บทที่1
เจียอี หญิงสาวผู้เติบโตมาในชนบทกับคุณตาคุณยาย พ่อแม่ของเธอทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุสิบปี พอเธอเรียนจบปริญญาเช่นเพื่อนคนอื่นก็เริ่มมองหางานในปักกิ่งทำ แต่เพราะได้รับสายโทรศัพท์จากทางบ้านเสียก่อน ด้วยคุณยายเจ็บป่วยบ่อยครั้งจากโรคชรา เธอจึงตัดสินใจกลับบ้านที่เมืองจางเจียน เพื่อดูแลทั้งสอง
เธอคิดว่าคงจะหางานทำในเมืองใกล้บ้านจะได้อยู่ดูแลคุณตาคุณยายที่ทำงานหนักเพื่อเธอมาทั้งชีวิตแล้ว แต่เธอดันเห็นโอกาสจากโซเซียลเสียก่อนจึงเปลี่ยนความคิดที่จะออกไปหางานข้างนอกทำแทน
เพื่อชีวิตของชาวชนบทในเมืองจางเจียนมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย บางบ้านยังคงใช้เตาถ่านเหมือนยุคโบราณในการหุงหาอาหาร ทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ เธอจึงถ่ายทอดเรื่องราวลงในโซเซียล เพียงคลิปแรกเท่านั้นผลตอบรับก็ดีเกินคาด
เธอจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการถ่ายทำ ตัดต่อลงด้วยตนเอง เพียงแค่เธอติดตามคุณตาเข้านา ถอนกล้า ดำนา ก็นับว่าได้คอนเทนต์แล้ว เธอยังถ่ายทอดสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองจางเจียนหรือแม้แต่อาหารท้องถิ่นที่หาทานได้เฉพาะที่จางเจียนอีกด้วย
ทำให้เธอมีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอมักจะขึ้นเขาเพื่อเก็บหน่อไม้ หรือเห็ดนำมาทำอาหาร แม้แต่วิธีการดักสัตว์ง่ายๆ เธอก็เสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจ
จนเธอเริ่มมีรายได้เพียงพอให้ทั้งสามชีวิตไม่ต้องทำงานหนักอีกแล้ว ผู้คนในโซเซียลเริ่มให้การสนับสนุนเธอและคนในชนบท โดยเธอตั้งกลุ่มแม่บ้านที่ว่างจากงานทำไร่ ทำนา มาแปรรูปอาหารหรือสินค้าเฉพาะขึ้น
นับว่าตั้งแต่ที่เธอกลับมาจากปักกิ่งทำให้ความเป็นอยู่ของคนในชนบทดีขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นทุกคนในหมู่บ้านจึงให้ความร่วมมือกับเธอ กลายเป็นว่าหลายๆ ครัวเรือนหันมาใช้ชีวิตเช่นคนโบราณเพื่อเสนอให้คนภายนอกเห็นความเป็นธรรมชาติของเมืองจางเจียน
วิธีนี้นับว่าสามารถดึงดูดคนให้เข้าเที่ยวได้มากมายและยังแบ่งห้องในบ้านให้คนได้เข้ามาพักสร้างรายได้อีกทาง เธอทำเช่นนี้มาได้สามปี
วันหนึ่งเมื่อเธอขึ้นเขาเช่นปกติ เธอเริ่มตั้งกล้องและเก็บเห็ด เก็บผลไม้ป่าไปเรื่อยๆ แต่ไม่คิดว่าฝนจะตกลงมา เธอที่ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์ป้องกันฝน แม้แต่ร่มหรือเสื้อคลุมก็ไม่มี เธอจึงหาที่หลบเสียก่อน เพราะไม่อยากเสียเวลาขึ้นมาใหม่ในวันพรุ่งนี้
เจียอีเดินไปไม่นานก็พบถ้ำเล็กๆ ที่พอให้เธอหลบฝนได้ เวลาผ่านไปเพียงสองชั่วโมงฝนที่ตกหนักก็เริ่มเบาลง ท้องฟ้าที่แทบจะไม่หลงเหลือแสงแดดแล้ว เจียอีจึงตัดสินใจลงเขา เพราะไม่อยากให้คุณตาคุณยายเป็นห่วง
ฝนที่ตกใหม่ดินบนเขาย่อมแฉะและลื่นเป็นธรรมดา ต่อให้ระวังเพียงใดก็มีโอกาสที่จะลื่นจนได้รับบาดเจ็บ แต่จะให้ค้างคืนบนเขาก็ไม่ได้ เพราะไม่มีอุปกรณ์ใดที่เธอนำติดมือมาเลย
ระหว่างที่เธอเดินลงเขานั้นรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรวิ่งมาด้วยความเร็วแล้วพุ่งชนเธอเข้าอย่างจัง จนเสียหลักไม่อาจจะทรวงตัวได้ เธอล้มลงและกลิ้งตกเขาทันที ศีรษะของเธอฟาดเข้ากับลำต้นของต้นไม้ใหญ่จนเธอหมดสติ
“อีเออร์ ยังไม่ฟื้นอีกหรือ อาเสียน” เสียงบุรุษวัยกลางคนเอ่ยขึ้น
“พี่สาวยังไม่ได้สติเลยขอรับท่านปู่” เสียงเด็กหนุ่มพูดตอบด้วยเสียงสะอื้น
“หากนังตัวไร้ประโยชน์ยังไม่ฟื้นก็นำนางไม่โยนทิ้งในป่าเสีย ข้าไม่มีเงินตามหมอมาดูนางแล้ว” เสียงแหลมของสตรีดังแทรกเข้ามา ก่อนที่เจียอีจะได้ยินเสียงถอนหายใจของคนที่เด็กหนุ่มเรียกท่านปู่
“ท่านแม่ได้โปรดท่านช่วยอีเออร์ด้วยนะเจ้าค่ะ ขอยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านทั้งชีวิตเลยเจ้าค่ะ” เสียงสตรีอีกคนร้องอ้อนวอนขึ้นอย่างน่าสงสาร
“เพ้ย ข้าไม่ช่วย พวกเจ้าทำอันใดได้ เจ้าก็อีกคนทำงานหรือก็ไม่ไหว ต้องกินยาทุกสองสามวัน อากุ้ยก็ไม่อยู่ข้าเลี้ยงตัวไร้ประโยชน์สามคนไม่ไหวแล้ว” นางยังคงกรีดร้องด่าทอไม่เลิก
“พอได้แล้ว หากอากุ้ยกลับมาจะกล่าวโทษเจ้าได้”
“โอวโยว บุตรชายไม่ได้เรื่องตบแต่งสตรีไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาข้าก็พูดไม่ได้ มาตอนนี้จะมาล้างผลาญเงินข้าอีกข้าก็พูดไม่ได้รึ เวรกรรมของข้านักไม่รู้ทำอันใดไว้ชีวิตของข้าจึงเป็นเช่นนี้” นางนั่งลงทุบขาทุบอกตนเอง จนชาวบ้านที่มามุ่งดูเรื่องสนุกได้แต่ส่ายหัวกับความไร้น้ำใจของผู้เป็นย่า
เจียอีที่นอนฟังเสียงทะเลาะอยู่ภายในห้องก็เริ่มที่จะปวดหัวขึ้นมา เธอจะลืมตาก็เริ่มไม่ขึ้น แต่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ได้รับไปทั่วร่างกาย
เธอจำได้ว่าตกเขาตอนที่กำลังจะกลับบ้าน แต่หากคุณตาคุณยายออกมาตามหาและพบเธอเข้า เขาต้องพาเธอส่งโรงพยาบาลแน่ แต่เสียงที่ได้ยินไม่มีเสียงของคุณตาคุณยายเลย หากจะบอกเป็นเสียงคนในหมู่บ้านก็ไม่น่าจะต่อว่าเธออย่างรุนแรงเช่นนี้
เสียงเด็กชายที่อยู่ข้างตัวอีก เด็กในหมู่บ้านชื่ออาเสียนเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วที่บอกไม่มีเงินพาไปหาหมอจะเป็นไปได้อย่างไร เธอทำประกันชีวิตไว้ให้ทุกคนในบ้านร่วมถึงตัวเธอด้วยมูลค่ามหาศาลจะพาเธอไปหาหมอไม่ได้เลยหรือ
เพราะต้องขึ้นเขาอยู่บ่อยครั้งเจียอีจึงทำประกันชีวิตไว้ยามฉุกเฉินหลายฉบับ นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เธอเคยนึกเล่นๆ ว่า หากวันใดที่เป็นอะไรไป คุณตาคุณยายจะได้เงินประกันเพื่อใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้
ความทรงจำของร่างเดิมเริ่มไหลเข้าสู่สมองของเธอ ความเจ็บปวดทำให้เจียอีที่นอนหลับตาอยู่เผลอกัดริมฝีปากจนเลือดไหล ลู่เสียนเห็นเช่นนั้นก็รีบร้องด้วยความตกใจหาผ้ามาให้พี่สาวได้กัดแทน
ร่างเดิมเป็นเด็กสาววัยเพียงสิบสี่หนาวเท่านั้นต่างจากเธอที่อายุยี่สิบห้าแล้ว ชื่อเจียอีเช่นเดียวกับเธอ ก่อนที่หลันเจียอีจะหมดสติเช่นนี้ เพราะนางขึ้นเขาไปหาอาหารให้มารดาและน้องชายเช่นทุกครั้ง เป็นเพราะท่านย่าของนางไม่ยอมแบ่งอาหารให้กับทั้งสามคน
เพราะมารดาต้องกินยาทุกสองสามวัน น้องชายก็ต้องคอยทำงานในเรือนท่านย่า นางที่ทำงานบ้านเสร็จแล้วก็ขึ้นเขาหวังว่าจะมีหัวมันสักหัวสองหัวมาให้มารดาและน้องชายได้กิน ตอนที่นางพบต้นมันสำปะหลังด้วยความดีใจก็รีบวิ่งเข้าไปหวังจะขุดให้ได้มากขึ้น (กลัวคนอื่นมาแย่ง)
ขาของนางสะดุดรากไม้ทำให้นางที่วิ่งมาด้วยความเร็วล้มลงหัวกระแทกกับต้นไม้ใหญ่เข้า กว่าน้องชายจะไปตามหาเพราะเห็นว่านางออกมานานเกินไปก็หลายชั่วยามแล้ว ทำให้วิญญาณของนางหลุดลอยไปกลายเป็นเจียอีต่างภพเข้ามาแทน