“พระชายาเพคะ ต้นนี้ใช้ได้หรือไม่” เสี่ยวชิงชูต้นหญ้าให้ผู้เป็นนายดู ก่อนที่เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายจะดังขึ้น ทำเอาผู้ติดตามทั้งห้าถึงกับสงสัย
“ต้นนี้เอาไปต้มกินมีหวังเจ้าได้ถ่ายจนคลานออกมาเป็นแน่เสี่ยวชิง มันมิใช่สมุนไพรแต่เปรียบได้กับยาถ่าย”
“ก็ดีนะเจ้าจะได้ผอมเพรียวอย่างไรล่ะ” จินหยางเอ่ยเย้าน้องสาวตน ทำเอาทุกคนต่างก็หัวเราะร่วน เพราะมิคิดว่าจะมีใครคิดทำร้าย ซูเยว่จึงสั่งให้ออกหาสมุนไพรตามเชิงเขาซึ่งมันมักจะขึ้นทิ้งระยะห่างกัน ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำตามรับสั่ง โดยหลินหยาไปกับซูเยว่แยกกันไปคนละคู่ แม้จินหยางจะค้านในตอนแรกก็เถอะ แต่จะสู้คำสั่งของผู้เป็นนายได้อย่างไร จำต้องผละไปอีกทางปล่อยสองสาวเดินลัดเลาะเชิงเขาไปซึ่งเป็นทางง่ายที่สุด
“ว๊าว! อากาศดีจัง” เสียงหวานใสดังขึ้นเมื่อเดินมาถึงคลองน้ำ ก่อนจะยืนดูบรรยากาศรอบๆ จนลืมสังเกตว่ามีกลุ่มคนกำลังตรงมา ซึ่งทั้งหมดมีอาวุธครบมือ
“พวกเจ้าเป็นใครกันไยถึงมาอยู่แถวนี้” เผิงหยวนเอ่ยถามเมื่อเห็นสตรีงามอยู่เบื้องหน้า นิสัยเจ้าชู้ที่มีมันทำเอาเขาอดมิได้ที่จะเอ่ยถาม
“เราแค่ออกมาเก็บสมุนไพร พวกเจ้าล่ะเป็นใครกัน”
“พระชายาอย่าได้เอ่ยถ้อยคำใดกับคนเหล่านี้เลยเพคะ ดูน่ากลัวเหลือเกินแม้จะแต่งกายดีก็เถอะ”
หลินหยาเอ่ยท้วงด้วยความตื่นกลัว ทำเอากลุ่มชายฉกรรจ์ถึงกับยกยิ้ม แต่การลงมือก็มิได้เกิดขึ้นในทันที เพราะผู้เป็นนายอยากเล่นสนุกกับเหยื่อที่เขาหมายจะล่าในป่าใหญ่ จึงแอบซุ่มดูเพราะรู้อยู่แล้วว่าสตรีที่สวมหมวกมีผ้าคลุมสีขาวปิดบังใบหน้าคือพระชายาของอนุชา
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็ไปเถอะระวังตัวด้วยล่ะ” เผิงหยวนเอ่ยก่อนจะบังคับม้าออกไปอีกทาง
“ฟู่ว! คนพวกนี้เป็นใครกัน ไยถึงมาเตร็ดเตร่แถวนี้ได้” หลินหยาเอ่ยด้วยความสงสัย ซึ่งต่างจากคนที่ยืนนิ่งมองตามกลุ่มคนเหล่านั้นไปจนลับตา
“ไปเถอะเราจะกลับไปยังจุดนัดพบ” เสียงหวานเอ่ยบอกคนของตน แต่พอหันตัวหมุนกลับเท่านั้นก็มีธนูพุ่งมาจากที่ใดมิรู้ได้ และมันหมายจะเอาชีวิตคนทั้งคู่เสียด้วย แต่จินหยางก็ตามมาช่วยได้ทัน จึงทำให้เกิดการต่อสู้กัน
“พาพระชายาหนีไปเสี่ยวชิง” เขาเอ่ยบอกน้องสาวทันที ยามนี้กลุ่มชายชุดดำมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบ ทำให้ซูเยว่รู้แล้วว่าตนคือเป้าหมายของคนกลุ่มนี้ เพราะหมายจะเอาชีวิตนางให้ได้ จึงรีบวิ่งหนีออกมาลำพังเพื่อมิให้ผู้อื่นต้องล้มตายไปด้วย ทำให้บางส่วนติดตามไปอย่างกระชั้นชิด
“หึ! มิคิดว่าจะมีคนแอบลงมือก่อนข้าเสียด้วยสนุกจริงๆ มิคิดว่าเป็นแค่สตรีตัวน้อยก็ยังมีศัตรูกับเขาด้วย”
“กระหม่อมคิดว่านั่นอาจเป็นคนของอ๋องหรานจวิ้น หรือไม่ก็คนของเสนาขวาพะย่ะค่ะ หากพระชายาสิ้นพระชนม์บุตรสาวก็จะได้ครองตำแหน่งแทน อ๋องหรานจวิ้นก็มิได้มีใจต่อนางอยู่แล้ว อาจร่วมมือกันก็ได้”
“นั่นสิ หึ! น่าสงสารเสียจริงเจ้ากวางน้อย” เสียงเยาะดังขึ้นก่อนที่ริมฝีปากหนาจะยกยิ้มมองภาพเบื้องหน้าจากเนินเขา คันธนูถูกยกขึ้นหมายจะเอาชีวิตร่างเล็กที่วิ่งเข้าป่าเพื่อหาทางรอด ก่อนเขาจะปล่อยลูกศรออกไปโดยมิลังเล
แต่มันกลับมิได้ถูกเป้าอย่างที่เขาหมายให้เป็น เมื่อซูเยว่มองเห็นแสงสะท้อนจากแสงแดดบนปลายศรเสียก่อน นางจึงพลิกตัวหมุนหลบได้ทัน หมวกใบใหญ่ถูกปะทะด้วยแรงยิงเผยใบหน้างดงามที่แม้อยู่ไกลๆ ก็ยังรู้ ทำให้อ๋องหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะมิใช่ตะลึงที่คนตัวเล็กนั้นงดงาม แต่มิคิดว่าจะมีใครที่สามารถหลบปลายศรของตนได้ โดยเฉพาะนางเป็นสตรี และดูอ่อนแอไร้น้ำยา
“ใครกันที่อยากฆ่าเรา คงมิใช่ท่านหรอกนะหรานจวิ้น”เสียงแหบพร่าดังขึ้นเพราะเหนื่อยหอบจากการวิ่ง ยามนี้ร่างเล็กกำลังแอบอยู่ภายในถ้ำขนาดเล็ก เพราะทางเข้าน่าจะมีแค่นางเท่านั้นที่มุดได้ เพราะมันเล็กมากแต่ข้างในนั้นกว้างพอที่จะอาศัยอยู่ได้เลย
“มืดจัง” แสงจากด้านบนส่องมาเพียงเล็กน้อย ทำให้ซูเยว่ต้องใช้มือคลำไปตามผนัง เพื่อหาทางออกที่น่าจะมีอีกฝั่ง เพราะมีลมพัดผ่านเข้ามาจนปะทะแก้มเนียน
“อ่ะ! ปล่อยนะ” นางร้องเสียงหลงทันทีเมื่อถูกใครบางคนกอดรัดเอาไว้ และดูเหมือนเขาจะตัวโตพอๆ กับสามี
“ชู่ว! พวกมันอยู่ข้างบนเงียบก่อน” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น ทำเอาซูเยว่ต้องเงียบเพราะเสียงฝ่าเท้าคนหมู่มากกำลังเดินอยู่ด้านบนอย่างที่เขาบอก
“พวกมันไปแล้วปล่อยสิ” นางร้องท้วงทันทีเมื่อด้านบนเงียบไปแล้ว พร้อมกับมือเล็กดันอกแกร่งนี้ให้ออกห่าง แต่อีกฝ่ายก็ดูจะชอบใจเป็นอย่างมากที่ได้เข้าใกล้นาง เพราะกลิ่นหอมอ่อนๆ มันทำเอาเขาเคลิ้มจนมิอยากปล่อย
“อย่าเล่นตัวนักเลยหากเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครคงมิเอ่ยเช่นนี้หรอก ยามนี้เจ้าจะมีชีวิตรอดก็ต้องพึ่งข้าผู้เดียว”
ร่างเล็กนิ่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใช่ว่านางจะกลัวคำของเขา แต่ตอนนี้สายตาเริ่มชินกับความสว่างที่มันมีอยู่น้อยนิดบ้างแล้ว จึงทำให้เห็นว่ามีสัตว์พิษบางชนิดไต่อยู่บนบ่าแกร่ง ซึ่งเขาคงมิรู้ตัวเป็นแน่
“อย่าขยับ” เสียงหวานเอ่ยบอกแต่คนตัวโตก็มิได้ฟังคำนางเลย จนกระทั่งเสียงร้องดังขึ้น
“อ่ะ!โอ๊ย! อะไรกัดข้า”
“ก็บอกว่าอย่าขยับอย่างไรล่ะ” มือเล็กดันอกแกร่งออกอีกครั้ง ก่อนจะรีบหากิ่งไม้แห้งที่พอมีในถ้ำเอามาสุมไฟ ความสว่างเกิดขึ้นเมื่อคนตัวเล็กสามารถกะเทาะหินจนติดไฟได้ “อย่างน้อยวิชาที่เรียนมาก็ได้ใช้ประโยชน์แหละ” นางเอ่ยกับตนเอง ก่อนจะประคองร่างสูงให้มานั่งพิงผนังอีกด้าน ซึ่งมันน่าจะปลอดภัยกว่าตรงนั้น
“แมลงปีกดำมีพิษทำให้เป็นอัมพาตได้ บอกว่าอย่าขยับก็มิคิดจะฟัง น่าจะปล่อยให้ตายจริงๆ” เสียงหวานเอ่ยตำหนิอีกฝ่ายที่ได้แต่จ้องหน้าเท่านั้น เพราะยามนี้เขาชาไปทั้งตัว แต่ที่มิคิดก็คือคนที่เขาหมายจะเอาชีวิตก่อนนี้กำลังก้มลงดูดพิษที่คอให้ อย่างมิเกรงกลัวว่ามันจะย้อนเข้าหาตนเองเลย แต่มิสำคัญเท่าอาการวูบวาบยามที่ปากอิ่มนุ่มสัมผัสลงหรอก มันทำเอาร่างแกร่งถึงกับเกร็งตัวเพราะความวาบหวามที่กำลังเกิดขึ้น
เขาเหลือบมองการกระทำของนางที่ดูคล่องแคล่วจนมิน่าจะเป็นดั่งคำลือที่ได้ยินมาเลยสักนิด พระชายาอ๋องหรานจวิ้นขี้โรคอ่อนแอ และมักจะหาทางเข้าหาน้องชายเขาเป็นประจำ แต่ก็มิเคยจะได้รับความเมตตาจากอีกฝ่ายเลย แม้นางจะงดงามถึงเพียงนี้ก็ตาม
“ใส่ยาแล้ว อีกสักพักก็คงจะดีขึ้น” เสียงหวานเอ่ยบอกก่อนจะกระเถิบมานั่งพิงผนังข้างคนตัวโตเช่นกัน ยามนี้นางเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาเช่นไร รูปงามมิต่างจากสามีตนเลยสักนิด ดูสง่า แต่นัยน์ตานี้กลับแข็งกร้าวและดูไร้ซึ่งเมตตาปราณี แต่เขามาช่วยนางทำไมนั่นคือสิ่งที่ซูเยว่กำลังสงสัย แต่ตอนนี้เหนื่อยเหลือเกินที่จะหาเหตุผล
ยามนี้นางจึงซบลงที่ไหล่ของคนตัวโต ก่อนจะหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ไป่จวินได้มองหน้าอีกฝ่ายชัดขึ้น เขาเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อสำรวจใบหน้านี้
“งดงามเพียงนี้ หรานจวิ้นมิมีใจกับเจ้าจริงหรือ” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะนั่งมองตรงทางที่ตนเดินเข้ามา มันถูกปิดสนิทตามคำสั่งเพื่อที่เขาจะได้จัดการกับสตรีตัวน้อยนี้ได้ง่ายๆ คิดว่าจะใช้ที่นี่เป็นหลุมศพไปเลย แล้วโยนความผิดทั้งหมดให้อนุชา แต่ยามนี้เขากลับได้รับการช่วยเหลือจนรอดชีวิตเพราะคนตัวเล็กนี้เสียได้
“ขอบใจที่เจ้าช่วยชีวิตข้า ครานี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน หึ! ถือว่าเรามิมีสิ่งใดติดค้างกันนะซูเยว่”
ไป่จวินเอ่ยก่อนจะดันหัวเล็กให้พิงที่ผนัง เขาพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปส่งสัญญาณกับคนสนิทที่รออยู่ด้านนอก มินานก้อนหินขนาดใหญ่ก็ขยับออก เผยแสงสว่างจากด้านนอกส่องมาให้เห็น
“จัดการแล้วหรือพะย่ะค่ะ” เผิงหยวนเอ่ยถามทันที ก่อนจะสังเกตเห็นบางสิ่งติดอยู่ที่คอของผู้เป็นนาย
“เกิดอะไรขึ้นพะย่ะค่ะ นางทำร้ายพระองค์หรือ”
“มิใช่ ให้คนของเรานำทางคนของนางมา แล้วส่งนางกลับจวนหรานจวิ้นเสีย”
“มะ หมายความว่าจะมิสังหารนางหรือพะย่ะค่ะ”
“ถึงข้าจะไร้ปราณีต่อผู้อื่น แต่ก็มิใช่กับคนที่ช่วยชีวิตหรอกนะ ไม่มีนางข้าคงสิ้นใจไปแล้ว หลังจากนั้นจัดการเผาถ้ำนี้ให้วอดด้วย สัตว์มีพิษเหล่านี้สมควรตาย”
ไป่จวินเอ่ยก่อนจะขึ้นม้าควบกลับเข้าเมือง เผิงหยวนจึงรีบตามไปหลังจากออกคำสั่งเรียบร้อยแล้ว มินานจิน หยางและเหล่าผู้ติดตามของซูเยว่ก็มาถึง พร้อมคนของอ๋องหรานจวิ้นที่เขาส่งคนให้ออกมาตามชายา เพราะเห็นว่าหายออกมาจากจวนนานมากแล้ว
“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ” หลินหยาเรียกเสียงดัง ก่อนที่ร่างเล็กจะงัวเงียตื่นขึ้นมา
“เอ๊ะ! พวกเจ้ามาได้ยังไง แล้วบุรุษผู้นั้นล่ะ”
“ที่นี่มีแค่พระองค์นะเพคะ กลับจวนกันเถอะท่านอ๋องส่งคนมารับแล้วเพคะ” เสี่ยวชิงเอ่ยขึ้น
“หึ! แน่ใจหรือว่านั่นคือคนที่มารับเราจริงๆ” ซูเยว่เอ่ยเสียงหยันออกมา ซึ่งมันมิใช่แค่นางหรอกที่คิดเช่นนั้น องครักษ์หนุ่มเองก็คอยระวังอยู่เช่นกัน เขาจึงยืนรออยู่ด้านหน้าพร้อมกับสหายอีกสองคน
“เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม” ลี่หยางเอ่ยถามทันที
“หึ! ข้าแค่มิคิดว่าพวกเจ้าจะเปลี่ยนอาภรณ์ได้เร็วถึงเพียงนี้ มิเหนื่อยหรือที่ต้องเสแสร้ง”
“อะไรของเจ้าพวกข้าก็พึ่งมาถึง นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าเป็นฝีมือของพวกเรา”
“หากมิใช่ฝีมือของพวกเจ้าแล้วจะเป็นใครล่ะที่อยากเอาชีวิตพระชายา รออีกมิถึงปีก็ทนมิได้อย่างนั้นหรือ ไยถึงได้ใจร้ายกับสตรีตัวเล็กแค่นี้”
หลินหยาเอ่ยตำหนิคนสนิทของท่านอ๋องเป็นคราแรก เพราะอดสงสารผู้เป็นนายมิได้ เพราะตามตัวมีแต่รอยขูดขีดของกิ่งไม้ นางคงวิ่งหนีจนหมดเรี่ยวแรง ถึงได้อ่อนปวกเปียกถึงเพียงนี้ ลี่หยางอ้าปากจะเถียงก็หุบลงทันทีเมื่อเห็นสภาพของพระชายา
“รีบไปเถอะอย่ามัวโต้เถียงกันอยู่เลย ข้าหิว” ซูเยว่เอ่ยตัดปัญหาเพราะหากยังคงโต้กันไปมาคงมิจบแน่ ตอนนี้ก็เริ่มปวดท้องเพราะหิวแล้วด้วย