บทที่2

1284 คำ
เจียอีได้แต่ปลงตกอยู่ในใจ เหตุใดหวยถึงมาออกที่ตัวนาง อ่านนิยายมาก็มากแต่ไม่คิดว่าที่นางต้องข้ามภพมาเช่นนี้เป็นเรื่องดี เพราะชีวิตของนางกำลังไปได้สวยกับเส้นทางที่นางได้ทำ แล้วมาอยู่ในร่างของเด็กน้อยที่แม้แต่ข้าวบ้านท่านย่ายังไม่ให้กิน นางต้องใช้ชีวิตเช่นใด “พี่สาว พี่สาว” เสียงเด็กสาวเรียกเธออยู่ที่ข้างหู ‘เด็กที่ไหนอีกล่ะเนี้ย’ เจียอีคิดในใจ แต่เหมือนเด็กสาวคนนั้นจะรับรู้ความคิดของเธอ “พี่สาว ข้าหลันเจียอีเจ้าค่ะ ข้าต้องไปแล้วฝากท่านดูแลท่านแม่กับเสียนเอร์แทนข้าด้วย พี่สาวท่านใช้ชีวิตแทนข้าด้วยนะเจ้าค่ะ” เธออยากจะตะโกนบอกว่า ไม่ได้ ใจแทบขาดแต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะเสียงเด็กสาวคนนั้นได้หายไปแล้ว เจียอีนอนนึกถึงคุณตาคุณยายของเธอ ตอนนี้พวกท่านจะเป็นเช่นใด จะทำใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ หากคุณยายเสียใจจนล้มป่วยไปจะเป็นเช่นไร เรื่องต่างๆ พาให้ใจของเธอเจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมา ลู่เสียนที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเช็ดน้ำตาให้พี่สาว และวิ่งออกไปตามมารดาที่ยังนั่งขอความเมตตาจากท่านย่ามมาดูเจียอี “อีเออร์อดทนไว้นะลูก แม่จะขอยืมเงินชาวบ้านพาหมอมารักษาลูกให้ได้” นางร้องไห้สะอื้นตัวโยนเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาของบุตรสาว เจียอีที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของสตรีที่ร้องไห้ข้างหูของนางอยู่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ หากนางได้รู้ความจริงว่าบุตรสาวของตนได้จากไปแล้ว และคนที่อยู่ตอนนี้เป็นคนอื่นนางจะเสียใจมากเพียงใด เจียอีจึงพยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบสตรีที่งดงามแม้จะผ่านการทำงานหนักจนผ่ายผอมลง ใบหน้าของนางมีน้ำตานองหน้าไปหมดกับเด็กชายที่จับมือของเจียอีไว้ ถึงน้ำตาไม่ได้ไหลรินแต่ก็แดงเสียจนดูน่าสงสาร “อีเออร์เจ้าฟื้นแล้ว เป็นเช่นใดบ้างลูก” นางยิ้มด้วยความดีใจ “ท่านแม่ เสียนเออร์” นางเรียกทั้งคู่ จากความทรงจำของร่างเดิม “ท่านพี่ ท่านฟื้นแล้ว หิวหรือไม่ ข้าเก็บมันเผาไหวให้ท่าน” ลู่เสียนรีบลุกไปนำหัวมันเผามาปอกส่งให้นาง เจียอีก็หิวจริงๆนั่นแหละ นางไม่รู้ว่าร่างนี้อดอาหารมานานเพียงใด นางรู้ว่าตอนนี้ต้องการน้ำ อาหารด่วนที่สุด ไม่เช่นนั้นนางคงได้ตายอีกรอบจริงๆ จึงอ้าปากรับมันเผาที่ลู่เสียนป้อนให้ถึงปากค่อยๆ กัดกินให้ละเอียดแล้วกลืนลงไป ลู่เสียนก็ช่างแสนดีคอยป้อนมันเผา ป้อนน้ำเช็ดปากให้นางอย่างไม่รังเกียจเมื่อเห็นว่านางที่กินไปครึ่งหัวแล้วกินต่อไม่ไหว ลู่เสียนจึงกินส่วนที่เหลือลงไปเหลือเอง เจียอีบอกสองแม่ลูกแล้วถอนหายใจ เพราะบิดาต้องไปออกรบ ทั้งสามถึงได้มีชีวิตลำบากเช่นนี้ บิดาไปเพียงสองเดือนเท่านั้น ท่านย่าก็แทบอยากจะไล่ทั้งสามออกจากเรือนเสียทุกวัน หากบิดาไปนานหลายปีทั้งหมดคงได้อดตายในเร็ววันเป็นแน่ เมื่อเห็นว่าต้องใช้ชีวิตในร่างนี้แล้ว เจียอีกล่าวกล่าวขึ้นในใจกับหลันเจียอีเจ้าของร่างว่า นางจะดูแลให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ตอนนี้ต้องหาทางออกจากบ้านท่านย่าใจร้ายเสียก่อน หากอยู่ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตที่ดีเช่นที่นางหวังได้หรือไม่ สามวันที่เจียอีต้องนอนพักฟื้นอยู่แต่บนที่นอน นอกจากน้ำข้าวที่นางได้กินแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย อ้อมีเสียงด่าของท่านย่าใจร้ายอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย หากยังเป็นเช่นนี้นางคงได้ตายสมใจที่ท่านย่าแช่งอยู่ทุกวันแน่ เมื่อร่างกายเริ่มมีแรงเจียอีจงลุกขึ้นเดินสำรวจรอบๆบ้าน ตัวเรือนที่นางพักอยู่แยกออกมาจากเรือนหลักของท่านปู่ท่านย่า ภายในเรือนมีสองห้อง ห้องบิดามารดาหนึ่งห้องและห้องของนางกับลู่เสียนหนึ่งห้อง เพราะนางเริ่มจะเป็นสาวแล้วช่วงหลังลู่เสียนจึงต้องไปนอนที่กลางบ้านแทน มารดานำผ้ามากั้นเป็นที่นอนให้ลู่เสียน แต่เมื่อบิดาไปออกรบนางจึงย้ายไปอยู่ในห้องของมารดาและยกห้องให้ลู่เสียน บ้านของท่านปู่ท่านย่ามีห้องสามห้องนอน เป็นของลุงใหญ่ป้าสะใภ้ใหญ่หนึ่งห้อง และอาหญิงเล็กหนึ่งห้อง เพราะครอบครัวของลุงใหญ่ทำงานอยู่ในเมืองจึงพาครอบครัวของตนไปอยู่ด้วยกัน ต่อให้มีห้องเหลืออีกห้องก็ไม่ให้ลู่เสียนไปอยู่ ท่านย่าบอกปล่อยให้ว่างเสียยังจะดีกว่าให้บุตรของสตรีไม่มีหัวนอนมาอาศัย เจียอีเลิกสนใจตัวเรือนหลัก เพราะไม่เกี่ยวกับนางแล้ว นางจึงสนใจเรือนของตนเองต่อ แม้จะเล็กเหมือนรังหนูแต่หลันเจียอีกับลู่เสียนก็ช่วยกันเก็บกวาดเสียจนสะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็นอับ แต่บ้านเช่นนี้จะผ่านลมหนาวและพายุหิมะไปได้จริงหรือ ตามความทรงจำของร่างเดิมนางอยู่ที่เมืองจางเป่ย ทิศเหนือของแคว้นเซี่ย ห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้ บิดาเคยบอกไว้ว่าหากจะเดินทางเข้าเมืองหลวงด้วยรถม้าต้องใช้เวลาถึงสามเดือน เจียอีเพียงแค่คิดก็ขนลุกแล้ว ต่อให้อยากไปก็ต้องคิดให้มากเสียหน่อยเดินทางถึงสามเดือนช่างชวนให้คนนึกหวาดกลัวเสียจริง หมู่บ้านที่นางอยู่ตอนนี้คือหมู่บ้านไห่ฉง หากจะเดินทางเข้าเมืองจางเป่ยก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม(1ชั่วยาม=2ชั่วโมง) หากเดินเท้าก็สองชั่วยาม แค่คิดก็ปวดขาแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะนั่งเกวียนไป มีเกวียนรับจ้างของลุงเจียงคอยวิ่งรับส่งอยู่วันละสองรอบ หากไม่ทันในรอบแรกก็ยังคงมีรอบต่อไปนับว่าสะดวกยิ่ง เจียอีที่คิดว่าทางออกจากบ้านหลังนี้อยู่นั้น คงเป็นสวรรค์ที่เข้าข้างแล้ว เพราะลุงใหญ่ที่ทำงานในเมืองกลับมาบ้านด้วยสภาพทุลักทุเล แต่สิ่งที่แปลกออกไปนางเห็นวิญญาณติดตามท่านลุงใหญ่กลับมาด้วย ในตอนแรกนางคิดว่านางคิดไปเอง แต่เมื่อวิญญาณของบุรุษที่โชกไปด้วยเลือดที่หัวหันมาสบตานางแล้วพูดว่า "ช่วยด้วย" นางก็อดที่จะขุนลุกไม่ได้ ช่วยอะไร นางจะช่วยอะไรได้ แต่ก่อนที่นางจะคิดไปไกลเสียงด่าของท่านย่าก็ดังขึ้น "เป็นเพราะนางตัวไร้ค่าคนเดียว สวรรค์อาฝูของข้าจึงได้น่าสงสารเช่นนี้" เจียอีขมวดคิ้วเกี่ยวอันใดกับนาง ก่อนที่จะสงสัยไปมากกว่านี้ นางได้ลู่เสียนที่ลากตัวออกมาจากเรือนหลักให้กลับเรือนของตนแล้วเล่าให้ฟัง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม