ความผีเข้าผีออกของพนา

1712 คำ
เมื่อวานช่วงบ่ายผมมีนัดกับกลุ่มเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ไอ้จา เพื่อนในกลุ่มกำลังจะแต่งงานมันเลยชวนพวกผมออกไปกินข้าวด้วยกันหวังจะบอกข่าวดี ซึ่งพอไปถึงผมก็ดันเจอคนที่ไม่อยากเจอทั้งสองคน คนหนึ่งคือเพื่อนสนิทที่ผมไว้ใจมันที่สุด ส่วนอีกคนคืออดีตแฟนสาวที่ผมโคตรรัก สมัยเรียนมหาวิทยาลัยผมมักเล่าทุกอย่างให้ไอ้อาทิตย์ฟังหมดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะชอบสาวคนไหนหรือมีเรื่องเครียดอะไรมันก็มักจะรับรู้เป็นคนแรก กระทั่งวันที่พวกเราได้เจอ ครีม เพื่อนในคณะที่บังเอิญมาสนิทกันเพราะกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกผมก็รู้เลยว่าตัวเองได้ตกหลุมรักเธอเข้าให้แล้ว แน่นอนว่าคติสำหรับผมคือชอบใครก็ต้องจีบไม่งั้นเขาจะรู้ได้ยังไงว่าเราชอบ ผมเริ่มต้นด้วยการตีเนียนเข้าไปเป็นเพื่อนจนเริ่มสนิทกัน ซึ่งในวันที่กำลังจะสารภาพว่าชอบครีมเธอกลับชิงตัดหน้าสารภาพกับผมก่อนว่าเธอชอบไอ้อาทิตย์เพื่อนสนิทของผม ตอนนั้นแม่งโคตรรู้สึกแย่เลย เพราะคิดมาตลอดว่าคนที่เธอมองคือผมโดยไม่ได้ดูเลยว่าข้างกายผมมีชายอีกคนอยู่ด้วยเสมอ ตอนนั้นผมมั่นใจอยู่แล้วว่าครีมต้องอกหักเพราะไอ้อาทิตย์มันหมั้นอยู่กับขนมผิงน้องสาวผม และมันเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจครีมด้วย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปถามมันตรงๆ ว่ามันได้ชอบครีมไหม ซึ่งตอนนั้นมันก็ปฏิเสธด้วยท่าทีเฉยชาผมเลยบอกมันไปว่าผมชอบครีม และผมก็จะจีบครีม มันเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ต่อมาผมก็บอกครีมเรื่องที่ไอ้อาทิตย์เป็นคู่หมั้นของน้องสาวผม ตอนนั้นครีมดูช็อกไปเลย และผมก็รับรู้ได้ว่าเธอเสียใจมากซึ่งแน่นอนว่าช่วงเวลานั้นผมขี้โกงใช้จังหวะที่เธอกำลังอ่อนแอเข้าไปปลอบใจ อยู่ข้างๆ และขอเธอคบเป็นแฟน วินาทีนั้นผมคิดเสมอว่าต่อให้ต้องเป็นตัวแทนของไอ้อาทิตย์ผมก็ยอม สุดท้ายเราก็ได้คบกัน สำหรับผมมันคือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแม้เธอจะสั่งห้ามผมบอกความสัมพันธ์นี้กับคนอื่นก็ตาม เว้นก็แต่ไอ้อาทิตย์ที่รับรู้เรื่องของเราสองคนมาโดยตลอด ซึ่งผมก็มองออกแล้วว่าเธอตั้งใจคบกับผมเพื่อประชดมัน แต่ผมก็รักของผมไงและมั่นใจว่าจะทำให้เธอรักผมให้ได้ แต่สุดท้ายเราก็ไปกันไม่รอด เพราะตลอดระยะเวลาที่คบกันเธอไม่เคยมองผมเกินสถานะเพื่อนได้เลย แม้แต่เรื่องอย่างว่าที่คนเป็นแฟนพึงกระทำเธอก็ยังปฏิเสธบอกไม่พร้อม ตอนนั้นยอมรับนะว่าเสียเซลฟ์มาก แต่เธอไม่อยากทำจะให้ผมขืนใจได้ยังไง คบกันได้สักพักก็จบความสัมพันธ์ถอยสถานะกลับไปเป็นเพื่อน ตอนนั้นผมคิดว่าควรให้เวลาเธอ การเริ่มต้นของเรามันอีเหละเขละขละเกินไปผมเองก็ไม่อยากเป็นตัวแทนของใครแล้ว จึงบอกกับเธอไปว่าให้เวลาผมได้จีบเธอใหม่อีกครั้งได้ไหมในสถานะที่ผมคือผม ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเธอก็ยอม...หลังจากเรียนจบพวกเราก็แยกย้ายกัน ครีมไปเรียนต่อต่างประเทศสองปีและกลับมา ซึ่งทันทีที่เธอมาถึงผมก็เริ่มต้นจีบเธอใหม่อีกครั้ง รอเธอเรียนสองปี จีบเธออีกเกือบสี่ปีอย่างมีความหวัง เพราะทุกครั้งที่ได้เจอกันครีมไม่เคยปฏิเสธการกระทำของผมเลย เราทำเหมือนคนที่มีสถานะพิเศษให้กัน แต่สุดท้ายผมก็ดันมารู้ความจริงที่โคตรจะเจ็บปวด เจ็บจนพูดไม่ออก ทั้งจุกทั้งหน่วงแม่งเป็นความรู้สึกที่โคตรทรมานจนเหมือนจะตายได้เลย ความจริงที่ว่าคือตลอดระยะเวลาเกือบหกปีที่ผ่านมาที่ผมรอครีม เธอกับไอ้อาทิตย์แอบคบกันมาตลอด โดยที่ตอนนั้นไอ้สารเลวอาทิตย์มันยังไม่ยกเลิกหมั้นกับน้องสาวผมเลยด้วยซ้ำ และเพราะเหตุนี้ครีมที่โคตรจะเห็นแก่ตัวก็เลยยังยอมให้ผมจีบด้วยนิสัยแบบเดิมคือต้องการเก็บผมเป็นตัวสำรองไว้ใช้ประชดไอ้อาทิตย์ ในเมื่อมันยังมีพันธะเป็นคู่หมั้นน้องสาวผมได้ ครีมก็คิดว่าเธอเองก็สามารถมีผมเป็นของเล่นได้เหมือนกัน ผมโง่มากที่ไม่เคยรู้อะไรเลย แล้วก็เจ็บมากด้วยที่ถูกคนรักทั้งสองคนแทงเข้าด้านหลัง...จนตอนนี้แผลเหล่านั้นก็ยังไม่สมานกันดี และเมื่อวานที่ผมไปเจอพวกมันสองคนยอมรับเลยว่าโคตรไม่อยากเห็นหน้า แต่ด้วยความที่ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศจึงยอมอดทนนั่งลง ตอนคบกันผมกับครีมไม่ได้บอกใครตามความต้องการของเธอ พวกเพื่อนคนอื่นจึงไม่รู้ความสัมพันธ์ของเรา แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าไปรู้เรื่องผมกับครีมมาได้อย่างไร มันเมาจึงงัดเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกลางวงสนทนาจนทำให้บรรยากาศอึดอัดผมจึงตัดสินใจลุกเดินออกมาคนอื่นจะได้ทำตัวถูก ซึ่งเรื่องนี้แหละที่เป็นชนวนหงุดหงิดสะกิดอยู่ในใจผมจนกลับมาถึงบ้านและพบว่าน้องสาวพากลุ่มเพื่อนมาปาร์ตี้วันเกิด แน่นอนว่าผมลืมงานวันเกิดน้องสาวตัวเองเสียสนิทโชคดีที่ยัยตัวเล็ก (ขนมผิง) ไม่ได้ขี้งอน ผมจึงรอดตัวไปไม่โดนเธอโกรธใส่... จะว่าไปแล้วยังไงตอนนี้ก็ออกมาข้างนอกอยู่แล้วผมไปหาซื้อของขวัญวันเกิดให้ขนมผิงเลยดีกว่า เพราะวันเกิดจริงๆ ของน้องคือวันนี้ต่างหาก แต่บอกตามตรงว่าผมเลือกของขวัญให้ผู้หญิงไม่เก่ง เอี๊ยด! ขณะกำลังจะขับรถออกจากซอยหอพักของสายน้ำผมก็ตัดสินใจเบรกรถกะทันหันพร้อมกับหมุนพวงมาลัยวนกลับเข้าไปในซอยอีกครั้ง กลับมาจอดยังหน้าหอพัก ณ ตำแหน่งเดิม ไหนๆ ก็อยู่ใกล้ที่สุดแล้วถ้าให้ไปช่วยเลือกซื้อของขวัญก็ดูไม่ได้จงใจชวนเกินไป อีกอย่างถือโอกาสนี้เลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วยก็ดีเหมือนกัน แม้เธอจะยั่วผมก่อนแต่ผมมันดันเป็นคนที่มีสติ ทำแบบนั้นยังไงก็ผิดเต็มประตู ลังเลอยู่นานสุดท้ายผมก็ตัดสินใจโทรหาสายน้ำ ซึ่งยัยเด็กนั่นก็รับโทรศัพท์ไวเชียว นึกว่าจะโกรธจนไม่รับสายผมแล้วเสียอีก “ฮัลโหล” (...) “ได้ยินพี่ไหม” (ค่ะ) น้ำเสียงขุ่นเคืองขนาดนี้ เธอคงไม่ได้ตั้งใจรับสายเพื่อบอกให้ผมรู้ว่าเธอโกรธผมอยู่นะ “ว่างไหมไปซื้อของขวัญวันเกิดให้ผิงเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ” (พี่โทรผิดหรือเปล่าคะ) “ถ้าปลายสายชื่อสายน้ำก็ไม่ผิด จะไปไหมพี่ให้เวลาคิดหนึ่งนาที” (...) ผมมองนาฬิกาคอยจับเวลานับถอยหลัง ซึ่งระหว่างนั้นสายน้ำก็เงียบไปจนเหลือเวลาประมาณสิบวินาที ผมก็เริ่มถอดใจแล้วว่าเธออาจจะไม่ตอบรับคำชวน กระทั่งสามวินาทีสุดท้ายเธอก็ยอมตอบตกลง (ก็ได้ค่ะ รอน้ำแต่งตัวสิบนาที) ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากได้ยินอีกคนตอบตกลงผมถึงได้รู้สึกดีใจขึ้นมา รู้ตัวอีกทีก็เผลอยิ้มออกมาแล้ว บ้าจริงๆเลย สายน้ำ Talk ฉันวางสายด้วยอาการมือสั่นใจสั่นจนเหมือนจะบ้า เขาโทรมาน่าประหลาดใจแล้ว เขาชวนฉันออกไปเที่ยวยิ่งน่าประหลาดใจกว่า ถึงจะเป็นแค่การไปช่วยพี่เขาเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่ขนมผิงก็เถอะ แต่เขาก็เลือกฉันเลยนะ! แถมเมื่อกี้เขายังแทนตัวเองว่าพี่อีก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เอาแต่พูดแทนตัวเองว่าฉัน ทำเอาตอนที่ได้ยินครั้งแรกใจสั่นเหมือนกินกาแฟสักสิบแก้วเลย เว่อร์ไปนิดความจริงแค่แก้วเดียวก็สั่นสู้ทั้งคืนแล้ว แต่มันก็น่าตกใจจริงนี่นา ช่างเถอะรีบแต่งตัวดีกว่าเดี๋ยวคนผีเข้าผีออกอย่างพี่พนาจะเปลี่ยนใจ ว่าแล้วฉันก็รื้อตู้เสื้อผ้าหยิบชุดออกมากองบนเตียงลวกๆ ก็อย่างว่าแหละชอบคนที่เขา (ยัง) ไม่ได้ชอบเรามันก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา แต่ฉันไม่ท้อหรอกถือว่าการชวนไปเที่ยวครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ฉันก็แล้วกัน และให้มันรู้ไปว่าเขาจะทนความน่ารักของฉันได้ ฉันรีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้ามองหาชุดที่คิดว่าน่ารักที่สุด จนได้ชุดเดรสสั้นเหนือเข่าสีชมพู (อีกแล้ว) เป็นเดรสเข้ารูปสายเดี่ยวมีผ้าลูกไม้พองๆ ประดับแขนซึ่งสามารถดึงโชว์ลงมาเพื่อเปิดหัวไหล่ได้ ทรงผมไม่มีเวลาทำจึงใช้ทรงผมเดิมซึ่งเป็นผมเปียสองข้างพองๆ เดิมทีก็อยากจะเซ็กซี่หน่อยแต่พอทำทรงผมนี้ทีไรกลายเป็นน่ารักทุกที รองเท้าเลือกเป็นส้นสูงสีชมพูอ่อนเข้ากับชุด สารภาพแหละว่าฉันค่อนข้างคลั่งไคล้สีชมพูจนถูกมองเป็นสาวหว๊านหวานทั้งที่จริงนิสัยก็ไม่ได้หวานขนาดนั้นหรอก ถ้าให้เปรียบเทียบจริงๆ พี่ขนมผิงหวานกว่าฉันเยอะ หยิบกระเป๋าสะพายข้างรีบเดินลงมา จนเจอพี่พนายืนพิงรถสปอร์ตเฟอร์รารี่สีแดงเพลิงก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ปัดผมหน้าม้าเล็กน้อยพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ และก้าวเท้าเข้าไปหาเขา มาขนาดนี้แล้วสู้เว้ยน้ำ!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม