9. ข่าวลือก็แค่ข่าวลือ

1688 คำ
เสิ่นจินหยางขยับออกห่างเมื่อเห็นเด็กหญิงจับหนอนเกี่ยวกับเบ็ด สีหน้าและแววตาเขายังคงความหวาดหวั่นเหมือนเคย กระทั่งนางใส่เรียบร้อย เขาก็เอาไปหย่อนลงน้ำให้ ด้านหลังก็มีจื่อเทาเดินตรงมา พร้อมกับหอบฟืนมากอง แล้วก็ก่อไฟเหมือนที่เคยทำด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ท่านหมอหันกลับมามองอย่างชื่นชม ขนาดเขาโตจนอายุยี่สิบแล้ว ยังไม่เคยทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองเลย ทว่าเด็กสองคนนี้กลับทำงานทุกอย่างได้โดยไม่ปริปากบ่นสักนิด และเมื่อเขามองผ่านเลยไปก็พบกับร่างบางที่กำลังหิ้วถังกลับมา ดูเหมือนของในนั้นจะมีน้ำหนักพอสมควร นางถึงได้เหวี่ยงเปลี่ยนมือไปมาเพื่อไม่ให้ปวดแขนข้างใดข้างหนึ่งจนเกินไป ท่านหมอเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกไปช่วยหิ้ว และไม่ลืมที่จะก้มลงมองพร้อมกับคำถาม “ม่านเอ๋อร์บอกว่าเจ้าเอาสิ่งนี้มาเผาปลา” “ใช่ มันคือดินเค็มที่ปลุกอะไรไม่ขึ้น” “เจ้าหมายถึงดินที่อยู่ตรงมุมคันนานั้นหรือ” “ใช่” ตอบสั้น ๆ และยังเดินตรงไปที่ถังปลา ก่อนจะเลือกเอาตัวที่พอเหมาะขึ้นมาแล้วใช้ไม้เสียบปากทะลุหางภายในครั้งเดียว ทำเอาคนที่นั่งยอง ๆ มองอยู่ต้องรีบกุมลำคอด้วยความเสียว ‘ตัวก็แค่นี้ ไปเอาแรงมาจากไหนนัก’ นึกอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะเหยาอันนั้นผอมกว่าคนปกติมาก จนดูเหมือนคนที่ป่วยอยู่ พอเห็นนางเอาดินพอกตัวปลาเขาก็มึนงงไปอีก “แล้วมันจะกินได้หรือ เอาคลุกดินเช่นนี้” ความสงสัยทำให้เขาอดถามไม่ได้ “กินได้เจ้าค่ะ อร่อยด้วย” ม่านอวี้หันมาตอบ “ใส่แค่ดินนี่น่ะหรือ” “ใช่ขอรับ” จื่อเทาสำทับ จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งจับคันเบ็ดอีกหน ท่าทางเด็กน้อยไม่ได้มีอาการเหนื่อยหอบเลย ดูเหมือนจะสนุกมากกว่า ผู้ที่มาจากในเมืองจึงได้แต่มองอย่างชื่นชม “ย่างให้ที” ปลาที่พอกแล้วถูกยื่นมาตรงหน้า “นี่เจ้าเห็นข้าเป็นบ่าวรับใช้หรือ” ทำเสียงดังใส่นางทันที “ข้าไม่เคยมองผู้อื่นเป็นบ่าว ตัวข้าเองก็ไม่ใช่บ่าวของใคร และแน่นอนว่าข้าจะไม่รับใช้ใคร ฉะนั้นหากอยากกินก็ต้องช่วยกัน แต่ถ้าท่านคิดว่าจะเอาเปรียบ รอให้ข้ากับเด็ก ๆ ทำให้ เช่นนั้น…” “พูดมาก” ต่อว่าสั้น ๆ ก่อนจะยื่นมือเรียวมาดึงเอาไม้ที่เสียบปลามาถือไว้ แล้วลุกมานั่งข้างกองไฟและยังคงถือไม้ไว้เช่นนั้น เหยาอันมองพร้อมกับยิ้มหยัน ก่อนจะลุกขึ้นมาเขี่ยก้อนถ่านให้มันกระจายออกมา แล้ววางปลาทับลงไปทั้งอย่างนั้น “มะ…มันจะไม่ไหม้หรือ” “มีดินปกอยู่จะไหม้ได้เยี่ยงไร ไปหาฟืนมาอีก แค่นี้ไม่พอ” “นี่เจ้าใช้ข้า” เสียงดังใส่อีกหน “หรือจะให้จื่อเทาไป ข้าก็ได้นะ แต่ท่านต้องไปพอกปลา” “ชิ! ข้าไปเองก็ได้” ท่านหมอลุกพรวดแล้วก็มองค้อนสตรีตัวน้อยที่เผยยิ้มหยันใส่ตน จากนั้นเขาก็เดินตรงไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับท่อนฟืนหอบหนึ่ง และเขาก็จัดการเอาฟืนใส่โดยไม่ต้องให้หญิงสาวเอ่ยสั่งเป็นรอบที่สอง จากนั้นก็มานั่งช่วยเด็กน้อยที่กำลังลากปลาขึ้น พรางเหลือบมองสตรีที่ทุกคนเอ่ยว่าเกียจคร้านกำลังคัดปลาส่วนหนึ่งใส่ถังใบใหญ่ คาดว่านางคงเลือกเอาไว้ให้ญาติผู้พี่ของเขา และในช่วงที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกันอยู่นั้น ลุงจางและสหายก็มาขอร่วมวง เพราะเขาอยากรู้วิธีหาปลาของเหยาอัน “ท่านหมอเสิ่นก็อยู่ด้วยหรือ” ลุงจินเอ่ยทักคนที่นั่งตกปลา “ข้าแวะมาเยี่ยมเด็ก ๆ ได้ยินว่าจะมาหาปลากันก็เลยตามมาด้วยขอรับ นึกไม่ถึงว่ามันจะสนุกเพียงนี้” ท่านหมอเอ่ยบอกอย่างตื่นเต้น แววตาเปล่งประกายเหมือนเด็กน้อย “คุณชายตระกูลใหญ่เช่นท่าน ไม่น่าจะมาสนุกกับเรื่องพวกนี้ได้นะขอรับ” ลุงจางเอ่ยกับชายหนุ่มอย่างเกรงใจ เหยาอันก็ได้แต่นิ่งฟัง ก่อนนี้นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร รับรู้เพียงว่านายตำบลคือพี่ชายเขา และเขาก็เป็นสหายของเถาหย่งเต๋อคู่หมั้นเจ้าของร่าง นางจึงคิดว่าเขาก็อยู่ในหมู่บ้านนี้เหมือนกัน มิน่าชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้วางโตทำตัวสูงส่งนัก… หลังจากถามไถ่กันแล้วลุงจางก็เดินเลี่ยงมาหาเหยาอันที่กำลังคัดปลาอยู่ “ได้ปลามากมายเชียว ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น” ทุกคนต่างก็มามุงดูในถัง ท่าทางตื่นเต้นมาก “เจ้าใช้หนอนเป็นเหยื่อหรือ” ลุงจินเอ่ยขึ้น “มันคือด้วงไผ่เจ้าค่ะ” เหยาอันเอ่ยบอกอย่างเต็มใจ เพื่อสร้างมิตรภาพดีดีกับคนในหมู่บ้าน ภายหน้าจะได้พึ่งพากันได้ ใช่… นางนึกถึงวันข้างหน้า เพราะหญิงสาวยกเลิกความคิดที่จะส่งเด็กน้อยสองคนนี้ไปอยู่วัดแล้ว หลังจากถูกม่านอวี้ออดอ้อนเมื่อเช้า ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ก็เชื่อฟังดีเหลือเกิน ใครจะไปใจดำทิ้งลง “ด้วงไผ่หรือ? เจ้าได้มันมาได้เยี่ยงไร” “เอาไว้วันหลังข้าจะบอกวิธีหาเหยื่อให้ พวกท่านไปตัดไผ่มาทำคันเบ็ดก่อนเถิด ไหน ๆ ก็ตั้งใจมาหาปลากันอยู่แล้วมิใช่หรือ เดี๋ยวข้าจะแบ่งเหยื่อให้ก็แล้วกัน ทว่าพวกท่านคงต้องหาตัวเบ็ดกันเองนะ ส่วนข้าใช้ตะขอต่างหูมาทำ” เอ่ยจบนางก็ชี้ให้ดูที่คันเบ็ด “ที่บ้านข้ามี เดี๋ยวข้าไปทำมา” ลุงจินรีบเอ่ย “เช่นนั้นข้าขึ้นไปตัดไผ่รอ เจ้าเอามาเผื่อด้วยนะ” ลุงจางเอ่ยแล้วก็ชักชวนลุงชุยเดินไปที่ตีนเขา สหายอีกคนก็มุ่งหน้ากลับเรือน ไม่นานคนทั้งสามก็กลับมาพร้อมกับอุปกรณ์ครบมือ จากนั้นก็ทำตามเหยาอันสอน พร้อมกับเอาเหยื่อของนางไปตกปลา ขณะเดียวกันเด็ก ๆ และท่านหมอก็พากันลากสายเบ็ดขึ้นมาพร้อมกับปลาตัวโต ทำเอาคนทั้งสามที่มาใหม่ต่างก็หันรีหันขวา ไม่รู้จะสนใจทางไหนก่อน ด้านลุงจางรีบหันมาช่วยม่านอวี้เอาปลาขึ้น เพราะท่าทางเด็กน้อยเหมือนจะไม่ไหว “มีแต่ตัวโต ๆ ทั้งนั้น” ลุงจินเอ่ยอย่างตื่นเต้น “พวกท่านรีบตกเถิด ค่ำแล้วปลาจะลงน้ำลึก” ได้ฟังคำหญิงสาวเอ่ย ทั้งสามก็รีบหันไปสนใจใส่เหยื่อเพื่อหาปลาไปกินและขายอย่างที่พวกเขาตั้งใจเอาไว้ ด้านเด็ก ๆ เมื่อเอาคันเบ็ดขึ้นแล้วก็มานั่งรอพี่สาวแกะปลาให้กินเหมือนเคย และมันก็ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายนัก ทว่ากลุ่มลุงจางหาได้ใส่ใจไม่ เพราะทันทีที่พวกเขาวางเหยื่อลงน้ำ ปลาก็มากินเบ็ด “เจ้าบอกวิธีให้พวกเขารู้เช่นนี้ ไม่เกรงว่าวันหน้าจะถูกคนแย่งอาชีพไปหรือ” จินหยางเอ่ยถาม เขารู้สึกกังวลแทนจริง ๆ “ข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน หากหวงแหนความรู้เอาไว้ใช้ผู้เดียว ท่านคิดหรือว่าภายหน้าพวกข้าจะได้อยู่เป็นสุข” เสิ่นจินหยางนิ่งไป แต่ละประโยคที่นางกล่าวมาตั้งแต่เช้า มันไม่เหมือนสตรีที่ขาดความรู้อย่างที่เขาได้ยินมาเลย คำพูดที่นางเอ่ยมา ล้วนแต่บาดลึกแทงลงไปในใจแทบจะทุกคำ “ดังนั้น เจ้าจึงคิดจะสร้างมิตรเอาไว้สินะ” “ก็ดีกว่าสร้างศัตรูมิใช่หรือ อีกอย่างข้าก็ตั้งใจจะทำบ้านใหม่ จำเป็นต้องอาศัยแรงคนในหมู่บ้านมาช่วย เพราะข้าคงทำเองไม่ได้” “เจ้าคิดจะทำบ้านหรือ” “แล้วท่านคิดจะให้เรานอนในบ้านสับปะรังเคนี้ต่อไปหรือ” เอ่ยแล้วก็เงยหน้ามองท่านหมอที่เผยยิ้มแหยออกมา “ข้าก็แค่สงสัยก่อนนี้ไยเจ้าไม่คิดทำ ข้าได้ยินว่า…” เขาไม่กล้ากล่าวต่อ เพราะเกรงคำพูดตนจะกระทบกระเทือนใจนาง “ข้าเป็นคนขี้เกียจ ไม่รู้จักทำอะไร” เหยาอันเอ่ยขึ้นมาเอง “อืม” อีกฝ่ายตอบสั้น ๆ “ตั้งแต่ข้าฟื้นจากความตายเมื่อวันก่อน ข้าก็ไม่อยากทำตัวเช่นนั้นอีกแล้ว หากยังขี้เกียจอยู่คงได้อดตายก่อนจะได้สบายเป็นแน่” นางกล่าวเหมือนคนคิดได้ แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะนางไม่อาจพูดถึงเรื่องมหัศจรรย์อย่างการเกิดใหม่ให้ใครฟังได้ต่างหาก บอกไปใครมันจะเชื่อ หากคนในหมู่บ้านรู้ ก็มีแต่จะเอาหมอผีมาขับไล่นางน่ะสิ ฉะนั้นแสร้งทำเป็นคนที่เริ่มคิดอะไรได้มันน่าจะดีกว่า “หากเจ้าคิดได้มันก็ดี ว่าแต่เจ้ารู้วิธีหาด้วงมาล่อปลาได้เยี่ยงไร แล้วรู้ได้เยี่ยงไรว่ามันจะใช้ได้ผล” ครานี้หันมาถามสิ่งที่เขาสนใจ ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาตำหนิของคนถูกถาม “ก็… เจ้าไม่น่าจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้นี่” เสียงเขาแผ่วลง “ก็เพราะท่านเชื่อว่าข้าเป็นหญิงเกียจคร้าน คนเราเมื่อฝังใจเชื่ออะไรแล้วก็มักจะปิดหูปิดตาตนเอง หลงอยู่กับความคิดนั้นไม่ยอมเปลี่ยน ข้าไม่แปลกใจหรอกที่ท่านหมอจะคิดเช่นนี้”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม