บทที่ 8 : เข้ามาอยู่ในสายตา

2237 คำ
ว่ากันว่า...เวลาที่เราเริ่มสนใจใครซักคนขึ้นมา จู่ ๆ ก็จะรู้สึกว่าเขาเข้ามาวนเวียน และบังเอิญเข้ามาอยู่ในสายตาของเราเสมอ… หลังจากที่เลิกเรียนคลาสบ่ายเสร็จเรียบร้อย มัดหมี่กับเนยผู้ที่ต้องการเติมพลังอย่างด่วนจี๋กระโดดขึ้นรถพาร่างกายไปยังห้างชื่อดังใกล้มหาวิทยาลัย ก่อนจะตรงไปยังร้านอาหารเกาหลีเจ้าประจำเพื่อเยียวยาร่างกายที่เข้าสู่ภาวะขาดเนื้อย่าง ส่วนอีกคนอย่างจูนต้องรักษาหุ่นยิ่งชีพและหล่อเลี้ยงร่างกายด้วยผักจึงขอบายกลับบ้านไปก่อน ขึ้นลิฟต์ยังชั้นที่ต้องการทางเดินก็พบคนออกันอยู่เต็มหน้าร้าน อาจจะเพราะเมื่อหลายวันก่อนหน้า ‘เฌอแตม’[1] อินฟลูเอ็นเซอร์ยอดนิยมในโซเซียลขณะนี้เปิดวาปร้านอาหารโปรดส่งผลให้เป็นกระแสขึ้นมา ทุกคนจึงมาตามรอยกันจนแน่นขนัด “โห...คนแม่งโคตรเยอะเลย” “จริง รีบไปกันเดี๋ยวจะไม่มีโต๊ะนั่ง” มัดหมี่พยักหน้าและไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปหาพนักงาน “มีโต๊ะมั้ยคะ สำหรับสองคน” “ซักครู่นะคะ” พนักงานแคชเชียร์ชะเง้อไปมองด้านในก่อนที่จะหันกลับมาพยักหน้า “มีค่า เชิญด้านในได้เลยค่ะ ถิงพาลูกค้าไปที่โต๊ะหน่อยจ้ะ” “เชิญทางนี้ค่ะคุณลูกค้า” พนักงานตัวเล็กผายมือเชื้อเชิญ ทั้งสองสาวเข้าไปด้านในด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มัดหมี่รีบฉุดแขนเนยตามพนักงานเข้าไปในร้านที่แน่นเอี๊ยดไปด้วยผู้คนจนมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะซึ่งว่างอยู่ แต่แล้วก็ต้องสะดุดเมื่อเห็นว่าทันทีที่เดินเข้าไปยังโต๊ะนั้นยังไม่ทันที่จะเข้าไปนั่งก็มีลูกค้าคนอื่นที่เดินตามพนักงานอีกคนเข้ามายังเป้าหมายเดียวกัน ดูเหมือนจะมีการสื่อสารผิดพลาด พนักงานสองคนทำหน้าเหลอหลาเพราะพาลูกค้าเข้ามาชนกัน มัดหมี่สบตากับเพื่อนซึ่งกำลังงุนงงว่าจะเอายังไง ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายแล้วต้องชะงักเมื่อเป็นคนที่คุ้นหน้า “เอ๊ะ...ตี๋!” “สวัสดีครับพี่หมี่” มัดหมี่ตาโตเป็นประกายปนดีใจ ก่อนที่จะยิ้มแฉ่ง ขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอกันที่นี่แต่ก็ไม่ลืมทักทายกลับมา เธอกำลังจะถามว่ามากับใครแต่สายตาก็ดันไปสะดุดกับผู้หญิงร่างเล็กกว่าตัวเองกำลังเงยหน้ามองเราทั้งคู่สลับกันพอดี จนปากที่กำลังฉีกยิ้มแทบฉีกถึงรูหูเมื่อครู่หุบกลับลงจนเล็กเท่ารูเข็มแทบไม่ทัน เขามากับผู้หญิงแฮะ...นี่แสดงว่าเขามีแฟนแล้วงั้นเหรอ? “เอ่อ...” บรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนของทั้งสามคนถูกทำลายลงโดยพนักงานทั้งสองที่ก้มหัวขอโทษ แต่เพราะผู้หญิงทั้งสองมาถึงโต๊ะก่อนจึงไม่ได้คิดเดินเลี่ยงไปไหน และเหมือนว่าอาร์เจจะเข้าใจสถานการณ์ดีจึงถอยหลังเล็กน้อย “พี่นั่งเลยครับ เดี๋ยวผมรอโต๊ะอื่น” ทั้งที่อาร์เจพูดแบบนั้นแต่ผู้หญิงที่มากับเขาไม่ได้ทำแบบเดียวกันเธอไม่ได้สนใจที่เขาพูดแต่กลับเลือกที่จะแทรกตัวเข้าไปนั่งแล้วเงยหน้ากลับมามองตาปริบ ๆ ด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเอาอาร์เจย่นคิ้ว แล้วเป็นพนักงานสองคนนั้นที่สีหน้าเจือนสนิท “…” ก่อนที่เนยจะวีนแตกเพราะรู้สึกถึงความไร้มารยาทจากอีกฝ่าย ถือว่าโชคดีของน้องคนนั้นที่ประจวบกับมีโต๊ะอีกฟากของร้านที่ลูกค้ากำลังจะเดินออกเพื่อคิดเงินพอดี เห็นจากทางหางตามัดหมี่ก็ไม่รอให้พนักงานพูดอะไรแต่เป็นคนรวบรัดให้เสียเอง “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่กับเพื่อนไปนั่งโต๊ะนู้นเอาก็ได้” ว่าจบเธอก็เกี่ยวแขนของผู้หญิงข้างตัวก่อนออกแรงดึงให้เดินออกมาจากโต๊ะนั้นเร็วรี่จนมายืนหลบมุมของทางร้าน เพื่อรอให้พนักงานเคลียร์โต๊ะให้พร้อมใช้งาน… “พี่อาร์เจ มานั่งสิคะ” เจ้าของชื่อละสายตาจากผู้หญิงทั้งสองที่เสียสละโต๊ะให้ก่อนจะหลุบมองคนตัวเล็กที่เรียกเขาเข้าไปหานิ่ง ๆ ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจแล้วเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ทำไมถึงได้ทำแบบนี้กันนะ เมื่อกี้เราทั้งคู่มาช้ากว่าเขาด้วยซ้ำเท่ากับเสียมารยาทแย่งโต๊ะคนอื่นเห็น ๆ จนกระทั่งสแกนเข้าแอปพลิเคชันเพื่อสั่งรายการอาหารอาร์เจจึงพูดกับผู้หญิงที่มาด้วยเสียงเรียบ “หอมอยากทานอะไรสั่งได้เลยนะครับ” “...” ข้าวหอมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อคิวอาร์โค้ดถูกนิ้วเรียวเลื่อนมาไว้ตรงหน้าแทนที่เขาจะถามว่าเธอต้องการอะไรจะได้สั่งพร้อมกัน แต่พอเจอนัยน์ตาสีเข้มให้ความรู้สึกดุก็ก้มหน้าลงพูดไม่ออกและไม่ได้ขัดอะไร ขณะที่มือกำลังเลื่อนเพื่อดูรายการอาหารก็เสสายตาไปมองโต๊ะซึ่งอยู่ห่างไปพอสมควรไปด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ “พี่รู้จักกับผู้หญิงสองคนนั้นด้วยเหรอคะ” “ครับ” “สนิทกันหรือเปล่า ? เมื่อกี้เราน่าจะชวนเขามานั่งด้วยกัน” ใบหน้าหล่อเงยหน้าจากการสั่งอาหารไปที่ดวงหน้าจิ้มลิ้มนิ่ง ๆ กับสิ่งที่เธอเพิ่งจะเอ่ย ชวนมานั่งด้วยกัน ? เขาไม่รู้เลยว่าข้าวหอมคิดแบบนั้นจริงหรือเปล่า แต่จากที่เห็นการกระทำของเธอเมื่อครู่มันไม่มีซักเสี้ยวหนึ่งที่ให้ความรู้สึกว่าเธอมีน้ำใจจนถึงขนาดนั้น แต่ไม่ว่าจะยังไงผลลัพธ์มันก็คงไม่ต่างจากเดิม เขาก็ตอบไปตามความจริง “ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นหรอกครับ” “เหรอคะ...” ข้าวหอมตอบรับเสียงเบา นั่งนิ่งไม่กี่อึดใจเธอก็ลุกแล้วขออนุญาต “หอมขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” “ครับ” ใบหน้าสวยพยายามเก็บสีหน้าและอารมณ์ไม่ให้ฉายออกมาตามความหงุดหงิดจึงได้แต่เลี่ยงและขอตัวเพื่อหลบไปสงบสติอารมณ์ด้านนอก เขาต้องโกหกแน่ มันจะเป็นแบบที่เขาพูดได้ยังไง...ในเมื่อชื่อที่อีกฝ่ายเรียกชื่ออาร์เจแตกต่างไปจากคนอื่น ซึ่งเธอไม่เคยได้ยินใครเรียก เว้นแต่เพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ อย่างพี่มาร์‍ชเท่านั้น นั่นหมายความว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะสนิทกับอาร์เจมากเลยไม่ใช่เหรอถึงได้มีสิทธิ์เรียก แม้จะรู้สึกหงุดหงิดและอยากจะซักไซ้ถามเขาให้มากกว่านี้เพียงใด แต่ก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะมันเกินสถานะที่เป็นอยู่ น่าหงุดหงิด...อาร์เจก็ไม่เคยจะอธิบายอะไรให้กระจ่างเพื่อความสบายใจของเธอเลยซักครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจคุยเธอก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาคงจะเป็นประเภทที่นิสัยไปในทางเดียวกันกับหน้าตา แต่ก็คิดว่าตัวเองมีดีพอตัวจึงไม่ได้กลัวอะไร… หล่อแบบร้ายลึกแบบนี้แสดงว่าเขาคงจะคุยเยอะอยู่สินะ ถึงว่า…ไม่ขอเป็นแฟนสักที เพราะแบบนี้นี่เอง “เฮ้อ” อาร์เจทิ้งลมหายใจของตัวเองอย่างเบื่อหน่าย และเหนื่อยใจขณะที่นั่งรออาหาร เขารู้สึกไม่โอเคกับการกระทำของข้าวหอมเมื่อครู่นี้ แต่ก็ไม่อยากหักหน้าเธอจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย รู้สึกหมดอารมณ์จะกินยังไงก็ไม่รู้ เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังโต๊ะด้านในที่มีผู้หญิงสองคนนั่งอยู่อย่างรู้สึกผิดที่ทำตัวเสียมารยาท จากคืนในวันเกิดของข้าวหอม อาร์เจก็ไม่ได้เจอน้องเลยจนกระทั่งวันนี้เพราะไม่ทันได้เอาเค้กให้ เธอจึงขอให้เขาเลี้ยงข้าวแทน ตัวเขากับมัดหมี่ไม่ได้สนิทกันมากมายนัก และเธอจะยืนกรานว่าจะนั่งก็ได้เพราะมาก่อน แต่ก็เลือกที่จะเป็นคนแก้สถานการณ์ชวนอึดอัดเมื่อครู่ให้คลี่คลาย “อืม…” เขาใช้นิ้วเคาะลงไปที่โต๊ะเบา ๆ อย่างใช้ความคิดและเหลือบมองไปอีกด้านของทางร้านโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยความรู้สึกแปลกใจ และอดไม่ได้ที่จะสงสัย ไม่รู้ว่าก่อนที่จะรู้จักกันเคยบังเอิญเจอกันบ่อยแล้วไม่ทันได้สังเกตหรือเปล่า แต่เมื่อได้เห็นหน้าและจำได้เขาก็เจอเธออยู่ตลอดเลย...มันปกติรึเปล่านะ มัดหมี่ ทางด้านมัดหมี่ที่พอได้โต๊ะก็เข้าไปนั่งแล้วขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงอย่างคนประสาทจะกิน บอกไม่ถูกเลยว่ากำลังถูกอารมณ์ไหนเล่นงานอยู่บ้าง “อะไรวะเนี่ย” “ฉันต้องถามแกมากกว่าไหมว่าสงครามเย็นระหว่างแกกับยัยผู้หญิงคนนั้นคืออะไรน่ะ แล้วทำไมเป็นฝ่ายเราที่ถูกเนรเทศด้วยวะเนี่ย เราถึงก่อนแท้ ๆ” “เอาน่า...ช่างเถอะ” จะว่าไปหากเป็นคนอื่นละก็ฝันไปเถอะ คงได้มีไฟว้ให้รู้ดำรู้แดงไปแล้ว แต่นี่เป็นเคสพิเศษ ตอนนี้มัดหมี่ไม่สนใจโต๊ะที่ว่านั่นซักนิด รู้เพียงแค่อยู่ตรงนั้นนานกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด ปัญหาก็เพราะว่าปกติแล้วเธอนิสัยเสียตรงที่ใบหน้ามักแสดงออกทุกอย่างยิ่งกว่าจอมอนิเตอร์ฉายความคิด และไม่มีพรสวรรค์เรื่องการปั้นหน้า ขืนยืนเถียงกันเขาต้องดูออกแน่ว่าเธอสิ้นหวังแค่ไหนที่เห็นเขามากับคนอื่น เนยที่เกลียดการถูกเอาเปรียบยิ่งกว่าอะไรเบะปากคว่ำอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเห็นหน้าตาอมทุกข์ของเพื่อนก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ดูเหมือนแกจะรู้จักเขาใช่ป้ะ ใครอ่ะหล่อดีนะ แต่เมียนี่จิกตาใส่พวกเราเป็นไก่เลย” “นั่นสิ…” จริงอย่างที่เพื่อนว่า ได้ฟังดังนั้นมัดหมี่ก็ถอนหายใจอีกครั้งอย่างหมดอาลัยตายอยาก “แกจำคนที่ฉันเล่าให้ฟังได้ไหมล่ะ” “ใครอีกล่ะ เพื่อนแต่ละคนเม้าท์เรื่องผู้ชายให้ฟังครั้งเดียวซ่ะที่ไหน ฉันจำไม่หวาดไม่ไหวหรอก” มัดหมี่กลอกตากับสมองปลาทองของเพื่อน เธอเพิ่งจะพูดให้ฟังเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองสงสัยเรื่องเธอจะไม่แซ่บพอให้จดจำ “ก็เพื่อนน้องชายฉันไง น้องตี๋” พูดไปก็เบ้หน้าสิ้นหวัง “ฉันว่าตัวเองไม่น่าจะถูกโฉลกกับเด็กเกียร์นี้จริง ๆ ว่ะ” “คนที่แกบอกว่าสนใจอ่ะนะ ? อ้าว แต่เขา…โอ๊ย เวรกรรมแท้ ๆ” เพื่อนพูดไม่จบประโยคก็ถอนหายใจ เขามีแฟนไปแล้ว มัดหมี่พยักหน้าเห็นด้วย กรรมหนัก กรรมซ้ำซ้อนจนอยากจะจองเที่ยวบินไปฮ่องกงให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อไหว้ขอพรให้ตัวเองได้เจอความรักที่สมหวังกับเขาบ้างไม่ใช่อกหักตั้งยังไม่ได้เริ่มแบบนี้ แล้วก็จิ๊ปากนึกด่าน้องชายตัวเองเบา ๆ ไอ้มาร์‍ชก็นะ ปากมากพูดได้ทุกอย่าง แต่ไม่ยอมบอกว่าเพื่อนมีแฟนแล้ว ไอ้น้องชายไร้ประโยชน์ “เอาหน่าแก...สวย ๆ อย่างเรา หาแบบนี้ได้อีกเพียบ” เนยพูดปลอบใจและกำลังบอกให้ปล่อยผ่าน แต่สักพักก็ย่นคิ้วนิด ๆ เหมือนกับมีบางอย่างที่มันสะกิดใจแต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ขณะที่มัดหมี่พูดอย่างหมดแรง “ตอนพูดนี่ไม่ได้ดูหน้าน้องเลยใช่มั้ย ร้อยคนจะเจอซักคนที่ตรงสเปคตั้งแต่หัวยันเท้าแบบนี้เลยนะ” “อาจจะดีแต่หน้า นิสัยอาจจะเสียก็ได้นะ” “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…” มัดหมี่เบะปาก ยังคงเสียดายไม่หาย “แกคุ้นหน้าแฟนน้องมั้ย” “ไม่ ไม่อยากจะคุ้นด้วย” คุ้นไปให้เจ็บใจเล่นทำไมล่ะ “แล้วฉันเคยเห็นที่ไหนวะ…บอกไม่ถูก คุ้นมาก ๆ ไม่รู้เคยเห็นที่ไหน นึกไม่ออก” “มั่วเปล่าเนี่ย ฉันไม่เห็นจะคุ้นเลย” เนยกลอกสายตาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ขณะที่มัดหมี่กำลังหิวโซจึงกดสั่งอาหารเพื่อเยียวยาจิตใจยาวเป็นพรวน แต่เมื่อกำลังจะกดส่งรายการก็พลันสะดุ้งโหยงจนโทรศัพท์แทบจะหลุดออกจากมือหล่นไปเตาย่างเมื่อเพื่อนตบโต๊ะเสียงดังลั่น ปึ่ง ! “อีหมี่ ! ฉันนึกออกแล้ว” “...ฮะ” มือเล็กกำโทรศัพท์ที่เกือบกระเด็นไว้แน่นแล้วย่นคิ้วกับคำพูดของเพื่อน ทีแรกไม่ได้คาดหวังเพราะคิดว่าคงหลอนไปเอง แต่ใบหน้าที่ส่งออกมาให้ด้วยความจริงจังสุดขีดเธอจึงหรี่ตาเล็กน้อยแล้วถาม ต่อมเสือกเริ่มทำงาน “สรุปว่าเคยเห็นจริง ๆ เหรอ” “ใช่ ฉันมั่นใจว่าตัวเองจำไม่ผิดแน่” เนยพยักหน้ารัว ๆ ด้วยความมั่นใจ ก่อนที่จะทำหน้าแหยในขณะที่เบนสายตาไปมองโต๊ะของคนที่กำลังพูดถึงด้วยใบหน้าแสดงออกถึงความเห็นใจ “หล่อขนาดนั้น ไม่น่าเลยว่ะ...” [1] จากเรื่อง je t'aime...ที่แปลว่าผมรักคุณ [เต้ย X เฌอแตม]
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม