป๋าเจ๊ให้กูหน่อย” ยังไม่ทันที่อาร์เจจะถามว่าแล้วจะเอายังไงกับคนเมา มาร์‍ชก็ชี้ไปที่กระเป๋าถือข้าง ๆ คนตัวเล็กซะก่อน เขาจึงละความสนใจหันไปหยิบสิ่งที่มาร์‍ชต้องการให้ก่อน มือหนาถือวิสาสะค้นกระเป๋าเพื่อหาสิ่งที่ต้องการก่อนจะชะงักและย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจเพื่อน มาร์‍ชก็เร่งเร้า “ได้ยัง” “อือ...” มือที่ถือกุญแจรถยนต์เอื้อมไปให้ “ส่วนเจ๊...” “เดี๋ยวกลับกับกู” “หือ ? ทำไมวะ” “ก็มึงบอกไม่อยากอยู่กับเจ๊ตอนเมาไม่ใช่เหรอ” ได้ยินเสียงครางอย่างไม่เชื่อหู อาร์เจก็อธิบายสั้น ๆ ถึงสิ่งที่มาร์‍ชเคยพูดกับเขาก่อนหน้านี้ ไม่รอให้เพื่อนยืนงงนานอาร์เจก็ผลักอกให้ออกไปจากโต๊ะ “ตามนั้นแหละ” เมื่อมาร์‍ชต้องหันหลังกลับอย่างช่วยไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าคืนนี้มันเป็นค่ำคืนอะไรถึงได้มีแต่เรื่องอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนเมื่อเขากำลังจะก้าวออกไปจากจุดที่ยืนอยู่เท้าก็นิ่งไม่ขยับ จนอาร์เจที่กำลังลุกตามชะงักไปด้วย “อะไรของมึง เดินสิวะ” “ไหนว่าหอม...กลับต่างจังหวัดไงวะ หรือกูเมาแล้วตาฝาด” “…” อาร์เจไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เพื่อนก็พูดจาแปลก ๆ ออกมา แต่ทันทีที่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบให้เขาเห็นโต๊ะใหญ่อีกด้าน ซึ่งบัดนี้มีคนที่เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะอยู่ที่นี่จึงได้แต่แปลกใจ หญิงสาวตัวเล็กอยู่ในชุดสีแดงนั่งนิ่งอยู่ข้างกายของหนุ่มใหญ่คนหนึ่ง คาดว่าเธอเองคงไม่ได้สังเกตเห็นเขาในคราแรก แต่เพราะสายตาจากทางนี้พุ่งเป้าไปที่เธออย่างชัดเจน คนอีกฝั่งจึงรู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้องแล้วมองกลับมา... “เอ๊ะ ! นั่นแฟนตี๋ไม่ใช่เหรอ ?” มัดหมี่พูดแทรกไม่สนใจบรรยากาศรอบตัวพลางยกนิ้วชี้ไป มาร์‍ชก็กุลีกุจอจับมือพี่สาวตัวเองลง อาร์เจยังคงมองหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนคุยตัวเอง และบัดนี้อีกฝ่ายนั่งแข็งทื่อด้วยนัยน์ตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตากับการปรากฏตัวของพวกเขา อยากจะเชื่อว่าเธออยู่กับพ่อเหมือนกัน ทว่าภาพที่เห็นเบื่องหน้ามันยากเกินกว่าจะใช้เหตุผลนั้นเข้าข้างอีกฝ่าย คงไม่มีพ่อคนไหนที่ใช้มือไม้ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวลูกสาวแบบนั้นหรอก “มึง...” “กลับเถอะ” อาร์เจถอนหายใจเล็ก ๆ แล้วหันไปพูดกับมาร์‍ชด้วยโทนเสียงปกติคล้ายกับว่าไม่ได้รู้และไม่ได้เห็นอะไรทั้งสิ้น มาร์‍ชเสมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ซีดเผือดแต่เธอไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่จะลุกพรวดพราดเข้ามาหาได้ สลับกับใบหน้านิ่งสนิทจนไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ของอาร์เจ “เอางั้นเหรอวะ ?” “เอาอะไร” “กูเอาพี่กูกลับเองก็ได้ มึงจะเคลียร์...” “เคลียร์อะไร” มาร์‍ชพูดไม่ออก ทำไมกลายเป็นเขาที่กระอักกระอ่วนมากกว่าเพื่อนเจ้าของเรื่องอีกเนี่ย และนี่มันใช่สายตาของคนที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองโดนสวมเขาหรือเปล่า ต้องงงอะไรก่อนดีล่ะเนี่ย มาร์‍ชเกาหัวแกรก ๆ กับสถานการณ์ตรงหน้า “สรุปว่ากลับเลยใช่ไหม” “อืม” อาร์เจครางเสียงตอบกลับเพื่อนที่ยังคงทำหน้าไม่มั่นใจ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าหงึก ๆ ขนาดเจ้าของเรื่องยังทำท่าไม่หือไม่อือ การที่เขาจะเป็นเล่นใหญ่เกินเพื่อนมันก็ไม่ใช่เรื่อง เขาพยักหน้าอีกครั้งแล้วเดินลงบันไดไป “ตี๋...” ในขณะที่มัดหมี่เดินเกาะแขนคนข้างตัวเป็นที่ยึดเนื่องจากส้นสูงที่ตัวเองใส่เพื่อไม่ให้ล้ม ก็เหลือบมองเสี้ยวหน้าเขาแล้วเอ่ยเรียกเบา ๆ อาร์เจก็ก้มลงตามเสียงแล้วเลิกคิ้วนิด ๆ เป็นเชิงถาม “คือว่า...” “จะเข้าห้องน้ำหรือเปล่าครับ” มัดหมี่พูดไม่ออกเมื่อเราทั้งสองเดินผ่านห้องน้ำพอดีและเขาก็หยุดอยู่ด้านหน้าห้องน้ำซึ่งแยกหญิงชาย มัดหมี่กะพริบตาปริบ ๆ กับท่าทีเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ของเขา ความตั้งใจของเธอมีเพียงแค่คิดว่าอยากให้เขามาเห็นกับตาว่าตัวเองกำลังถูกหลอก และผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรกับเขาเลยซักนิด แต่มันมีด้วยเหรอ เวลาที่เห็นคนของตัวเองไปอยู่กับคนอื่นแล้วยังทำท่าทางนิ่งเฉยแบบนี้อยู่ได้ สิ่งที่เขาแสดงออกมันใกล้เคียงกับคำว่าไม่ได้แยแสเลยด้วยซ้ำ ก่อนหน้าที่เลือกทำสิ่งนี้เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นเขาในมุมนี้ แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าต้องการให้เขาแสดงอะไรออกมา “ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ” แม้ว่าเธอไม่พูดอะไรออกมา แต่แววตาและสีหน้าเป็นสิ่งที่เธอไม่มีวันที่จะปิดมิดว่ารู้สึกอะไรอยู่ สิ่งนั้นทำให้อาร์เจรู้สึกได้... มัดหมี่กำลังจะพูดขอโทษ แต่ไม่ทันได้ขยับปาก ก็ต้องหันหลังไปตามเสียงเรียกจากที่ไกล ๆ ซึ่งดังขึ้นแทรก พร้อมกับเห็นคนตัวเล็กในชุดสีแดงสดวิ่งออกมาด้วยใบหน้าไม่สู้ดี “เดี๋ยวค่ะ !” “...” เมื่อได้ยินคำว่า เดี๋ยว เขาก็รออย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่ได้เดินหนีแต่อย่างใดจนเธอวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอหอบหายใจคาดว่าไม่ใช่เพราะเหนื่อยอย่างเดียวแต่เพราะรู้สึกกลัว และกดดันด้วย ได้แต่ยืนจ้องหน้ากันอย่างน้ำท่วมปากกันหมด กลายเป็นมัดหมี่เองที่ทำทีขอตัวเลี่ยงออกมา “คุยกันไปก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวพี่ไปรอ...” “ไม่เป็นไรครับ คุยแป๊บเดียวก็จบแล้วล่ะ” “คะ ?” มัดหมี่เอียงคออย่างไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายก็ดูไม่ได้สนใจท่าทีเธอมากนัก หันกลับไปคุยกับคนที่เรียกเขาไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งยืนตัวสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “มีอะไรหรือเปล่าครับ ข้าวหอม” “ฟังหอมก่อนได้หรือเปล่าคะ” “ครับ ได้ครับ อยากจะพูดอะไรเหรอ” แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่แสนสุภาพ ใจดี แต่มัดหมี่กลับรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะน่าขนลุก และทำให้คนฟังรู้สึกกดดันจนพูดไม่ออกมากกว่าเดิมเป็นล้านเท่า เพราะมันมีความหมายเทียบเท่ากับว่า พูดมาสิ มีอะไรจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายงั้นเหรอ ประมาณนั้นเลย เป็นคนใจดี หรือใจร้ายกันแน่นะ จู่ ๆ ก็นึกสงสารเด็กคนนี้ขึ้นมาแล้ว “คือว่า...เรื่องเมื่อกี้นี้น่ะค่ะ” ถึงจะเป็นคนรั้งเพื่ออยากจะอธิบาย แต่ข้าวหอมกลับไม่รู้จะเริ่มต้นอธิบายยังไงดี ได้แต่อึก ๆ อัก ๆ และหายใจติดขัดขณะพูดอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันด้วยความเคร่งเครียด จนอาร์เจพ่นลมหายใจเพราะรอมาหลายนาทีแล้วจนก้มลงไปมองผู้หญิงข้างกายที่อาสาบอกกับเพื่อนว่าจะไปส่งให้ซึ่งบัดนี้เธอหน้าไม่ค่อยดีจนเขาตี๊ต่างไปเองว่าเธออาจจะรู้สึกอึดอัดหรือไม่ก็อยากอ้วกเพราะดื่มไปเยอะ “พี่ต้องไปส่งพี่หมี่ครับ ถ้าสิ่งที่หอมอยากจะอธิบายว่าทำไมตัวเองถึงต้องไปอยู่กับคนพวกนั้น ไม่ต้องอธิบายหรอกครับ ยังไงมันก็ไม่สำคัญอะไรอยู่แล้ว” “ไม่สำคัญเหรอคะ ?” ข้าวหอมทวนคำพูดอย่างไม่เชื่อหู “หมายความว่าอะไร ที่บอกว่าไม่สำคัญ” “ก็มันจะสำคัญอะไรในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย ข้าวหอมจะอยู่กับใครก็มันเป็นเรื่องส่วนตัวนี่ครับ” อาร์เจพูดไปตามที่คิด แต่ไม่รู้ทำไมข้าวหอมถึงได้ดูโกรธขนาดนั้น เธอเค้นหัวเราะอย่างตลกร้าย แล้วจ้องไปที่ผู้หญิงข้างตัวเขาเขม็ง “ที่พูดแบบนี้ เป็นเพราะพี่เองก็ทำใช่ไหมคะ ระหว่างที่เราคุยกัน พี่ก็คุยกับคนอื่นเต็มไปหมดใช่ไหมถึงได้บอกว่ามันไม่สำคัญ และอีนี่ก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่พี่คุยใช่ไหม !”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม