เมื่อไม่มีลูกค้า ฟ้าอำไพจึงขอตัวขึ้นไปพักผ่อนด้านบน
เธอเข้าห้องนอน แผ่ร่างนอนบนเบาะนิ่มๆ ดวงตาจ้องมองเพดานนิ่ง ๆ ข้าง ๆ เธอมีร่างของมัสยานอนอยู่ด้วย ตั้งแต่กลับมามัสยาเอาแต่นอน นอนแต่ก็ไม่มีความสุขสักเท่าไหร่ เพราะนอนคิดถึงอนาคตที่ย่ำแย่และมืดมนของตัวเอง เห็นยัยนี่แล้วทำให้เธอมีกำลังใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะมันน่ะลำบากกว่าเธอเป็นร้อยเท่าเลย
“เธอนี่น่าอิจฉาจริงๆ นะ” ดวงตาคู่โตกำลังจินตนาการถึงลูกพี่ลูกน้องผู้งดงามของเธอ “ทั้งสวย ทั้งฉลาด อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก มีผู้ชายดี ๆ ให้เลือก ไม่เหมือนฉัน ไม่รู้ว่าชาตินี้ จะได้แต่งงานกับเขาไหม”
“ฉันนี่นะ” เสียงของคนนอนหลับโพล่งขึ้น ทำเอาคนนั่งครวญถึงกับสะดุ้งเฮือก “น่าอิจฉา”
มัสยาชี้หน้าโทรมๆ ของตัวเองด้วยความงง
“เปล่า ฉันไม่ได้พูดถึงแก ถ้าอย่างแกน่าอิจฉา โลกนี้คงไม่มีใครน่าอิจฉาแล้ว”
“ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจงดูฉันไว้เป็นตัวอย่าง ก่อนที่คิดจะอิจฉาใครให้เสียเวลา ตัวอย่างของความล้มเหลวและโชคร้ายอยู่ตรงนี้” น้ำเสียงร่าเริง ต่างจากความหมายที่ซ่อนอยู่ในทุกคำ แต่เพื่อนๆ ต่างรู้กันดีว่ามัสยาทั้งอึดทั้งทน เธอเป็นเครื่องหมายของนักสู้ที่แท้จริง
“เข้าใจไหม” พลันโทรศัพท์เครื่องเก่ากรีดเสียงขึ้น เสียงรถพยาบาลทำเอาฟ้าอำไพตกอกตกใจ เจ้าของเครื่องยิ้มเจื่อน ก่อนจะคว้ามารับ “อะไรนะคะ จริงหรือคะ ได้ค่ะ”
จบการสนทนาแล้ว สีหน้าของมัสยาไม่ต่างกับตอนที่ได้รับข่าวร้าย มันทำให้ฟ้าอำไพใจคอไม่ค่อยดี
“มีอะไรหรือแก”
“งานเข้า” เจ้าหล่อนพูดสั้นๆ แล้วกลืนน้ำลาย อธิบายอย่างใจเย็นที่สุด “คืออย่างนี้ กองถ่ายทำโฆษณาจากกรุงเทพฯ เขาจะลงมาถ่ายที่นี่ปลายเดือนนี้ เขาอยากได้นักแสดงแทน เล่นแค่ฉากเดียวเท่านั้น แต่ค่าตัวอื้อเลยแก”
“จริงเหรอ เท่าไหร่ พอจะจ่ายค่าเช่าเดือนนี้ไหม”
“แน่นอน อาจยังมีเหลือสำหรับดื่ม กิน เที่ยวด้วย เราไปดำน้ำที่เกาะกันนะ”
สองสาวกอดกันแน่น แล้วกระโดดบนเตียงเหมือนเด็กๆ เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั้งห้อง แต่ความดีใจถูกขัดจังหวะ เพราะเสียงเคาะประตู มารตีโผล่แต่หัวเข้ามา
“ฟ้าอำไพ...มีคนมาหา....ผู้ชาย” มารตีเน้นคำว่าผู้ชาย “ท่าทางเหมือนโจร”
วินาทีแรก หญิงสาวออกจะงงงวย เธอเคยไปรู้จักผู้ชายหน้าตาเหมือนโจรที่ไหน แต่ครั้นนึกออกว่าตอนนี้ได้อุปการะผู้ชายซกมกคนหนึ่งเอาไว้ เธอไม่ถามไถ่ต่อให้เสียเวลา รีบรุดลงไปชั้นล่าง ส่วนมัสยาที่ค่อนข้างมั่นใจว่าเพื่อนยังโสดสนิท ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดรอดไป ต้องไปดูหน้าโจรผู้นั้นด้วยตาตัวเอง เธอวิ่งลงบันไดแซงมารตีที่เดินนำ เธอเลือกบริเวณหลังเคาน์เตอร์ชงกาแฟ เพราะสามารถลบภาพคนสอดรู้สอดเห็นไปได้บ้าง เธอพยายามเช็ดโต๊ะ ทำความสะอาด เพื่อให้ดูเหมือนคนกำลังทำงาน
ฟ้าอำไพมองเห็นเขาแล้ว เธอเดาไม่ผิด เจ้านั่นนั่งอยู่ในร้านจริงๆ ที่โต๊ะประจำของเจ้าของร้านเสียด้วย เธอฟึดฟัดเล็กน้อย ขณะเดินไปหย่อนก้นนั่งลงตรงข้ามกับเขา สายตาของเธอนั้นน่ากลัวว่างูพิษ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
เขาเกี่ยวหูถ้วยกาแฟร้อนขึ้นดื่มอย่างใจเย็น สูดดมควันที่พวยพุ่งอย่างอิ่มเอมใจ
“อย่ากวนประสาท”
“สะกดรอยไง” เขาตอบหน้าตาเฉย ขยับคิ้วขึ้นลง จดจ้องใบหน้าเธออย่างดูถูก “ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่ามีคนตามมา”
เจ้าหล่อนเบิกตากว้าง ตกใจไม่น้อย เธอถูกอดีตนักโทษสะกดรอยตาม ไรขนอ่อนๆ บนต้นคอลุกชูชันทีเดียว
“แล้วคุณตามฉันมาทำไม ทำไมไม่รออยู่ที่บ้าน”
“นี่คุณกำลังเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ผมออกจากคุกแล้วนะ ชีวิตของผมเป็นอิสระแล้ว ตอนนี้ ผมจะไปไหนมาไหนก็ได้”
“แต่...”
“รู้น่า” เขายกกาแฟขึ้นดื่มอีก ท่าทางไม่รู้สึกรู้สาจริงๆ “ไม่เห็นจะกลัว”
ฟ้าอำไพใช้สายตาเหมือนกับผู้คุมในเรือนจำไม่ผิด
“ถึงไม่กลัวก็ต้องระวังไว้หน่อย มีคนคิดจะฆ่าคุณนะ”
“ขอบใจที่คอยย้ำเตือนตลอดเวลา แต่มันเป็นชีวิตของผม คุณไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรทั้งนั้น เพราะคุณได้ทำหน้าที่ของคุณแล้ว สิ่งที่ผมจะบอกคุณก็คือ ผมยังไม่ตายง่ายๆ หรอก เพราะยังมีเรื่องอีกเยอะที่ต้องสะสาง”