“ช่างนุ่นกับลูกค้าพิเศษ”

1457 คำ
ฉันโน้มตัวตรวจดูอยู่สักพักก่อนจะพบร่องรอยที่ทำให้คิ้วฉันขมวดแน่นขึ้น “อ๋อ… เจอตัวปัญหาแล้วนี่เอง” ฉันพึมพำเบา ๆ มือเล็กยื่นไปแตะบริเวณท่อไอดีและวาล์วที่มีคราบน้ำมันเกาะอยู่ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังเข้ามาใกล้ ก่อนที่แม็กจะเดินมาหยุดยืนข้าง ๆ พร้อมก้มมองตาม “เป็นอะไรเหรอครับ?” น้ำเสียงเขาฟังดูสุภาพ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความสนใจ ฉันเงยหน้าขึ้นนิดหน่อยก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “วาล์วไอดีของรถพี่เปิดปิดไม่สม่ำเสมอค่ะ เสียงสะดุดเพราะกลไกตรงนี้เริ่มเสื่อมแล้ว ถ้าปล่อยไว้นาน มันอาจทำให้เครื่องเดินไม่เรียบและกินน้ำมันมากขึ้น” แม็กเลิกคิ้วเล็กน้อย “โห้… ฟังดูจริงจังนะเนี่ย” ฉันยักไหล่เบา ๆ “งานของนุ่นมันก็จริงจังแบบนี้อยู่แล้วค่ะ” แม็กมองฉันนิ่งไปชั่วครู่ สายตาเหมือนเพ่งมองมากกว่ารถ “ไม่คิดเลยนะว่าคนที่พี่เตยบอกว่าดูแลเอกสารเก่ง จะลงมาซ่อมรถเองได้ขนาดนี้” ฉันหัวเราะเบา ๆ พลางก้มลงตรวจเช็กอีกครั้ง “ก็โตมากับเครื่องยนต์ค่ะ อยู่ใกล้รถมากกว่าคนอีก” มุมปากของแม็กยกขึ้นช้า ๆ เหมือนยอมแพ้ในความสามารถ “งั้น…ฝากรถไว้กับนุ่นเลยแล้วกัน ผมมั่นใจว่ารถจะปลอดภัย” ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะพยักหน้ารับสั้น ๆ “ปลอดภัยแน่นอนค่ะ” ฉันที่กำลังเช็กเสียงเครื่องเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เมื่อได้ยินบทสนทนานั้น แววตาคมของแม็กที่หันมามองตรง ๆ ทำให้รู้สึกเหมือนเวลาหยุดไปชั่ววินาที พี่เตยยิ้มมุมปากอย่างคนกำลังดูละครสนุก “เป็นไงแม็ก…ที่พี่เล่า สนใจขึ้นมาบ้างมั้ย” แม็กหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงทุ้มฟังดูสบายแต่สายตากลับจริงจังอย่างประหลาด “ฮ่า ๆ ก็น่าสนใจดีนะครับ” เขาหันมาสบตาฉันพอดี ฉันเลิกคิ้วขึ้นนิดเหมือนไม่ได้ใส่ใจนัก มือยังคงเช็กเครื่องต่อ แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบาง “สนใจรถ…หรือสนใจช่างคะ” น้ำเสียงกึ่งล้อเล่นกึ่งท้าทาย แม็กหัวเราะในลำคออีกครั้ง “ทั้งสองอย่างครับ ดูเหมือนต้องดูแลอย่างดีทั้งคู่” พี่เตยรีบโบกมือไล่กลบเกลื่อน แต่แววตากรุ้มกริ่มเต็มที่ “โอ้ยยย พอ ๆ อย่ามาทำให้ช่างเขาเสียสมาธิ เดี๋ยวงานไม่เสร็จหรอก” แม็กยกมือเหมือนยอมแพ้ แต่ก่อนจะถอยออกไป เขากลับเว้นจังหวะหันมาสบตาฉันอีกครั้ง รอยยิ้มมุมปากนั้นเหมือนจะบอกเป็นนัย “ฝากดูแลดี ๆ นะครับ…ทั้งรถและคน” ฉันหัวเราะเบา ๆ พลางก้มหน้ากลับไปโฟกัสงาน แต่ในหัวกลับวนเวียนกับน้ำเสียงทุ้ม ๆ ของเขาอยู่ดี พี่เตยแทบไม่รอให้ฉันเช็กเครื่องเสร็จด้วยซ้ำ มือคว้าแขนฉันเบา ๆ แล้วดึงกลับไปทางออฟฟิศอย่างรวดเร็ว “เฮ้ยพี่! ยังเช็กไม่เสร็จเลยนะ” ฉันโวยพลางหันไปมองรถแม็กที่จอดอยู่ในเลนล้าง แต่พี่เตยไม่สนใจสักนิด “เสร็จเมื่อไหร่ก็ไม่หนีไปไหนหรอกน่า รถเขายังอยู่นี่ แต่คน…ถ้าปล่อยไป เดี๋ยวหลุดมือ” พี่เตยพูดพร้อมลากฉันเข้าไปในออฟฟิศ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคึกคะนอง พอเข้ามาในออฟฟิศได้ พี่เตยก็รีบปิดประตูดัง แกร๊ก แล้วหันกลับมามองฉันด้วยสายตาเป็นประกาย “นุ่นนนน! เมื่อกี้เห็นมั้ย สายตาแม็กที่มองเธออะ มันไม่ธรรมดาเลยนะ!” ฉันถอนหายใจ ยกมือกอดอก “โอ๊ยพี่เตย พี่นี่ก็…เขามองเพราะพี่แนะนำไง จะให้ทำหน้านิ่งไม่มองมันก็แปลกสิ” พี่เตยย่นจมูกใส่ฉัน “อย่ามาทำเป็นไม่รู้ตัวนะยะ คนเขามองเหมือนจะซื้อรถทั้งคัน พร้อมคนซ่อมแถมฟรีด้วย!” ฉันหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “พี่นี่ก็พูดเกินไป” แต่ในใจแอบยอมรับว่า…สายตาของพี่แม็กเมื่อกี้มันมีอะไรบางอย่างจริง ๆ พี่เตยยกแขนกอดอกบ้าง ยิ้มกรุ้มกริ่ม “บอกพี่มาเลยว่าไม่สนใจจริง ๆ ใช่มั้ย…ถ้าไม่ พี่จะได้จัดการให้” ฉันแกล้งทำหน้านิ่ง พลางเดินไปหยิบเอกสารบนโต๊ะ “ไม่รู้สิพี่…รถเขาก็ดูดีนะ แต่คน…ก็ต้องดูไปก่อน” น้ำเสียงฉันเจือแววขี้เล่น พี่เตยทำตาโต “อุ๊ยยย! ยอมรับว่าดูแล้วใช่มั้ยเนี่ย” ฉันหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “พี่ไปดูพี่แม็กที่เลนล้างไป เดี๋ยวนุ่นจะจัดการเอกสารตรงนี้ให้เสร็จ” แต่ในหัวฉันยังวนเวียนกับรอยยิ้มมุมปากของแม็กอยู่แบบไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน หลังจากนั้นฉันก็ก้มหน้าก้มตาตั้งใจเคลียร์เอกสารที่กองพะเนินอยู่ตรงหน้า แต่ละแฟ้มเหมือนจงใจรอให้ฉันกลับมาจัดการด้วยตัวเอง พวกใบเสร็จ ใบวางบิล และสัญญาลูกค้าที่ค้างอยู่ ฉันจัดเรียงใหม่ทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง เพราะรู้ดีว่ากว่าจะได้เข้ามาอีกครั้ง…ก็คงอีกสองอาทิตย์เป็นอย่างน้อย เสียงพัดลมเพดานหมุนช้า ๆ คลอไปกับเสียงพลิกหน้ากระดาษ บรรยากาศในออฟฟิศเงียบสงบเกินคาด หลังจากที่เมื่อเช้าด้านนอกยังวุ่นวายอยู่ ฉันหยิบปากกาขึ้นมาขีดเซ็นในเอกสารชุดสุดท้าย ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “เสร็จสักที…คราวหน้ามา คงไม่เจอกองนี้ท่วมหัวอีกนะ” ฉันเอนตัวพิงเก้าอี้ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ราวกับปล่อยความเหนื่อยล้าที่ค้างอยู่ในร่าง แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาสะท้อนในกระจกฝั่งออฟฟิศ…เหมือนมีคนกำลังเดินเข้ามา ฉันหันไปตามเงาที่เห็นในกระจก กลับกลายเป็นร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยเกินไป พ่อฉันเอง โอ้โห…นี่ก็จะตามติดฉันเป็นเงาเลยใช่ไหมพ่อคุณ “ยังไม่กลับอีกเรอะ” เสียงพ่อดังขึ้นพลางก้าวเข้ามาในออฟฟิศ ดวงตาคมกริบกวาดมองโต๊ะที่เต็มไปด้วยแฟ้มและเอกสารที่ฉันกำลังเก็บให้เข้าที่ ฉันถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบแบบไม่เงยหน้า “พึ่งเคลียร์เอกสารเสร็จพ่อ จะไล่หนูกลับหรือไง” พ่อเลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ “ไม่ได้ไล่ แค่ถาม…อยู่ดี ๆ ขยันขึ้นมาแบบนี้ พ่อก็ต้องสงสัยบ้างแหละ” ฉันเงยหน้ามามองตาเขาอย่างเหนื่อยใจ “ขยันหน่อยก็ผิดอีก แบบนี้ให้หนูขี้เกียจต่อไปดีกว่ามั้ง” พ่อหัวเราะหึในลำคอ เหมือนกำลังพอใจที่ได้แหย่ฉันเล่นก่อนจะเดินอ้อมมาดูเอกสารบนโต๊ะ “ไป ๆ เก็บให้เสร็จแล้วรีบกลับ เดี๋ยวเย็น ๆ รถที่ร้านพ่อเข้ามาอีก” หลังจากเคลียร์เอกสารกองโตจนเรียบร้อยและปิดไฟในออฟฟิศ ฉันก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคือ สิงโตของฉัน เห้ออ…คิดถึงชะมัด ฝีเท้าฉันเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว พอพ้นประตูคาแคร์ ลมเย็นยามเย็นก็พัดเอื่อยมาแตะหน้า แต่ฉันแทบไม่สนใจอะไรนอกจากเงาสีดำด้านที่จอดนิ่งรออยู่มุมประจำ ฉันเดินตรงเข้าไป เปิดประตูรถ เสียงเหล็กหนัก ๆ ดัง กึ่ก อย่างมั่นคง กลิ่นหนังผสมกลิ่นเครื่องยนต์ที่คุ้นเคยก็พุ่งเข้าสู่จมูกทันที ฉันนั่งลงบนเบาะข้างคนขับ ลูบพวงมาลัยช้า ๆ ปลายนิ้ววนเบาเหมือนกำลังทักทายคนสนิท “คิดถึงจังเลย สิงโตของแม่…” ฉันพึมพำออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผูกพัน ก่อนจะสอดกุญแจหมุนสตาร์ต เครื่องยนต์คำรามตอบรับราวกับกำลังบอกว่า คิดถึงเหมือนกัน ฉันชะงักปลายเท้าที่กำลังจะเหยียบคันเร่ง เสียงแจ้งเตือนติ๊ง ๆ ดังขึ้นมาพร้อมแรงสั่นเล็กน้อยจากโทรศัพท์บนเบาะข้าง ๆ ในใจแอบสบถ อย่าบอกนะ…ว่าไลน์มาถามอาการรถอีกแล้ว! ฉันเหลือบตามองหน้าจอที่สว่างขึ้นอย่างเสียไม่ได้ และใช่…ชื่อที่ปรากฏอยู่บนนั้นก็คือ พี่แทนไท จริง ๆ แต่สิ่งที่ทำให้คิ้วฉันขมวดไม่ใช่เพราะเขาถามเรื่องรถ ข้อความล่าสุดเขียนว่า แทนไท: ว่างไหม กินข้าวด้วยกันหน่อย ฉันกระพริบตาปริบ ๆ มองข้อความซ้ำสองรอบเพื่อเช็กว่าตัวเองอ่านไม่ผิด โอเค…นี่มันไม่ใช่คำว่า “รถโอเคไหม” หรือ “มีเสียงอะไรแปลก ๆ มั้ย” แน่นอน มุมปากฉันกระตุกขึ้นบาง ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ “นี่พี่…เปลี่ยนจากห่วงรถมาเป็นห่วงคนแล้วหรือไง”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม