“คุณคงจะคิดถึงเธอมากสินะคะ”
“ผมไม่ได้เจอเธอมาเก้าปีแล้ว แค่อยากจะไปทักทาย”
“ฉันขอแนะนำ” เธอว่าจะไม่พูดแล้ว แต่ขอหน่อยเถอะ “อย่าเพิ่งไปทักทายเธอเลยค่ะ ตอนนี้สภาพของคุณไม่ควรจะพบใครเลยด้วยซ้ำ คุณคงไม่ได้ดูกระจก”
“ผมทำกระจกคุณพังไปแล้ว”
“อะไรนะ”
ไพรัลย์ชูกำปั้นที่ห่อผ้าเช็ดหน้าไว้อย่างลวกๆ ให้หญิงสาวดู เจ้าหล่อนถึงกับอ้าปากหวอ ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นห่วงเจ้าคนที่กำลังทำหน้าระรื่นแม้แต่นิดเดียว เขาคงไม่เจ็บ เท่ากับกระจกของเธอหรอก
“คุณรู้ไหมว่ากระจกบานนั้นมันแพงมากแค่ไหน คุณไม่มีสิทธิทำลายข้าวของในบ้านฉันนะ”
เขาไม่รู้ และดูเหมือนจะไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอต่อว่าเลยแม้แต่น้อย เขาหันมองนอกกระจก ชื่นชมบรรยากาศของเนินเขาข้างทางที่ถูกอาบไว้ด้วยแดดยามบ่าย
“พาผมไปหาแก้วกัลยาหน่อย”
หญิงสาวถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น” โปรดรู้ไว้ด้วย คนโง่ “แก้วกัลยากำลังจะแต่งงาน”
เธอพูดเสียงดังขนาดนั้น เขาควรจะตกใจและตื่นตลึงกับข่าว แต่เปล่าเลย นอกจากจะไม่ได้แสดงท่าทีตกใจแล้ว เขายังหัวเราะหึๆ เหมือนผู้ร้ายอีกด้วย
“คนอื่นที่ไหน พี่ชายของผมเอง”
กลับเป็นเธอเองที่ตกใจ
“คุณรู้เหรอ”
“รู้สิ”
เขาไม่รู้สึกแย่เลยหรือ คู่หมั้นแต่งงานกับพี่ชายของตัวเอง
“คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
“ใช่ ผมบ้าไปแล้ว” เขายอมรับ เธอได้แต่อึ้งและเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “เพราะผมจะไม่มีวันปล่อยให้งานแต่งนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เชื่อก็รอดูกันต่อไป” น้ำเสียงเข้มข้นจริงจังของเขาทำให้หญิงสาวถึงกับตกตลึง หัวใจเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ เขาพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ทำไมใจคอเธอไม่ดีเลยนะ
“คุณไพรัลย์ พรุ่งนี้ คุณอยากจะดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ไหนคะ”
ไพรัลย์ถึงกับเงียบไป จริงสิ เขาไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นมานานนับสิบปีทีเดียว พระอาทิตย์ดวงเดิม แต่ครั้งแรกในรอบทศวรรษ
“หลุมศพของคุณพ่อผมอยู่ที่ไหน”
“ฉันไม่รู้หรอก”
“เสียดาย ผมอยากดูกับเขา”
น้ำเสียงของชายหนุ่มสลดลง ตัวเธอเองก็พาลนึกถึงบิดาของตัวเองเหมือนกัน
“พ่อฉันกับพ่อคุณ ตอนนี้คงอยู่ด้วยกัน นั่งจิบน้ำชายามบ่าย พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และกำลังมองมาที่เรา”
เพราะเธออยากให้บรรยากาศมันดีขึ้น แต่ก็ช่วยไม่ได้มาก
“ไม่ใช่หรอก ผมไม่อยู่ในสายตาของพ่อนานแล้ว บางที เขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีผมอยู่”
เธอรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ ความจริงแล้ว เธอเข้าใจเขา นั่นเพราะมันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เธอรู้สึกกับบิดา เธออยากจะปลอบใจเขา แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ
“คุณรู้จักพี่ชายผมไหม”
“เคยเห็นสองสามครั้ง ตอนที่เขามาตรวจตลาด”
“หมอนั่น พ่อของผม รักเขามากกว่าผมเสียอีก” เขาหันกลับมาหาเธอ เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “และตอนนี้ คู่หมั้นของผม เธอทิ้งผม ไปรักเขาอีกคน ผมไม่เหลือใครเลย”
เธอฟังแล้วรู้สึกอึดอัด ไม่รู้จะวิจารณ์เรื่องนี้ยังไง
“คุณอยากจะไปเจอพวกเขาจริงๆ หรือ?”
ไพรัลย์หยุด เพื่อถามตัวเอง เขาเฝ้ารอเวลานี้มานานมากแล้วมิใช่หรือ แล้วตอนนี้เขายังรออะไรอีก เขาควรจะทวงทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของตัวเองจากพี่ชายบุญธรรมเสียให้หมด ดังที่เขาได้เคยตั้งใจเอาไว้ แต่วินาทีนี้ ทำไมเขาจึงเกิดลังเลขึ้นมา ใช่สิ เขาหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้ว บางที เขาอาจจะระเบิดอารมณ์ออกมา ลงมือทำเรื่องร้าย จนต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในคุกอีกรอบ ไม่ได้
เขาต้องอยู่ข้างนอก อิ่มหนำกับอิสรภาพ และใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดที่สุด
“แล้วคุณคิดว่ายังไง” เขาไม่ได้ต้องการคำตอบจากเธอ เพราะเขามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่ อยากจะฟังความคิดเห็นของผู้หญิงแปลกๆ คนนี้
“ฉันคิดว่าอย่าเพิ่งเลยนะ คุณยังมีเวลาอีกเยอะ เดี๋ยวเกิดคุณไปเห็นภาพบาดตาบาดใจ ลงมือฆ่าใครตายขึ้นมาอีกจะทำยังไงล่ะ” เธอพูดจบก็ปิดปากฉับ เขามองเธอตาเขียวปัด
“คุณนี่ท่าทางจะเก่งเรื่องทำร้ายจิตใจคนอื่นนะ”
“เปล่านะ” เธอออกจะเห็นด้วยกับเขาล่ะ “คือ...ฉันแค่...อยากให้คุณได้ข้อคิด...ก็เท่านั้นเอง”
เขาส่ายหน้าช้าๆ มองไปข้างหน้า ด้วยแววตาจริงจังมั่นใจ
“ชาตินี้ทั้งชาติ ผมจะไม่มีวันเข้าไปในนั้นอีก เข้าใจไว้ด้วย”
หญิงสาวเหลือบมองเขาเพียงนิด แล้วหันกลับไปมองด้านหน้า เธอรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เพราะถ้าเขาคิดเช่นนี้ เขาก็คงจะคอยเตือนสติตัวเองไม่ให้ทำเรื่องเลวร้ายอีกเป็นแน่ ลึกๆ แล้ว เธออยากให้เขากลับมามีชีวิตใหม่ที่ดี มีอนาคตที่สดใส เหมือนที่เขาเคยเป็นในสมัยก่อน
“ยินดีด้วย” รถแล่นทะยานผ่านไปบนเส้นทางที่ลดเลี้ยว ลาดชันและขึ้นเขา จนกระทั่งได้เห็นทะเลกว้างไกลสุดสายตาเบื้องหน้า พระอาทิตย์กำลังจะตกดินอยู่ไกลลิบ ตรงเส้นขอบฟ้า แสงสีทองอร่าม งดงามราวกับทองคำ ฝูงนกแหวกว่ายบนเวิ้งฟ้า อิสระจะหาใดเปรียบ