หลังจากอ่านข้อความของพี่แทนไทอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็เอนตัวพิงพวงมาลัย สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เหมือนต้องประมวลผลคำชวนนี้ให้ดี
สองสามวันที่ผ่านมาพี่แทนไททักมาหาฉันเกือบทุกครั้งที่รถเขามีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่คราวนี้…ไม่มีเรื่องรถสักคำ จะว่าบังเอิญก็คงไม่ใช่ จะว่าตั้งใจก็ดูจะชัดเกินไป
ปลายนิ้วฉันแตะลงบนหน้าจอ กำลังคิดว่าจะพิมพ์ตอบว่าอะไรดี ระหว่าง “ว่างค่ะ” กับ “ติดธุระ” แต่สุดท้ายก็พิมพ์แค่
ว่างอยู่ค่ะ
แล้วกดส่งไป ราวกับไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันคิดเยอะขนาดไหน
ไม่ถึงนาที เสียงแจ้งเตือนก็ดังกลับมา
งั้นรอหน้าร้านข้างปั๊ม เดี๋ยวไปรับ
ฉันมองข้อความนั้นนานกว่าที่ควรจะเป็น ใจหนึ่งก็สงสัยว่าทำไมต้องมารับ อีกใจก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้อย่างไม่มีเหตุผล
ฉันถอนหายใจเบา ๆ แล้วเหยียบคันเร่งพารถออกจากคาแคร์ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นส้มอมชมพู แสงสุดท้ายของวันทอดยาวบนถนนข้างหน้าเหมือนกำลังบอกว่าวันนี้…ยังไม่จบง่าย ๆ แน่
พอถึงหน้าร้านที่เขาว่า ฉันก็จอดรถเทียบข้าง ๆ ไม่นาน เสียงเครื่องยนต์ของรถคันใหญ่ก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนที่พี่แทนไทจะเลี้ยวเข้ามาจอดข้าง ๆ ฉัน
เขาลดกระจกลง รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้า
“ไปกันเลยมั้ย” เสียงทุ้มของเขาฟังดูสบาย ๆ แต่ดวงตากลับจับจ้องมาที่ฉันอย่างมีอะไรแฝงอยู่
ฉันพยักหน้า ก่อนจะดับเครื่อง ล็อกประตู แล้วเดินไปขึ้นรถเขา ก็แค่มื้อข้าว…แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามันจะไม่ธรรมดาก็ไม่รู้สิ
พอขึ้นรถได้ ฉันก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นเคย มันไม่ฉุน แต่กลับแทรกเข้ามาในความรู้สึกเหมือนจะบอกว่าคนขับรถคนนี้…ตั้งใจ
พี่แทนไทเหลือบมามองแวบหนึ่งก่อนออกรถ “วันนี้ดูเหนื่อยนะ”
ฉันหัวเราะในลำคอ “ก็เพราะพี่นั่นแหละ รถพี่ทำให้เหนื่อยอยู่บ่อย ๆ”
เขายิ้มมุมปาก “แต่วันนี้ไม่ได้ชวนมากินข้าวเพราะรถพังนะ”
ฉันหันไปมองเขาเต็ม ๆ ตา “แล้วเพราะอะไรล่ะคะ”
พี่แทนไทไม่ตอบทันที แต่ปล่อยให้เสียงเพลงเบา ๆ ในรถกลบความเงียบไว้ชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้น
“เพราะอยากเจอ”
คำพูดนั้นทำเอาฉันชะงักไปหนึ่งจังหวะ หัวใจเหมือนเต้นแรงขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน ฉันหันหน้ากลับไปมองถนนทันทีเพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าฉันเผลอยิ้ม
เขาเหมือนจะจับได้อยู่ดี เพราะน้ำเสียงต่อมากลับฟังดูพอใจ “ดีนะที่ไม่ปฏิเสธ”
ฉันแกล้งทำเสียงเรียบ “ก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่จะพาไปกินที่ไหน”
พี่แทนไทหัวเราะในลำคอ แล้วขับต่ออย่างไม่เร่งรีบ ไฟถนนเริ่มเปิดทีละดวง แสงส้มอุ่น ๆ ส่องเข้ามาในรถพอดีกับที่ฉันเหลือบไปมองหน้าของเขา
และนั่นทำให้ฉันคิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลเลยว่า…
คืนนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่างก็ได้
ฉันหันไปมองพี่แทนไทขณะรถกำลังแล่นไปอย่างมั่นคง ก่อนจะถามขึ้นเหมือนไม่ได้คิดอะไรนัก
“ว่าจะถาม… พี่ไม่ได้ชวนแจมมาด้วยเหรอ”
เขาตอบทันทีโดยไม่แม้แต่หันมามอง “เปล่าอะ แจมมันพูดเยอะ น่ารำคาญ”
ฉันเลิกคิ้วขึ้นนิด พลางส่งสายตาเหมือนจะคาดโทษ “นั่นน้องนะ ระวังหนูจะเอาไปฟ้องมัน”
พี่แทนไทหัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มอบอุ่นแทรกกับเสียงเครื่องยนต์ “ฟ้องไปก็ไม่กลัวหรอก แจมมันรู้ว่าพี่พูดแบบนี้ประจำ”
ฉันเม้มปากเล็กน้อย พยายามเก็บรอยยิ้มไม่ให้หลุดออกมา แต่ก็ทำได้แค่เสี้ยววินาที ก่อนจะหันไปมองวิวข้างทางที่ถูกแสงไฟริมถนนแต่งแต้มเป็นเส้นยาว ๆ
“แล้วทำไมถึงชวนหนูแทนล่ะ” ฉันถามเหมือนคนอยากรู้อยากเห็น แต่ความจริงคืออยากฟังเหตุผลจากปากเขาเอง
พี่แทนไทเหลือบตามามองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับไปโฟกัสถนน “ก็…อยากชวน” น้ำเสียงราบเรียบแต่กลับทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นอย่างไร้เหตุผล
ฉันหัวเราะในลำคอ “เหตุผลสั้นจัง”
“บางทีเหตุผลก็ไม่ต้องยาวก็ได้”
เขาพูดเสียงทุ้มช้า ๆ พร้อมยกมุมปากขึ้นนิด ๆ แววตาเหมือนจงใจทิ้งปริศนาไว้ให้ฉันเก็บไปคิดต่อเอง
ฉันเลิกคิ้ว หันไปมองเขาเต็มตา “ทำเป็นพูดคำคม…ถามจริง กับผู้หญิงคนอื่นพี่เป็นแบบนี้ป่ะ”
แทนไทหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นฟังดูทั้งขบขันและเจือความลึกลับอยู่ในที เขาไม่ตอบทันที แต่กลับเหลือบตามามองฉันแวบหนึ่ง ราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดความจริง หรือปล่อยให้ฉันเดาไปเอง
แสงไฟถนนลอดกระจกสาดลงบนเส้นกรามคมชัดของเขา ทำให้บรรยากาศในรถดูนิ่งขึ้น แต่กลับแฝงด้วยแรงดึงดูดบางอย่างที่ฉันไม่อยากยอมรับว่ารู้สึกอยู่จริง ๆ
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นจับพวงมาลัยหลวม ๆ อีกข้างวางพาดบนเกียร์
รอยยิ้มตรงมุมปากยังไม่จางหาย
“กับคนอื่น…” เขาลากเสียงต่ำช้า ราวกับตั้งใจให้ฉันรอฟัง
“ก็ไม่เหมือนกับที่เป็นกับนุ่นหรอก”
หัวใจฉันสะดุดวูบแบบไม่ทันตั้งตัว
มันไม่ใช่คำตอบที่ตรงไปตรงมา แต่กลับตรงประเด็นพอให้รู้ว่า…เขากำลังหมายถึงอะไร
“พูดแบบนี้นี่…จะให้หนูคิดว่าอะไร” ฉันแกล้งทำเสียงเรียบ แต่รู้สึกว่าหูเริ่มร้อนขึ้นมาเฉย ๆ
แทนไทเหลือบมองฉันอีกครั้ง แววตาเต็มไปด้วยรอยขำปนจริงจัง
“คิดยังไงก็ได้…แต่อย่าคิดว่าเหมือนใครก็พอ”
คำพูดนั้นเหมือนประโยคสั้น ๆ ที่ดึงให้รถทั้งคันเงียบลง
เหลือแค่เสียงเครื่องยนต์ที่ดังสม่ำเสมอ กับจังหวะหัวใจฉันที่ดูจะเร่งขึ้นเรื่อย ๆ
ฉันเบือนหน้ามองออกไปนอกกระจก แสงไฟข้างถนนทอดยาวเป็นเส้นขีดผ่านสายตา
ไม่กล้าหันกลับไปสบตาเขาในทันที เพราะรู้ว่าถ้าทำ…คงเผลอหลุดอะไรบางอย่างออกมา
“แล้วถ้าหนูบอกว่าไม่อยากคิด” ฉันเอ่ยเสียงเบา เหมือนจะลองหยั่งเชิง
แทนไทหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงทุ้มต่ำกระทบหูจนใจฉันไหว
“ถ้าไม่คิด…ทำไมต้องถาม”
คำพูดนั้นทำให้ฉันเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง
เหมือนถูกจับได้ว่ากำลังเล่นเกมที่อีกฝ่ายอ่านออกทุกตาเดิน
ฉันสูดหายใจลึก พยายามปรับสีหน้าให้เรียบที่สุด
“งั้นหนูก็ไม่ถามแล้วกัน”
“ไม่ถาม…แต่สายตานี่ถามอยู่” เขาพูดพร้อมเหลือบมองฉันเพียงเสี้ยววินาที
พอฉันตั้งใจจะเถียง รถก็ค่อย ๆ ชะลอเลี้ยวเข้าไปในลานจอดของร้านอาหาร
ทำให้คำพูดที่อยู่บนปลายลิ้นต้องหยุดลงกลางคัน
รถจอดสนิท เสียงเครื่องยนต์ดับลง แต่ความเงียบในรถกลับเต็มไปด้วยแรงดึงดูดบางอย่างที่ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจ
ฉันกวาดตามองรอบ ๆ ร้านอาหาร แสงไฟอุ่น ๆ ทำให้บรรยากาศดูสงบและเป็นส่วนตัว
แทนไทเปิดประตูรถแล้วเดินออกไปก่อน พลางหันมามองฉัน
“ไปกันเถอะ” น้ำเสียงเรียบ ๆ แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
ฉันลุกขึ้น ยืนเกร็งนิดหน่อย ก่อนจะก้าวตาม เขาเดินนำหน้าพร้อมแววตาที่จับจ้องฉันเหมือนอยากสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็ปล่อยให้มันอยู่ในความเงียบ
ขณะที่เราเดินผ่านประตูร้าน เสียงเพลงเบา ๆ คลออยู่ด้านใน
ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวจางลง เหลือแค่เรา…และแรงดึงดูดที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ฉันพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง พลางเหลือบตามองไปรอบ ๆ ร้านอาหารหรูที่พี่แทนไทพามา แสงไฟอุ่น ๆ สาดลงบนโต๊ะไม้เรียบ ๆ และแก้วไวน์ที่วางเรียงอย่างประณีต ทำให้บรรยากาศดูแตกต่างจากร้านอาหารทั่วไปที่ฉันเคยไป
“ชวนมากินข้าว…จำเป็นต้องหรูขนาดนี้ป่ะ” ฉันพูดในใจ รู้สึกทั้งประหลาดใจและเขินเบา ๆ ไปพร้อมกัน
มือเล็กเกลี่ยผ้าเช็ดมือบนตักอย่างละล่ำละลัก ขณะที่พี่แทนไทยิ้มบาง ๆ ให้ฉัน น้ำเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความเอาใจใส่
“เป็นยังไง…ชอบไหม” เขาถาม เสียงเรียบ ๆ แต่แฝงความตั้งใจ
พลางโน้มตัวเข้ามาใกล้ ทำให้ไออุ่นจากร่างเขาแตะมาที่ฉันเบา ๆ
หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แอบรู้สึกทั้งเขินและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน