@ Thi Q Bar Thonglor
บนตึกคอมมูนิตี้ใจกลางเมืองย่านทองหล่อ ผับ บาร์และร้านนั่งชิว ในช่วงเวลาตกดึกต่างพากันเปิดเพลงเอาใจวัยรุ่นสายปาร์ตี้ยามค่ำคืนเสียงดังอึกทึกครึกโครม ทุกร้านต่างก็มีเอกลักษณ์และกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ต่างกันออกไป
กลางบาร์หรูชื่อดังมีกลุ่มหญิงสาวสี่คนกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งขณะนี้มีหนึ่งในนั้นเป็นศูนย์รวมสายตาผู้คนโดยรอบ
มาติกา หลี่ หากเธอปรากฏตัวที่ไหนย่อมเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี อาจเพราะใบหน้าสวยได้รูป สัดส่วนสูงกว่ามาตรฐาน รวมไปถึงสไตล์การแต่งตัว เครื่องประดับไม่มากไม่น้อยตามฉบับลูกคนมีอันจะกิน จึงไม่แปลกที่เธอจะโดดเด่นและน่าดึงดูด แต่อีกนัยนึงก็ให้ความรู้สึกเกินเอื้อมในสายตาของผู้ชายหลายคนที่ตั้งใจอยากจะเข้าหา
“นี่อุตส่าห์แต่งสวยสุด ๆ แล้วนะ ทำไมดูเหมือนเจ้าภาพอย่างฉันดรอปมากเป็นพิเศษเลยยะ?” เสียงแหลมจากรุ่นพี่ซึ่งอายุมากที่สุดในกลุ่มบ่นพึมพำแทรกเสียงเพลงอย่างไม่จริงจังนัก ตั้งใจจะแซวรุ่นน้องที่อายุรองลงมาจากตัวเอง “วันหลังฉันจะให้แกใส่เสื้อยืดรองเท้าแตะมาแล้วนะยัยหมี่ โทษฐานเด่นเกินจนทำคนอื่นหมอง”
“คงโดนการ์ดไล่ตั้งแต่หน้าประตู”
มัดหมี่ ได้ยินรุ่นพี่อย่าง ทับทิม เอ่ยทักก็ตอบกลับไปอย่างตลก ๆ ไม่คิดอะไรตามประสาสายรหัสคนสนิท ที่หลังจากนี้คงจะเจอกันไม่บ่อยอย่างเคย ๆ พอเรียนจบอีกฝ่ายก็มีแพลนไปเรียนต่อโทต่างประเทศอย่างปุบปับ จึงเป็นเหตุต้องเรียกรุ่นน้องในสายทุกชั้นปีมารวมเลี้ยงส่งกันในวันนี้
“พี่ทับทิมไปเรียนฝรั่งเศสสองปีแบบนี้พวกหนูต้องคิดถึงแน่ ๆ” นุ่น หันไปพยักหน้ากับ อาย ที่เบะปากคว่ำตีหน้าเศร้าไปวูบหนึ่ง “ต่อไปใครจะเลี้ยงข้าว เลี้ยงเหล้ากันล่ะทีนี้ !”
“แหม...อีนุ่น เรียนจบแล้วก็ให้ฉันหลุดพ้นจากพวกแกบ้างเถอะย่ะ นู้น ! ไปขอให้พี่รหัสแกเลี้ยงบ้างไป ให้ฉันเอาตังที่ไว้เลี้ยงแกไปเลี้ยงผู้ชายปารีสบ้างโน๊ะ”
“สรุปว่าไปเรียนต่อหรือไปหาผู้ชาย เมื่อกี้เผลอหลุดปากเหรอพี่ทิม”
“ไม่เผลอ ฉันจริงจังย่ะ แห้งมาหลายปีขอไปให้หนุ่มยุโรปปลอบประโลมจิตใจบ้าง เรื่องเลี้ยงน้องต่อจากนี้ยกให้แกเลยหมี่”
“เลี้ยงน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้พวกนี้มันจ้องจะชวนออกท่าเดียวนี่สิ” มัดหมี่ลอบถอนหายใจขณะพูดก็เหล่สายตาไปมอง ‘ไอ้พวกนี้’ ที่เธอกำลังเอ่ยถึง “เที่ยวเหมือนชีวิตจะสิ้นพรุ่งนี้งั้นแหละ”
นุ่นกับอายเบ้หน้าที่คล้ายโดนดุเบา ๆ สักพักก็ยักไหล่ไม่สะทกสะท้าน เป็นจริงอย่างว่าที่จะออกเที่ยวตอนกลางคืนก็มักจะชวนสายรหัสไปด้วยทุกรอบ และทุกคนก็ไปกันครบยกเว้นอยู่คนเดียว นั่นก็คือคนที่เพิ่งจะดุพวกเธอนั่นแหละ
“คือถ้าจะด่าน่ะหนูไม่ว่า แต่พูดเหมือนออกมาด้วยไม่ได้นะเพราะบิดพวกหนูทุกรอบ”
“จริง” อายผู้ซึ่งเป็นน้องเล็กพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่รหัสปีสาม “จะเรียนจบแล้วนะ ไม่รีบหาแฟนเดี๋ยวได้เป็นสาวเทื้อแบบพี่ทิมอีกคนหรอก”
“อีเด็กเปรต แซะฉันเหรอฮะ !”
“ก็มันจริงอย่างที่น้องว่าป่ะ ตอนนี้หาแฟนดี ๆ นี่ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกนะ” นุ่นเสริมก่อนหันไปทางด้านหลัง มองเหล่าบรรดาเจ้าของสายคมหลายคู่ที่กำลังพุ่งเป้าเข้ามาหาหญิงสาวรุ่นพี่ภายในโต๊ะ แล้วหันไปแตะเบา ๆ ที่หัวไหล่สวยด้วยความเห็นใจ “เป็นคนสวยที่มีกรรมนะพี่หมี่ แต่ละหน่อที่เข้ามาก็หวังจะเคลมท่าเดียว”
มัดหมี่ฟังสิ่งที่น้องพูดถึงตัวเองก็ถอนหายใจและรู้สึกปลงไปด้วย
จริงที่สุด ! หาคนจริงใจยากมาก อาจจะเพราะสเปกของเธอมันเข้าข่ายพวกรักสนุกด้วยแหละมั้ง
“ถ้าอยากได้คนดีก็ไปหาที่วัดสิวะ มาหาที่ผับมันก็ได้ไปตามสภาพแหละ”
“ก็พี่หมี่มันชอบหล่อ ๆ ลุคแบดกายน่ะสิ แต่ส่วนมากแม่งสันดานแบดจริงหมด”
“แล้วทำไมจู่ ๆ มาพูดเรื่องฉันเนี่ย !” มัดหมี่แหวใส่กลางวง พูดให้ช้ำใจกันซะเปล่า ๆ “คนเรามันคงไม่โชคร้ายไปตลอดหรอกน่า”
“ก็จริงพี่ คงไม่มีใครแม่งเลวเท่าแฟนเก่าพี่แล้วแหละ”
“...”
“อูย...โทษที”
นุ่นเมื่อพลั้งปากเผลอตัวพูดในสิ่งที่เคยเป็นบาดแผลของพี่รหัสก็หน้าเสียไปเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าเวลาที่ผ่านมานานแล้วจะทำให้เธอลืมความเจ็บปวดไปหมดหรือยัง
มัดหมี่ไม่ได้คิดถือสาน้องได้แต่ไหวไหล่ เพราะสิ่งที่นุ่นพูดก็ไม่ได้ผิดอะไร สายรหัสเราอยู่กับแบบเพื่อนหญิงพลังหญิง และสนิทกันค่อนข้างมากเวลามีอะไรคืออัพเดรตและปรึกษากันอยู่ตลอด ไม่ใช่แค่การเรียนมันรวมไปถึงเรื่องส่วนตัวด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันวานล่วงเลยผ่านมา ไม่ได้ทำให้รู้สึกโกรธแค้นมากเท่าเดิมแล้ว อีกทั้งมันยังทำให้เธอระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
ล่ะมั้ง...
เนื่องจากเจ้าภาพอย่างทับทิมขี้เกียจจะตะโกนคุยกันแข่งกับดนตรีจึงเลือกร้านที่บรรยากาศเอื่อยเฉื่อยคลอเสียงเพลงแจ๊สเบา ๆ ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ครั้นอายุน้อยรักสนุกต้องการขยับตัวโยกย้ายก็ไปผับ อายุมากขึ้นมาหน่อยเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายก็เข้าบาร์นั่งชิว
หลัง ๆ ตั้งแต่ทับทิมเรียนจบก็ไม่ได้เจอน้อง ๆ บ่อยมาก ต่างคนก็ต่างเรียนหนัก เมื่อเจอกันครั้งหนึ่งชีวิตก็มีเรื่องสะสมให้คุยกันจนเสียงแหบแห้ง มือก็ยกแก้วค็อกเทลดับกระหายกันเป็นว่าเล่น
รู้ตัวอีกทีจากที่ทุกอย่างเคยเคลื่อนไหวไหลลื่นได้อย่างปกติกลายเป็นภาพที่เอื่อยเฉื่อยช้าขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมสองข้างแก้มที่เริ่มชายิบ
“หนูไม่ไหวแล้ว พอก่อน”
มือเล็กของมัดหมี่ยกดันแก้วสีสวยที่พี่รหัสยื่นมาไว้ตรงหน้ากลับคืนไป เธอไม่ค่อยถูกกับของมึนเมาเท่าไหร่ ยิ่งไม่ได้ดื่มนานดูเหมือนร่างกายจะดูดซึมแอลกอฮอล์ได้ดีกว่าแต่ก่อนมาก
“อะไร แกกินไปสองแก้วเองนะ”
“พี่หมี่มันคออ่อน สองแก้วที่ถือว่าเยอะแล้วพี่”
นุ่นเสริมเพราะตั้งแต่รู้จักกันมามัดหมี่เป็นคนที่คออ่อนที่สุดตั้งแต่ที่เธอเคยเจอมาเลย ขนาดค็อกเทลที่ผสมจนเจือจางเธอยังแทบรับไม่ไหว นี่คงให้เกียรติพี่สาวมากถึงได้ฝืนตัวเองดื่มไปได้ตั้งสองแก้ว
“แล้วพี่หมี่กลับยังไง”
“น้องชายอยู่แถวนี้พอดี เดี๋ยวโทรเรียกมันมารับ”
“กินเหล้ากับไอ้หมี่ไม่มันเลยว่ะ”
พี่บัณฑิตบ่นด้วยสีหน้าเซ็งจัดแต่ก็ไม่ได้ยัดเยียดแก้วเหล้าในมือให้อีก หันกลับไปพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับรุ่นน้องต่อไป รู้ตัวอีกทีเวลาก็เลยมาช่วงที่บาร์ใกล้จะปิดเต็มที จนถึงงานเลี้ยงสมควรเลิกราแยกย้าย
“โทรบอกน้องชายยังหมี่”
“ยังเลย พี่พาน้อง ๆ กลับก่อนเลย หนูอยากอยู่ดื่มอีกซักหน่อย”
“หา ? หูฝาดป่ะเนี่ย แล้วแกจะอยู่ยังไง คนเดียวเหรอ ?”
“อือ ไหน ๆ มาทั้งทีขออยู่เอาบรรยากาศอีกซักนิด”
คำพูดของมัดหมี่น่าเหลือเชื่อจนสามสาวที่เหลือถึงกับหันมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ รู้สึกอยากจะยกนิ้วก้อยขึ้นมาแคะหูหรือสะบัดหน้าตัวเองหลาย ๆ รอบนึกว่าตัวเองเมาจนได้ยินอะไรผิดไปหมดแล้ว
ปกติสถานที่แบบนี้นับตั้งแต่นั้น เรียกได้ว่าเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเธอก็ว่าได้ จู่ ๆ มาบอกว่าจะขออยู่ต่อเอาบรรยากาศไม่ให้งงได้ไง
“แน่นะ” ทับทิบเลิกคิ้วแล้วถามอีกครั้ง
“เออ พี่น่ะรีบไปนอนได้แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ตกเครื่องจะขำให้” มัดหมี่โบกมือไล่คนที่ต้องบินไปฝรั่งเศสพรุ่งนี้เช้าแต่ยังทำตัวชิวเป็นห่วงคนอื่นอยู่ได้ “ส่งน้องให้ถึงที่ล่ะ ขับรถดี ๆ”
“โอเค เจอกันเมื่อชาติต้องการ”
ใบหน้าสวยประดับรอยยิ้มพร้อมโบกมือไปมา ไล่มองแผ่นหลังสามสาวที่เดินออกจากร้านจนลาลับหายไปจากสายตาแล้วจึงถอนหายใจพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติหลังจากที่ฝืนยิ้มมานาน
วันนี้ 1 ปีแล้ว...ครบรอบชีวิตที่แสนบัดซบ เหตุการณ์ที่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่มีปม ระแวงทั้งผู้คน และสถานที่ที่ตนนั้นเคยชื่นชอบ
มันกัดกินจิตใจจนทำให้เธออยากจะทำลายความกลัวและลองเผชิญหน้าดูอีกซักครั้ง ไม่ควรปล่อยให้ความเฮงซวยเพียงครั้งเดียวตัดสินว่าเป็นคนที่โชคร้ายไปตลอด
“เฮ้อ !”
เจ้าของร่างบางสูดลมเข้าปอดลึก ๆ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เป็นการเรียกขวัญกำลังใจก่อนที่ขาเรียวจะก้าวเดินเป็นจังหวะจะโคนไปยังโต๊ะตัวยาวทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้เดี่ยวหน้าบาร์เทนเดอร์
“โคลเวอร์คลับค่ะ”
เสียงเล็กสั่งเครื่องดื่มผสมเหล้าระดับอ่อนพอเป็นพิธี เธอไม่ใช่คนคอแข็งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และตอนนี้ก็กำลังกึ่มได้ที่เชียวล่ะ
หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอแล้วรัวข้อความส่งไปให้น้องชายที่ไม่ได้รักอะไรกันมากมายแต่ก็พอพึ่งพาได้เวลาที่จำเป็น
เสยผมยาวปรกหน้าของตัวเองไปด้านหลังและตั้งศอกยกมือเท้าคางรอเครื่องดื่ม โดยนิ้วมืออีกข้างก็เคาะลงบนเคาน์เตอร์นับเลขในใจคล้ายกำลังคอยใครซักคน
ใช่...ใครซักคนที่จับจ้องมองเธอจนแทบจะทะลุอยู่ตั้งนานสองนาน ถึงขนาดที่เธอไม่ใช่คนช่างสังเกตยังรู้สึกตัว
“ขอโทษนะครับ ขอชนแก้วหน่อยได้ไหม”
“...”
ไม่นานเกินรอเสียงทุ้มก็ดังแทรกเสียงเพลงเข้ามาจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาใหม่ที่ยืนส่งยิ้มให้อยู่ด้านข้าง
“อ่า...ค่ะ”
แพขนตาเรียงสวยกะพริบอย่างเชื่องช้ามองชายหนุ่มเจ้าของสายตาปริศนา เขาทำเธอแปลกใจเล็กน้อยอาจจะเพราะอีกฝ่ายดูดี พร้อมไปด้วยส่วนสูงและบุคลิกภาพ เลื่อนสายตาไปมองด้านหน้าของเธอที่ว่างเปล่าไม่มีแก้วอยู่แม้แต่ใบเดียวก็เอ่ยถามเสียงเบา
“เมาแล้วเหรอครับ”
“...”
มัดหมี่ไม่ได้ตอบอะไร ดวงตากลมสวยกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายครั้ง เรียกได้ว่าหากคนไม่มีดีมากพอคงจะเขินและรู้สึกขาดความมั่นใจไปแล้ว แต่ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะพกความใจกล้ามามากพอสมควรจึงส่งยิ้มให้เธอ และไม่ได้ดูเคาะเขินอะไร
ดูสะอาดสะอ้านเหมือนอาบน้ำทุก ๆ สองวิ...
ใบหน้าหล่อเหลาย่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเค้นหัวเราะให้กับผู้หญิงสวยตรงหน้า ดูเหมือนเธอจะเมาจริง ๆ จนสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเอง และที่สำคัญไม่ว่านึกคิดอะไรมันฉายออกมาผ่านสีหน้าของเธอทั้งหมด ปากอิ่มไม่ขยับเลยซักนิดแต่สายตาพราวเสน่ห์คู่นั้นกำลังพูดอยู่อย่างเสียงดังฟังชัดว่าพอใจเขาในระดับหนึ่ง
“โคลเวอร์คลับครับ”
ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อเครื่องดื่มที่ตัวเองสั่งไปก่อนหน้านี้ หันไปหยิบแก้วใสบรรจุเครื่องดื่มสีแดงจากราสเบอร์รี่ขึ้นมาไว้ในมือ และเอื้อมไปชนแก้วเหล้าสีเข้มของเขาจนเกิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
แกร้ง !
เธอไม่เคยปิดใจและมักจะเปิดใจคุยกับคนอื่นเสมอถึงแม้ว่าจะเคยพบเจอกับความรักแย่ ๆ มาก่อน แต่แล้วที่ผ่านมาก็เหมือนมีกรรมอย่างที่นุ่นพูด ที่เข้ามาก็จ้องแต่จะเคลมเธออย่างเดียว หรือไม่ก็ไม่มีใครเลยที่ทำให้เธอรู้สึกว่าน่าสนใจจนอย่างเข้าใกล้
“ผมคิดว่าคุณเมาแล้ว”
“เมาแล้วค่ะ”
“งั้นก็เป็นเกียรติที่แม้คุณจะเมาแล้วแต่ก็ยังใจดีชนกับผม”
ชายหนุ่มชวนคุยทันทีหลังจากที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกายหญิงสาวที่ตัวเองหมายตา
“ผมชื่อฟอร์ดนะครับ ไม่ทราบว่า...”
“มัดหมี่ค่ะ”
“ชื่อน่ารักจังเลยครับ”
“…”
เมื่อโดนชมเจ้าของชื่อก็หันไปส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขา ท่าทางไม่เร่งรัดหรือพูดจาให้รู้สึกถึงเจตนาไม่ดี เธอแอบให้คะแนนเขาเล็กน้อย ทั้งที่บอกกับพี่ทับทิมไปก่อนหน้านี้ว่าเธอดื่มไม่ไหวแล้วแต่เมื่อเจอคนที่คุยถูกคอก็อดไม่ได้ที่จะยกแก้วในมือขึ้นมาดื่มอีก
ผู้ชายคนนี้แก้เบื่อได้พอสมควร โดยปกติแล้วมัดหมี่เป็นคนที่คุยสนุก สดใส และร่าเริงเพียงแค่ภายนอกของเธอดูเย็นยะเยือกกับคนที่ไม่สนิทเสมือนเกาะปราการป้องกันตัวเท่านั้น ผู้คนจึงมักคิดว่าเธอเข้าถึงยากหรือกลัวที่จะเข้าใกล้ แต่แล้วเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงปกติคนหนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนที่เขาถือวิสาสะถามอายุและเมื่อได้คำตอบ ดวงตาคมก็เบิกกว้างแล้วเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
“เป็นรุ่นพี่สินะครับ มัดหมี่หน้าเด็กมากเลย แล้วแบบนี้ผมต้องเรียกพี่หรือเปล่า”
“เราเป็นรุ่นพี่ฟอร์ดเหรอ”
“ใช่ บอกตามตรงว่าเราคิดว่ามัดหมี่เด็กกว่าซะอีก”
“เราก็เหมือนกัน...”
เขายิ้มแย้มด้วยตาเป็นประกาย แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นทำให้คนฟังถึงกับตัวชาวาบแค่ไหน
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก...
หน้าอกข้างซ้ายของเธอเต้นถี่รัว ประสาทรับรู้เริ่มแย่ลงกะทันหัน หูทั้งสองที่เคยได้ยินเสียงเพลงดังเอื่อย ๆ เข้ามาถูกแทรกเป็นเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจที่กำลังตื่นกลัว มือเล็กข้างตัวกำเข้าหากันแน่น แต่เมื่อพยายามควบคุมตัวเองแค่ไหนก็ไม่ดีขึ้นมาซักนิด
เผลอทำสิ่งที่ไม่ควรนั่นคือการยกเครื่องดื่มขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดทั้งที่ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเมามายไปมากกว่านี้
“มัดหมี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ฟอร์ดย่นคิ้วอย่างผิดสังเกต เขาเพิ่งจะทำให้เธอยิ้ม แต่เมื่อพูดถึงเรื่องอายุเธอก็พลันสีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ในจังหวะที่เขาหันและเอียงคอมาหา โลหะสีเหลืองเงาที่ถูกห้อยอยู่บนคอหนาสะท้อนแสงไฟเข้าตาเธอ
“...”
คงไม่ใช่...
มัดหมี่บอกกับตัวเองแบบนั้น ผู้ชายอายุน้อยกว่ามีตั้งหลายล้านคน ถึงแม้จะอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันก็มีอีกตั้งหลายคณะ และถึงเป็นคณะนั้นก็มีอีกตั้งหลายชั้นปี...คงไม่ใช่หรอกนะ
น้ำเปลี่ยนนิสัยเริ่มเล่นงานคนคออ่อนจนเสียการควบคุมไปกันใหญ่ เรียวนิ้วสวยเกี่ยวสร้อยคอของคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ จนร่างสูงชะงักตกใจนิดหน่อยแต่พอก้มลงไปเห็นว่าเธอจ้องโลหะสีเหลืองทองที่เขาใส่ติดคอคล้ายสัญลักษณ์ประจำกายตาไม่กะพริบก็ตี๊ต่างไปเองว่าเธอคงเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่อยากได้มัน
“อยากได้เหรอครับ กับมัดหมี่ผมให้ได้นะ”
“...”
ไร้เสียงตอบรับจากปากเล็ก เธอขืนสร้อยเส้นนั้นเข้ามาใกล้มากกว่าเก่าจนร่างหนานิ่วหน้าพร้อมทั้งถลาเข้าไปใกล้ ทำอะไรไม่ถูกเมื่อใบหน้าของทั้งสองใกล้กันจนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนและกลิ่นกายหอมของหญิงสาว
“ผมว่าตรงนี้ไม่ดีนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยอึกอัก แต่พอเห็นว่าเธอดูสนใจเกียร์ที่คอของเขาเป็นพิเศษ แม้ความตั้งใจแรกจะไม่ได้คิดว่าเธอจะดูเป็นผู้หญิงที่ไวไฟถึงขนาดแสดงออกแบบนี้ แต่เพราะเขาก็สนใจเธอตั้งแต่แรกแล้วจึงลองเสี่ยงถามดู “มัดหมี่อยากไปต่อกับผมไหม”
“...” ดวงตาฉ่ำเยิ้มที่เหมือนไม่มีสติตวัดขึ้นมาจ้องเขาเป็นระดับที่ใกล้มากจนคนที่ก้มมองอยู่ลมหายใจสะดุด บรรยากาศเป็นใจจนเหมือนว่าเธอจะต้องตอบตกลงแน่ ๆ แต่แล้วคำที่เธอพูดออกมากลับทำให้เขาย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “ไม่ค่ะ”
งุนงงเข้าไปใหญ่ที่เธอปฏิเสธทั้งที่ก่อนหน้าเราก็คุยกันดี เมื่อสิ้นคำตอบว่า ไม่ ของเธอก็สะบัดหน้าและทิ้งมือที่เกี่ยวสร้อยคอทิ้งอย่างไม่ไยดี จนเขาต้องถามด้วยความร้อนรนว่าเขาเผลอพูดอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า
“ทำไมล่ะครับ”
“ขอตัวค่ะ”
“เดี๋ยวสิครับ ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า”
“ก็ไม่นี่ ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยซักนิด”
“งั้นแล้วทำไม...”
“เพราะฉันเกลียดน่ะ”
“ฮะ ?”
“ถ้าจะมีซักอย่างที่ผิด ก็คงเป็นเพราะฉันเองที่เกลียดเด็กคณะนาย เกลียดเด็กรุ่นเดียวกับนาย มันก็แค่นั้นแหละ โทษทีนะ”
เธอพูดออกมาหน้าตาย ทิ้งความงุนงงไว้ให้อีกฝ่าย ก่อนที่จะหยิบแบงก์ห้าร้อยในกระเป๋าจ่ายบาร์เทนเดอร์แล้วลุกโซเซพยุงร่างกายของตัวเองที่กำลังค่อย ๆ ซึมซับแอลกอฮอล์และออกฤทธิ์ช้า ๆ ออกมาไม่สนใจอีกฝ่ายที่กำลังอึ้งอีกต่อไป
ทั้งที่พยายามเปิดใจแล้วแท้ ๆ คิดว่าตัวเองยังน่าจะพอโชคดีอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ทำบาปทำกรรมอะไรมากมายนักถึงได้หนีไม่พ้นเด็กคณะนี้เสียที เป็นกงเกวียนกำเกวียนไม่รู้จบ
เธอเกลียด...และไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเด็กคณะนี้อีก โดยเฉพาะ เกียร์ 74 !!