10. ตัดเยื่อใยมินจู

1939 คำ
รถม้าของจวนอ๋องหยุดลงที่ด้านหน้า โดยมีร่างสูงของหรานจวิ้นเดินไปมาด้วยความกังวล พอเห็นว่าทุกคนกลับมาเขาก็ยืนมองผู้ที่กำลังถูกประคอง เพียงเท่านั้นก็รีบเดินตรงเข้าไปช้อนร่างเล็กที่ดูอ่อนแรงมาแนบอกทันที “อ่ะ! ปล่อยนะ” แม้จะเหนื่อยและเริ่มมีไข้แต่ซูเยว่ก็อดมิได้ที่จะท้วงอีกฝ่าย เพราะมิคุ้นชินกับการกระทำนี้เลย “อย่าดื้อ เดินจะมิไหวยังจะมาอวดเก่ง” เขาตำหนิเล็กน้อยก่อนจะพานางเดินเข้าจวนไป โดยมีผู้ติดตามประกบมิห่าง เพราะมิอาจไว้ใจคนจวนนี้ได้ จนมาถึงเตียงกว้างร่างเล็กก็ถูกวางลงอย่างแผ่วเบา “ออกไปเสีย อย่ามาทำดีเช่นนี้ข้ามิชิน” เสียงสั่นดังขึ้นด้วยพิษไข้ เป็นเพราะซูเยว่ใช้ปากดูดพิษออก จึงมีบางส่วนที่มันซึมเข้าร่างกาย “หึ! จะตายยังมาอวดเก่งใส่ข้าอีกหรือ” หรานจวิ้นเอ่ยเสียงเยาะ เขาเองก็มิได้ห่วงใยนางมากมายเพียงนั้นหรอก แต่หากสิ้นใจขึ้นมาคงต้องตอบคำถามมากมายเป็นแน่ “ยาเพคะ” หลินหยาเดินเข้ามาพร้อมกับประคองผู้เป็นนายขึ้นพิงหัวเตียง ก่อนจะป้อนยาที่ซูเยว่สั่งให้ต้มในตอนที่นั่งรถม้ากลับมา โดยบอกวิธีและชนิดยาที่นางใช้รักษาบุรุษแปลกหน้านั่นแหละ “เจ้าถูกพิษงั้นหรือ” อ๋องหนุ่มถามขึ้นทันที แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย เพราะดื่มยาเสร็จนางก็นอนหันหลังให้ทันที ทำให้หรานจวิ้นจำต้องเดินออกไปโดยมิเอ่ยสิ่งใด “ใครกันที่ทำเรื่องเช่นนี้ นางมิเคยออกจากจวนจะมีศัตรูได้อย่างไร ลี่หยางเรื่องที่ข้าให้สืบเป็นเช่นไรบ้าง” “เอ่อ ท่านอ๋องอยากฟังจริงหรือพะย่ะค่ะ” “หมายความว่าอย่างไร เอ่ยมาเดี๋ยวนี้” หรานจวิ้นถามเสียงดังทันที เพราะเขาเกรงว่ามันจะเป็นอย่างที่คิด เมื่อได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับสาเหตุตกน้ำของชายา เขาก็แทบมิเชื่อว่าเป็นฝีมือของมินจูอย่างที่คนสนิทเอ่ย เพราะนางอ่อนหวานและน่ารักขี้อ้อน ไยถึงได้ใจร้ายหมายเอาชีวิตคนได้ เพียงเพื่อตำแหน่งพระชายางั้นหรือ แต่อย่างไรล่ะในเมื่อเขาเองก็เคยอยากให้ซูเยว่ตาย เพื่อจะได้รับอีกคนเข้ามา นี่อาจเป็นสาเหตุที่นางรอมิได้จนลงมือเอง “หากเป็นเช่นนี้ข้าควรทำเช่นไร” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ณ จวนอ๋องไป่จวิน ยามนี้เขากำลังฟังรายงานจากสายที่แฝงตัวอยู่ เพราะอยากรู้ว่าชายาอ๋องผู้น้องนั้นเป็นเช่นไร หลังจากออกมาจากถ้ำแล้ว “หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่านางป่วย” “เรื่องนี้คนของเรามิอาจรู้ได้พะย่ะค่ะ ได้ยินนางกำนัลที่มาต้มยาเอ่ยเพียงว่าต้องรีบเอาไปให้ดื่ม มิเช่นนั้นจะอาการหนักกว่านี้ เพราะพระชายาจับไข้แล้ว” “เป็นเพราะนางช่วยข้าอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยเสียงเบา เพราะเรื่องนี้มีแค่สองคนเท่านั้นที่รู้ว่านางทำเช่นไรจึงสามารถรักษาเขาให้ดีขึ้น ทำเอาอ๋องไป่จวินอดเป็นห่วงอีกฝ่ายอย่างเสียมิได้ ทั้งที่มันมิควรจะเป็นเช่นนี้เลยสักนิด “ท่านอ๋องคิดสิ่งใดอยู่หรือพะย่ะค่ะ” เผิงหยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะผู้เป็นนายมิเคยนั่งนิ่งเช่นนี้มาก่อนแต่กลับมิมีคำตอบจากปากไป่จวินออกมาให้ได้ยินแม้แต่น้อย ทั้งยังเดินเข้าห้องไปจนคนสนิทถึงกับเป็นงง ดึกดื่นคืนวันเดียวกันซูเยว่นอนกระสับกระส่ายด้วยพิษไข้ แม้จะดื่มยาไปแล้วก็เถอะ แต่เพราะนางเองเหนื่อยล้าเป็นทุนเดิมด้วยจึงทำให้อ่อนแอมาก คนสนิททั้งสองก็หลับเพราะเหนื่อยล้าเช่นกัน “หนาว ทำไมหนาวแบบนี้” เสียงสั่นเครือเปล่งออกมาเพราะรู้สึกเช่นนั้น แต่จู่ๆ ก็มีสัมผัสอบอุ่นกอดรัดเอาไว้ ร่างเล็กจึงมุดเข้าหาอกแกร่งในทันที เพียงเท่านั้นเจ้าของร่างสูงก็ยิ้มออกมาพร้อมกับกระชับแขนให้แน่นขึ้น สายของวันเปลือกตาสวยก็เปิดขึ้น มันกะพริบถี่เพื่อให้แน่ใจว่าตอนนี้ตนอยู่ในห้องนอนที่เคยหลับอยู่ทุกวัน เพราะไม่แน่ใจว่ากลับมาที่จวนหรือยัง ก่อนนี้มันดูเหมือนเป็นภาพเลือนลางจนแทบจำไม่ได้ ทุกอย่างมันเหมือนฝันรวมถึงร่างสูงของใครบางคนที่จากไปก่อนรุ่งสาง “ฝันงั้นเหรอ คงใช่แหละเขาจะมาอยู่ในห้องเราได้ยังไง” เสียงบ่นพึมพำเบาๆ ก่อนจะมองไปที่ประตู มันถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของนางกำนัลคนสนิท “ตื่นแล้วหรือเพคะ รู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง” “อืม เมื่อวานมีใครบาดเจ็บหรือไม่” ซูเยว่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าจะมีคนเจ็บตัวหรือล้มตายเพราะตน “ไม่เพคะ คนของท่านอ๋องมาช่วยก่อน แต่พวกเราตามหาพระชายามิพบ จึงทำให้ล่าช้าในยามนั้น หากมิมีคนผ่านมาบอกว่าเห็นพระองค์อยู่ในถ้ำก็คงมิรู้ว่าทรงซ่อนตัวอยู่ในถ้ำนั้น โชคดีเหลือเกินเพคะ” “โชคดีงั้นหรือ คงมิใช่หรอกต้องเป็นผู้ชายคนนั้นแน่ที่ออกไปตามคนของเรา ก็ยังดีนะที่สำนึกบุญคุณกันอยู่” “ใครหรือเพคะ” เสี่ยวชิงถามเมื่อได้ยินคำของผู้เป็นนายเอ่ยพึมพำ ซึ่งพูดถึงใครบางคนราวกับว่ามิได้อยู่ผู้เดียว “เปล่าหรอก ข้าคงฝันไปในยามนั้นเลยเอ่ยไปเรื่อย”เสียงหวานเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง ซึ่งดูเหมือนมันจะมีรอยปีนเข้ามาและออกไป “ไม่ได้ฝันหรอกเหรอ แล้วใครกันคนเมื่อคืน” เสียงพึมพำดังขึ้นอีกครั้ง ในใจก็อดคิดมิได้ว่าอาจจะเป็นคนที่อุ้มนางเข้าจวนมา แต่การกระทำเขามันก็ค้านหากอีกฝ่ายจะทำเช่นนั้น เขาจะใจดีเข้ามามอบความอบอุ่นให้จริงหรือ “พอๆ เลิกคิด” นางบอกกับตนเองก่อนจะเดินเข้าไปล้างหน้าแต่งกายใหม่ เพื่อออกไปดูสมุนไพรซึ่งน่าจะได้ที่แล้วหลังจากที่ตากไปเมื่อหลายวันก่อนนี้ ร่างเล็กเดินออกมาจากห้องด้วยอาภรณ์สีสดใส ก่อนจะเผชิญหน้ากับคุณหนูมินจู ซึ่งวันนี้นางคำนับพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ต่างจากทุกที “ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับพระชายาเมื่อวาน เป็นอันใดหรือไม่เพคะ ทรงปลอดภัยดีใช่หรือไม่” เสียงหวานปนไปด้วยถ้อยคำห่วงใย มันทำเอาซูเยว่รู้สึกเลี่ยนขึ้นมาเสียอย่างนั้น “เล่นบทนางเอกสินะ แล้วฉันต้องเป็นนางร้ายหรืออะไรดี เห้อ! ชักเหนื่อยกับนิยายเรื่องนี้แล้วสิ” นางคิดในใจก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเช่นกัน “ข้ามิเป็นไร ขอบใจที่เป็นห่วง” ซูเยว่เอ่ยเสียงหวานตอบกลับ ก่อนจะเดินไปนั่งยังศาลากลางสวน เพราะมิอยากให้มินจูตามไปยังเรือนหลังที่มีสมุนไพรมากมาย “ดีเหลือเกินเพคะ ท่านอ๋องตรัสกับหม่อมฉันเมื่อคืน เอ่ยว่ามีคนปองร้ายหมายจะเอาชีวิตพระองค์ ผู้ใดกันทำเรื่องเช่นนี้ได้ พระองค์เป็นสตรีแท้ๆ” มินจูเอ่ยราวกับตนรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่ใบหน้านี้กลับแฝงไปด้วยยิ้มร้ายที่มันผุดขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนจะหายไป “ก็คงต้องดูว่าใครจะได้ประโยชน์จากการตายของข้า ถึงจะเดาได้ว่าผู้ใดที่อยากสังหารข้านัก” ซูเยว่เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองสาวงามที่เอาแต่ยืนฉีกยิ้มใส่ ราวกับตนกำลังเอ่ยชมเสียอย่างนั้น นัยน์ตานั้นฉายแววขุ่นเคืองมิน้อย แต่ก็มิอาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ เพราะยามนี้นางมิได้อยู่ในฐานะจะโต้เถียงสตรีที่สูงศักดิ์กว่า “เจ้ามาแต่เช้าเชียวมีเรื่องด่วนหรือมินจู” หรานจวิ้นเอ่ยถามซึ่งคำพูดนั้นมันดูห่างเหินอย่างไรพิกล จนแม้แต่ซูเยว่เองก็แปลกใจมิน้อยเช่นกัน “หม่อมฉันมาเยี่ยมพระชายาเพคะ เมื่อคืนท่านอ๋องบอกเองว่าพระชายาถูกลอบสังหาร เลยเกรงว่าพระองค์จะทรงขวัญเสีย จึงคิดที่จะมาถามไถ่เท่านั้น” มินจูเอ่ยขึ้นเพื่อตอกย้ำให้ซูเยว่รู้ว่าเมื่อคืนนั้นตนและหรานจวิ้นอยู่ที่ใด ทำเอาอ๋องหนุ่มถึงกับนิ่งไป เพราะมิอาจปฎิเสธได้ว่าเขาอยู่กับนางจริงแม้จะไม่นานก็เถอะ “หึ! แย่ที่ข้ายังสบายดี มิเช่นนั้นเจ้ากับท่านอ๋องคงได้ครองรักกันได้อย่างเปิดเผย มิต้องหลบซ่อนเช่นคนลักกินขโมยกินเช่นนี้ว่าหรือไม่” น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้น จนคนที่ทำเรื่องนี้ถึงกับนิ่งงัน ตลอดเวลาทั้งคู่ทำเรื่องที่ผิดต่อซูเยว่นับครั้งไม่ถ้วน คิดว่านางจะมิรู้สิ่งใดเลย แต่พอซูเยว่ได้เอ่ยถ้อยคำออกมามันกลับเชือดเฉือนมากเหลือเกิน “พระชายาไยถึงเอ่ยเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันและท่านอ๋องมิได้ทำเรื่องใดกันเลยนะเพคะ ไยถึงเอ่ยใส่ร้ายกันถึงเพียงนี้ หม่อมฉันเสียหายนะเพคะ” มินจูเอ่ยตัดพ้อราวกับตนมิได้ทำเรื่องอย่างที่เอ่ยจริงๆ “หึ! อ๋องหรานจวิ้น นี่หรือสตรีที่ท่านจะเอามาแทนที่ข้า หาดีกว่านี้มิได้แล้วหรือถึงได้คว้าคนเช่นนี้มา” เสียงเหยียดหยันดังขึ้นอีกคราก่อนที่จะเดินผ่านหน้าอ๋องหนุ่มไป โดยมิฟังเสียงท้วงจากมินจูซึ่งนางเพียงแค่ทำทีเป็นตัดพ้อไปเช่นนั้นเอง แต่กลับยิ้มเยาะอีกฝ่ายอยู่ “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ยามนี้มิเหมาะที่จะมาที่นี่นัก” ใบหน้างามหันกลับมาในทันทีเมื่อได้ฟังคำของชายอันเป็นที่รัก เพราะเขามิเคยเอ่ยปากไล่นางเช่นนี้เลย “ไยถึงเอ่ยไล่หม่อมฉันเช่นนี้เพคะ” ถามออกไปด้วยใบหน้าเศร้า นางมิอยากเชื่อว่าจะได้เห็นสายตาเมินเฉยที่มองมาราวกับคนแปลกหน้าเช่นนี้ “หากอยู่เฉยๆ รอเวลา ฐานะพระชายาย่อมเป็นของเจ้าแน่ แต่ไยเจ้าถึงได้ร้ายกาจเพียงนี้มินจู อย่ามาที่นี่อีก” หรานจวิ้นเอ่ยเพียงเท่านั้นก็เดินผละออกไป ทิ้งให้คนสนิทจัดการพาสตรีใจร้ายผู้นี้ออกจากจวน ด้วยความสงสัยที่ยังคงมีอยู่ เพราะอ๋องหนุ่มมิได้เอ่ยสิ่งใดให้กระจ่าง จึงกลายเป็นหน้าที่ของลี่หยางซึ่งรู้เหตุผลดี เมื่อรู้ถึงที่มาร่างเล็กของมินจูก็ถึงกับทรุดลง ในใจก็เคืองแค้นอยู่มิหายเพราะมิคิดว่าหรานจวิ้นจะตัดสัมพันธ์ไปง่ายเช่นนี้ เพียงเพราะตนตั้งใจจะสังหารซูเยว่ “ท่านเองก็อยากให้นางตายมิใช่หรือ ไยถึงทอดทิ้งข้าเพราะเรื่องนี้ หรือใจท่านเปลี่ยนไปแล้วหรานจวิ้น” เสียงตัดพ้อเปล่งออกมาแผ่วเบา พร้อมกับหยดน้ำใสไหลหล่น ก่อนจะถูกพาตัวออกไปส่งยังจวนเสนาขวา จากนั้นมินจูก็มิมาปรากฏที่จวนอ๋องอีกเลย จนเวลาล่วงเลยไปสิบวันแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม