บทที่4

1354 คำ
เยว่เลี่ยงที่เก็บของเข้าที่เรียบร้อยแล้วก็นั่งเหม่อลอยอย่างทำอันใดไม่ถูก เพราะนางไม่นึกว่าตนจะโดนไล่ออกมาเช่นนี้ แม้จะไม่ต้องทนฟังเสียงด่าของแม่สามี แต่นางจะพาบุตรทั้งสองทำมาหากินเช่นใด เจียอีนางต้มข้าวต้มและผักผัดใส่หัวมันง่ายๆเท่านั้น เพราะเครื่องปรุงก็ไม่มี จึงทำได้เพียงง่ายๆเท่านั้น แต่สามคนแม่ลูกก็กินเสียเหมือนอาหารตรงหน้า อร่อยอย่างกับอาหารในเหลาอาหาร เพราะตั้งแต่ไม่มีบิดาในเรือนทั้งสามก็แทบจะได้กินแต่น้ำข้าว ข้าวต้มที่มีเม็ดข้าวมากกว่าน้ำเช่นนี้แทบจะไม่เคยได้กิน เรือนหลังใหม่มีถึงสามห้องเพียงพอให้สามคนแม่ลูกอยู่ได้อย่างสบาย หลังคาที่มาเห็นครั้งแรกแทบจะบังแดดบังฝนไม่ได้ ตอนนี้ก็ถูกทำให้ปิดมิดชิดบังลมบังฝนไปได้ชั่วคราว เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว เจียอีต้มน้ำให้มารดาน้องชายได้ล้างตัว นางให้มารดากินยาล้างตัวส่งเข้านอน สองพี่น้องก็มานั่งพูดคุยกัน โดยเจียอีลากน้องชายมาที่ห้องของนางและล่าเรื่องที่นางเห็นวิญญาณติดตามลุงใหญ่กลับมาด้วย เมื่อทั้งคู่อยู่ตามลำพังในห้องแล้ว เจียอีจึงเล่าเรื่องทั้งหมด และยังบอกอีกว่าวิญญาณนั้นมาบอกให้นางช่วยเหลือ ให้นำเงินไปคืนภรรยา ลู่เสียนมองพี่สาวเหมือนมองคนโง่ แต่เขาก็พร้อมที่จะเชื่อนาง เพราะนางบอกว่าตอนที่นางสลบไม่ได้สตินางไปโผล่อีกที่หนึ่ง ชีวิตที่นั่นแตกต่างจากที่นี่มากนัก ด้วยหวังว่าหากนางเกิดมีความสามารถใดขึ้นมาน้องชายของนางจะได้ไม่สติแตกไปเสียก่อน "ท่านพี่ เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี" ลู่เสียนต่อให้เก่งเพียงใด แต่เขาก็เป็นเด็กวัยสิบหนาวเท่านั้น เรื่องที่เกิดกับพี่สาวเขาย่อมต้องกังวลและหวาดกลัวไปด้วย หากใครล่วงรู้ความสามารถของพี่สาวในตอนนี้จะไม่กล่าวหาว่าพี่สาวของตนเสียสติหรือปีศาจเข้าสิงหรือ เข้าจึงจำต้องช่วยนางปกปิดและช่วยนางผ่านเรื่องทุกอย่างไปให้ได้ "เช่นนั้นก็รอไปก่อน หากรู้เพียงเท่านี้ก็คงมิอาจทำสิ่งใดได้" สองพี่น้องตัดสินใจที่จะรอให้วิญญาณของบุรุษคนนั้นมาบอกเพิ่มเติมเสียก่อน เพราะหากพูดเพียงให้ช่วย จะช่วยสิ่งใด ให้นำเงินไปให้ภรรยา แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปให้ คืนนั้นวิญญาณของบุรุษหนุ่มก็มาพบเจียอีอีกครั้งตอนที่นางกำลังจะล้มตัวลงนอนพอดี "ช่วยข้าด้วย ช่วยนำเงินไปให้ภรรยาข้าที" เจียอีที่กำลังจะนอนก็สะดุ้งสุดตัว "หากท่านมาพูดแต่คำเดิมๆก็กลับไปเสีย อีกอย่างช่วยมาสภาพดีดีเสียหน่อย" นางเหนื่อยจนหงุดหงิดจึงได้โวยวายกับวิญญาณไป อยากให้นางช่วยแต่ก็มาในสภาพที่ตนตาย ใครเห็นจะไม่กลัว อีกอย่างก็พูดแต่คำเดิมๆ นางจะรู้เรื่องได้อย่างไร วิญญาณของบุรุษหนุ่มเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กลับคืนสภาพเช่นคนปกติ เขาเล่าเรื่องของตนให้เจียอีฟัง ตัวเขามีนามว่า มู่หลงเป็นคนงานในร้านขายข้าวที่เดียวกับลุงใหญ่ของนาง วันที่เกิดเรื่องตัวมู่หลงที่เพิ่งไปส่งของกลับมาถึงร้านจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น และได้กลับเข้าหลังร้านเช่นปกติของทุกวัน เขาได้ยินเสียงคนกรีดร้องเมื่อเห็นว่าคนร้ายกำลังจับดาบเข้าฟาดฟันคนในร้านอยู่ก็คิดจะหันหลังวิ่งหนี แต่คนร้ายอีกคนเห็นเขาก่อนจึงได้ฟันดาบลงมาที่ตัวของเขา มู่หลงที่ยังไม่ได้เสียชีวิตในทันทีก็ได้ล่วงเข้าไปในหน้าอกแล้วกำถุงเงินที่เป็นค่าแรงเดือนนี้ของเขาที่เตรียมจะนำกลับบ้านไปให้ภรรยาในวันพรุ่งนี้ไว้แน่น เมื่อคนร้ายออกไปจากร้านทั้งหมด เขาใช้ความพยายามสุดท้ายส่งถุงเงินให้หลงจู๊หลันท่านลุงใหญ่ของเจียอี เพื่อให้นำเงินให้ให้ภรรยาของตนที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ที่เขาติดตามท่านลุงใหญ่มาด้วยก็หวังจะเห็นหน้าเมียเป็นครั้งสุดท้ายและห่วงสุดท้ายของตนคือส่งเงินให้ถึงมือภรรยา แต่ลุงใหญ่มิยอมนำเงินไปให้ตามที่ได้รับปากเขาไว้ ที่ตนรู้เพราะคืนนั้นก่อนกลับหมู่บ้านท่านลุงใหญ่นำเงินห้าตำลึงออกมาจากถุงเงินของมู่หลงแล้วเก็บรวมกับเงินของเขา เขาสั่งให้ป้าสะใภ้ใหญ่เก็บเรื่องนี้ไว้ห้ามพูดออกไป เพราะไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ตอนที่มู่หลงส่งเงินให้ ลุงใหญ่จึงไม่กลัวว่าใครจะรู้เรื่องนี้ เขาที่ตกงานจึงไม่ยอมนำเงินไปมอบให้ภรรยามู่หลงตามที่รับปากไว้ เจียอีเมื่อฟังจบก็คิดว่าแล้วนางจะทำอันใดได้ ในเมื่อถุงเงินก็ไม่มีแล้ว หลักฐานที่ว่าลุงใหญ่เก็บเงินของมู่หลงไว้เองก็ไม่มีใครรู้ "ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร" หรือนางต้องแกล้งพี่เข้าแล้วพูดออกมา "หากเจ้าช่วยข้า ข้าจะบอกแหล่งที่มีโสมบนภูเขาให้" "ทำไมท่านไม่ไปบอกภรรยาของท่านเอง นางจะได้มากกว่าเงินก้อนนั้นเสียอีก" เจียอีถามอย่างไม่เข้าใจ "เพราะข้าติดต่อนางไม่ได้ อีกอย่างมันคือจิตสุดท้ายที่ข้าห่วง หากไม่นำเงินไปให้นางข้าก็มิอาจจากไปทั้งเช่นนี้ได้" เจียอีส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ "ข้าจะลองหาหนทางก่อน ท่านไปเสียเถิด ข้าจะนอนแล้ว อ้อ แล้วไม่ต้องเรียกแล้วนะ ข้าขอนอนให้สบายใจเสียหน่อย" เจียอีโบกมือไล่ก่อนที่นางจะมุดเข้าผ้าห่มแล้วหลับไป เช้าวันต่อมานางนำเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้ลู่เสียนฟัง สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว น้องชายของนางอาจจะมีความคิดดีดีก็เป็นไปได้ "ท่านพี่เช่นนั้นเขียนจดหมายขึ้นมาให้ภรรยาของเขาดีหรือไม่" เจียอีดีดนิ้วขึ้นอย่างเห็นด้วย "แล้วเจ้ามีกระดาษกับน้ำหมึกหรือ" ลู่เสียนส่ายหน้า เจียอีกลอกตาขึ้น เมื่อทั้งคู่จัดการอาข้าวหายาให้มารดาเรียบร้อยก็ออกจากเรือนเพื่อไปที่บ้านของภรรยามู่หลงที่อยู่อีกฟากของหมู่บ้าน ภายในเรือนมีชาวบ้านมาช่วยงานหลายคน เสียงร้องไห้ของภรรยามู่หลงทำให้สองพี่น้องเศร้าใจ เจียอีมองไปที่ท้องของภรรยามู่หลงจึงได้รู้ว่าเหตุใดมู่หลงถึงยึดติดกับเงินห้าตำลึงนั้นนัก เพราะภรรยาของมู่หลงตั้งครรภ์ใกล้คลอดแล้วนั้นเอง ลู่เสียนที่หายไประหว่างทางก็รีบเดินมาหาพี่สาวแล้วบอกว่าตัวเขาไปขอยืมกระดาษกับน้ำหมึกจากสหายมาได้แล้ว เจียอีจึงยกนิ้วให้น้องชายทั้งคู่จึงพากันกลับเรือน เมื่อมาถึงเรือนต่างก็นั่งมองกระดาษตรงหน้าเพราะไม่รู้ว่าจะเขียนเช่นใด ต่อให้รู้ก็ไม่รู้ว่ามู่หลงลายมือเป็นอย่างไร แล้วหากจะเขียนว่าเป็นมู่หลงภรรยาเขาจะเชื่อหรือไม่ "เสียนเออร์เจ้าใช้มือข้างที่ไม่ถนัดเขียนเถิด หากมู่หลงเป็นเพียงคนส่งของความรู้ย่อมไม่มาก คงเขียนได้ไม่ดีเท่าใดนัก" ทั้งคู่เห็นเช่นกันว่าความคิดนี้นับว่าดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม