ตอนที่ 8 ขั้วหัวใจ
“ปาร์ค!” ผมเงยหน้าชื้นน้ำตาขึ้นมาจากฝ่ามือ ทันเห็นแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งคุ้นตาเดินผ่านไป
“รินทร์!” เจ้าของร่างสูงยิ้มอย่างดีใจก่อนจะหันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวใครจะเห็นแล้วลากแขนผมมาหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่
“ปาร์คเป็นห่วงรินทร์แทบแย่”
“ห่วงรินทร์เหรอ?” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอดีตคู่จิ้น
“ห่วงสิ...ห่วงมากด้วย แล้วนี่ทำไมรินทร์มาอยู่ตรงนี้ล่ะ แล้วแผลพวกนี้” มือเรียวนุ่มแต่อุ่นสบายแตะปลายนิ้วลงมาบนแก้มของผมเบาๆ
“รินทร์...ไม่รู้จะไปไหนอ่ะ ไม่กล้ากลับเข้าไปในคอนโด”
“เฮ้อ...” ปาร์คถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะชะเง้อคอข้ามพุ่มไม้มองกลับไปยังประตูกระจกทางเข้าคอนโดของผมซึ่งมีเหล่าบรรดานักข่าวปาปารัซซี่นั่งกันอยู่จนเต็มทางเดิน
“ถ้าไม่รู้จะไปไหน อย่างนั้นไปห้องปาร์คมั้ย”
“เอ่อ...แต่ว่า”
“ไม่ต้องแต่...มานี่เร็ว” ฝ่ามืออุ่นจูงมือของผมให้เดินตามหลบไปกับเงามืดของยามค่ำจนมาถึงมุมถนนสุดทางเดิน รถเก๋งคันเล็กคุ้นตาของดาราหนุ่มซึ่งเคยถ่ายซีรีส์ด้วยกันจอดทิ้งเอาไว้ห่างไกลจากสายตาผู้คน
ผมมีเสื้อแจ็กเก็ตอุ่นสวมทับปกปิดผ้าพันแผลสีขาวเอาไว้อย่างมิดชิด หน้ากากอนามัยสีเข้มถูกเอามาใช้คาดทับใบหน้าครึ่งหนึ่งแล้วยังมีหมวกแก๊ปใบใหญ่สวมเอาไว้บนหัว ปาร์คพาผมเดินหลบสายตาผู้คนเพื่อเดินขึ้นไปตามบันไดหนีไฟด้านข้างแทนการขึ้นลิฟต์
“เดินไหวมั้ย” ปาร์คเอียงหน้าหันมาถามหลังจากผมเผลอหลุดร้องครางขึ้นมาเพราะความเจ็บตึงจากบาดแผลที่เป็นอยู่
“ไหว ไม่เป็นไร”
“เอ่อ...ขี่หลังปาร์คมั้ย”
“จะบ้าเหรอเดินขึ้นบันไดเฉยๆ ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว เดินไปเถอะน่ารินทร์ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย” ผมขยับปากบวมใหญ่เพราะมันเพิ่งผ่านการเย็บมามากกว่าสิบเข็มนั้นพูดออกอย่างทรมาน
“ไม่ได้บอกอ่อนแอ อีกอย่างคนเราอ่อนแอบ้างก็ได้...ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“ท่องบทซีรีส์อยู่ปะเนี่ย พูดซะดูดีเชียว”
“แต่มันก็จริงไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็บอกนะ”
“อืม...อีกแค่ห้าชั้นเองสบายมาก” ผมเหลือบตาหันไปมองเลขสามบนผนังตึกแล้วคำนวณขั้นบันไดที่ต้องปีนไต่ขึ้นไปให้ถึงชั้นแปดซึ่งเป็นห้องพักของคนที่ผมจะมาอาศัยนอนด้วยคืนนี้
ปาร์คโผล่หน้าออกไปมองทางเดินส่วนกลางของคอนโดขนาดเล็ก ก่อนจะหันมากวักมือเรียกให้ผมเดินตามออกไป คอนโดมิเนียมแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตมากมายหรือหรูหราเหมือนอย่างคอนโดของไอ้ไฮโซโรคจิตคนนั้น ถึงแม้ว่าผมกับปาร์คจะเป็นคู่จิ้นที่ดูสนิทสนมกันมากทางหน้าจอ จนเหล่าบรรดาแฟนคลับทั้งหลายเอ่ยปากอยากให้เปลี่ยนจากคู่จิ้น มาเป็นคู่จริง หรือบางคนก็สรรหาภาพถ่ายหรือใช้มุมกล้องต่างๆ นานา สร้างมโนจินตนาการกันขึ้นมาว่าระหว่างผมกับปาร์คอาจเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นแค่เรื่องของคำว่า
“ธุรกิจ” เราถูกบรีฟงานให้สนิทสนม แม้กระทั่งเวลายืนต้องแนบชิดตัวติดกัน หรือให้หมั่นส่งตาหวาน แม้แต่สร้างโมเม้นต์อวยพรวันเกิด เทศกาลมอบดอกไม้ของขวัญเพื่อทำให้แฟนคลับมีความสุขนั่นแหละเขาถึงเรียกว่า “โลกมายา”
“ห้องรกหน่อยนะ” เจ้าของห้องหันหลังกลับมาพูดด้วยท่าทางเขินๆ ก่อนจะวิ่งไปคว้าอันนั้นจับอันนี้ซุกซ่อนสิ่งของซึ่งวางระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบ
“ไม่เป็นไรคงรกไม่ต่างจากห้องรินทร์หรอก”
“แล้วนี่หิวปะเดี๋ยวปาร์คสั่งเดลิเวอร์รี่มากิน” เจ้าของห้องเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำดื่มมายื่นให้ แล้วยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาไถไปตามหน้าจออย่างจริงจัง
“รินทร์ไม่ค่อยหิว ปาร์คกินเถอะ” ผมยกน้ำเปล่าขวดเล็กแล้วค่อยๆ กรอกน้ำให้หยดผ่านริมฝีปากเข้าไปอย่างยากลำบากเพราะรอบแผลนั้นมันยังไม่หายดี
“มานี่มาเดี๋ยวปาร์คป้อน” เจ้าของห้องขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับแย่งขวดน้ำไปจากมือผม ก่อนจะหันไปรื้อค้นอะไรอยู่บนชั้นใกล้ๆ แล้วหยิบหลอดมาปักลงไปก่อนจะส่งกลับมาให้ผมใหม่อีกครั้ง
“ขอบคุณ”
“แล้วนี่แผลเป็นไงบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย”
“อืม...แล้ว อาบน้ำยังไงอ่ะหรือว่าต้องเช็ดตัว” เจ้าของห้องมองสำรวจผ้าพันแผลจำนวนมากตามร่างกายผมอย่างห่วงใย
“เช็ดตัวน่ะ ตอนนี้แผลโดนน้ำไม่ได้”
“งั้น....ปาร์คเช็ดให้นะ”
“เอ่อ ไม่เป็นไร...รินทร์ช่วยตัวเองได้...เอ่อแค่ขอยืมผ้าผืนเล็กๆ สักผืนก็พอ”
ผมรับผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วเดินเข้ามายืนอยู่ภายในห้องน้ำก่อนจะใช้มันชุบน้ำแล้วเช็ดทำความสะอาดร่างกายอย่างทุลักทุเล แผลถลอกลึกตามแขนขาข้อพับเจ็บตึงจนแทบขยับไม่ได้และไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นแผลเป็นหรือเปล่า กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารค่ำซึ่งเจ้าของห้องคงลงไปรับมาจากพนักงานส่งกลิ่นโชยตีน้ำย่อยในกระเพาะของผมให้ปั่นป่วน
“รินทร์ ปาร์คสั่งโจ๊กมาให้อ่ะ” อดีตคู่จิ้นเป่าลมออกจากปาก ใส่ชามโจ๊กร้อนๆ ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังก่อนจะเลื่อนมันมาตรงหน้า “ขอบคุณนะ”
ผมอยากพูดประโยคที่มันยาวกว่านี้ อยากขอบคุณที่โลกอัน แสนโหดร้ายใบนี้ส่งให้ปาร์คมาเกิดและขอบคุณที่เราได้เป็นเพื่อนร่วมงานกัน ผมอยากพูดขอบคุณที่เขายืนอยู่ข้างผมในวันที่ผมไม่เหลือใคร แม้แต่คนในครอบครัว แต่ในอกในลำคอนั้นมันตีบตันจนเอ่ยออกมาเป็นคำ ไม่ได้จริงๆ
นาฬิกาตรงผนังห้องนั้นมันหมุนวนเลยผ่านไปจนเกือบห้าทุ่มแล้วเมื่อเราสองคนตกลงว่าจะเข้านอน ผมเห็นปาร์คมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักก่อนจะเดินหลบไปยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงนอกระเบียงห้อง ผมตัดสินใจหยิบหมอนใบหนึ่งขึ้นมาจากเตียงแล้วเลือกถือมันเดินกลับไปยังโซฟา ตัวยาวซึ่งตั้งอยู่ตรงด้านหน้าจอทีวีแทนที่จะล้มตัวนอนลงบนเตียงใหญ่
“อ้าว ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ”
“รินทร์นอนที่โซฟาดีกว่า”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร...อย่าคิดมากดิรินทร์ เมื่อก่อนตอนถ่ายซีรีส์เรา ยังเคยนอนด้วยกันเลยนี่”
“รินทร์รู้...แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วรินทร์ขอนอนตรงนี้ดีกว่า”
“อืม...ก็ถ้ารินทร์ยืนยันอย่างนั้น ปาร์คจะพูดอะไรได้ล่ะ แต่ว่าถ้ามันนอนไม่สบายจะขึ้นไปนอนบนเตียงก็ได้นะ”
“อืม...”
“เออ แล้วนี่รินทร์ต้องล้างแผลหรือว่าทำอะไรหรือเปล่า” ปาร์ค หย่อนตัวลงมานั่งข้างๆ แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้สำรวจไปตามรอย แผลทั้งหลาย
“ปาร์คไปนอนเถอะ เดี๋ยวรินทร์จัดการเอง”
ผมค่อยๆ ปลดกระดุมของชุดนอนลายทางที่สวมอยู่ออกเพราะตรงส่วนหัวไหล่นั้นมีแผลใหญ่จำเป็นต้องล้าง อาการเก้ๆ กังๆ ไม่ถนัดมือคงขัดหูขัดตาเจ้าของห้อง ปาร์คจึงขยับมานั่งลงบนพื้นแล้วช่วยผมถอดเสื้อออก สายตาหม่นๆ คู่นั้นกวาดตามองท่อนอกเปลือยของผมก่อนจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่เพราะนอกจากรอยแผลถลอกมากมายแล้วผมยังมีรอยจูบ รอยดูดหลงเหลือปรากฏเกลื่อนจนเต็มตัว
“เอ่อ รินทร์ทำเองได้ ปาร์คไปนอนเถอะ”
“ไม่ต้องเลยเอามานี่...เดี๋ยวปาร์คทำให้...” มือหนาคว้าถุงกระดาษสำหรับใส่ยาล้างแผลและอุปกรณ์ของทางโรงพยาบาลไปจากมือผม หากแต่คนใจดียังไม่ทันทำอะไรหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งวางห่างออกไปทางด้านหลังก็สว่างขึ้นมาถี่ๆ ทำให้รอยยิ้มสดใสของปาร์คจางหายไปเกือบทันที
“ปาร์ค ไม่รับโทรศัพท์เหรอ”
“ไม่อ่ะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก” มือหนาคว้าโทรศัพท์มากดปิดแล้วคว่ำหน้าจอของมันลงไปกับโต๊ะ ผมจึงไม่ทันสังเกตว่าสายเรียกเข้าถี่ๆ นั้นคือใครกันแน่
“ปาร์คไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือเปล่า” ผมถามคนที่กำลังช่วย แกะผ้าพันแผลออกจากท่อนแขน
“ไม่มี รินทร์อย่าคิดมากเลย”
“แต่โทรศัพท์...มัน...เอ่อ” ผมพยักหน้าไปทางโทรศัพท์ที่มันสว่างค้างอยู่อย่างนั้นไม่ยอมดับ เงาสะท้อนรางๆ ของโต๊ะกระจกบอกให้ผมรู้ ว่ามีใครบางคนคงอยากให้อีกฝ่ายรับสาย
“น่าเบื่อจัง ถ้าอย่างนั้นรินทร์รอปาร์คเดี๋ยวนะ” ปาร์คคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินหลบไปทางระเบียงห้องอีกครั้ง ดูจากท่าทางเดินวนไปวนมากับสีหน้าไม่พอใจของอดีตเพื่อนร่วมงาน ทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่สะดวกยังไงชอบกล
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นถี่ๆ จนผมสะดุ้งแต่ดูเหมือนปาร์คจะยังคุยธุระนั้นไม่เสร็จเพราะผมยังคงเห็นปาร์คค้ำมือเท้าลงไปบนราวระเบียงห้องสลับกับยกมือขึ้นมาเกาหัวอย่างหงุดหงิด เสียงเคาะถี่ๆ และเริ่มดังขึ้นจนเกือบจะเรียกได้ว่าคนที่อยู่อีกฟากของประตูกำลังจะพังห้องเข้ามาทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับหัวใจ
“ปาร์ค...” ผมตัดสินใจเดินออกไปเรียกหาเจ้าของห้องในทันทีเพราะรู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ
“แค่นี้นะ..” เสียงปาร์คตัดบทสนทนากับคู่สายจากนั้นจึงวิ่งออกไปยืนจ้องประตูห้องของตัวเอง
ปัง! เสียงเหมือนมีคนกำลังพยายามถีบประตูบานนั้นเข้ามากระตุกไหล่ผมให้สะดุ้งจนสุดตัว เจ้าของห้องเดินตรงไปหยุดยืนมองประตูนั้นอยู่ห่างๆ ก่อนจะคว้าไม้เบสบอลเหล็กซึ่งวางพิงทิ้งเอาไว้ตรงหน้าประตูมาถือเอาไว้แน่น ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ผมยืนจ้องแผ่นหลังตึงของเพื่อนขณะที่ปาร์คเดินไปยืนส่องช่องเล็กๆ ของตาแมวเพื่อดูว่าใครกันแน่ที่มาเคาะห้องของเขากลางดึก เจ้าของห้องยืนถอนหายใจหนักๆ อยู่หลายทีก่อนที่เสียงทุบประตูนั้นจะดังขึ้นอีกครั้ง
“ปาร์ค!”
“มาทำไม...บอกว่าพอแค่นี้ไง”
ทันทีเมื่อประตูบานนั้นถูกดึงให้เปิดออกผู้หญิงใบหน้าสวยคนหนึ่งซึ่งผมคุ้นหน้าว่าเป็นแฟนคลับคนสนิทของเราสองคนก็พุ่งเข้ามาก่อนจะเดินกวาดสายตามองไปรอบห้องแล้วหยุดลงที่ผม สายตาเหยียดหยามแจ่มชัดโดยไม่ต้องอ่านความรู้สึกใด
“ที่ไม่ให้มาหา...เพราะแอบซุกดารินทร์เอาไว้เนี่ยนะ”
“หยุดเพ้อเจ้อสักทีเถอะ ที่ปาร์คไม่ให้มาเพราะผู้จัดการสั่งเอาไว้ ก็คุยกันไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้ปาร์คต้องอยู่เงียบๆ ห้าม มีข่าวอะไรโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง เรื่องมีแฟน”
“ห้ามมีข่าวอะไรแต่เอาชู้คนอื่นมานอนห้องเนี่ยนะ เป็นข่าวว่ามีแฟนเป็นผู้หญิงมันเลวร้ายมากนักหรือไง แล้วถ้ามีข่าวว่าแอบเป็นชู้ กับผู้ชายด้วยกันอย่างนี้มันไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
“หยุดได้แล้วนะเอ๋ย หยุดงี่เง่าสักทีเถอะ ปาร์คเริ่มทนกับพฤติกรรมของเอ๋ยไม่ไหวแล้วนะ”
“งี่เง่าเหรอ เดี๋ยวนี้ปาร์คใช้คำว่างี่เง่ากับเอ๋ยเหรอ”
ผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างการเข้าใจผิดในบางอย่างและรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำตายอีกครั้ง เมื่อได้ยินผู้หญิงคนนั้นทวนชื่อและสถานะชู้ของผมซ้ำไปซ้ำมา
“พอเถอะ...พอเถอะเอ๋ย พอเถอะปาร์คอย่าทะเลาะกันเพราะ รินทร์เลย”
“มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับรินทร์เลย...ไม่เกี่ยวจริงๆ” ปาร์คยกมือสองข้างขึ้นมาเหมือนอยากยืนยันเพื่อให้ผมสบายใจ
“น้องเอ๋ย มันไม่มีอะไรจริงนะ ระหว่างพี่กับปาร์คมันไม่ได้เป็นอย่างที่เอ๋ยเข้าใจ”
“ไม่มีอะไร...จะให้เอ๋ยเชื่อเหรอ ขนาดพี่เขยตัวเองพี่รินทร์ยังนอนกับเขาได้เลย นับประสาอะไรกับคู่จิ้นจริงมั้ยคะ...”
ผมเหมือนถูกเด็กรุ่นน้องยกเท้าขึ้นมาตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ มันเจ็บ มันจุกจนพูดออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว ผมรู้แค่ว่าผมอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้วอาจไม่ใช่แค่ที่นี่ บางที...ผมอาจไม่เหมาะกับโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ด้วยซ้ำ
“เอ๋ย!” เสียงตวาดของปาร์คปลุกให้ความรู้สึกของผมกลับคืนมาจนรับรู้ว่าข้างหน้านั้นกล้องมือถือเครื่องหนึ่งกำลังสาดแสงแฟลชสว่างส่องมายังผม
“ทุกคนดูเอาไว้นะนี่แหละโฉมหน้าของดารินทร์เล่นชู้ ไม่ใช่แค่เป็นชู้กับพี่เขยตัวเองเท่านั้นนะ ตอนนี้แม้แต่แฟนของเอ๋ย...ก็ถูกผู้ชายคนนี้แย่งไป”
“เอ๋ยทำบ้าอะไรเนี่ย” ปาร์คยื่นมือมาปัดโทรศัพท์เครื่องนั้นจนมันปลิวกระเด็นตกลงไปบนพื้นห้อง
“ก็ทำให้ทุกคนเขารู้ไงว่า...มันเกิดอะไรขึ้น ให้มันรู้กันให้หมดไปเลยว่าคู่จิ้น....มันจิ้มกันจริงๆ”
“หุบปาก! แล้วออกไปจากห้องปาร์ค ไป!”
“นี่ปาร์คไล่เอ๋ยใช่มั้ย ได้เอ๋ยไปก็ได้...ขอโทษแล้วกันนะที่มาขัดจังหวะช่วงเวลาสำคัญ เชิญเอากันต่อได้เลย...แล้วอย่าลืมใส่ถุงยางล่ะเพราะไม่รู้ว่าดารินทร์คนนี้...ไปเล่นชู้กับใครมาบ้าง”
“อ๊ากกกกกกก”
ผมได้ยินเหมือนเสียงใครสักคนกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมานเสียงเหมือนขั้วหัวใจตรงหน้าอกมันปลิดปลิวทิ้งลงจากขั้วแตกสลายซ้ำๆ ดังลั่นในช่องอก เสียงหัวเข่าของผมทรุดปักลงไปบนพื้นห้องแข็งๆ เสียงร้องไห้และเสียงสะอื้นที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมหยุดลงเสียที
“รินทร์”
“พอแล้ว...พอแล้ว พอที รินทร์ทนไม่ไหวอีกแล้ว” ผมทรุดตัวลงไปนอนอยู่บนพื้นห้องก่อนจะขดงอร่างกายอันแสนทุเรศนี้แล้วใช้แขนโอบกอดตัวเอง แล้วใช้ปลายนิ้วบีบเคล้นกรีดลงไปตามรอยแผลทั้งหลาย เหมือนอยากให้แน่ใจว่าร่างกายนี้มันยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ มันเจ็บ....ผมเจ็บไปหมด แต่มันไม่ใช่ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เวลานี้มันไม่มีผ้าพันแผลสีขาวปกป้องห่อหุ้มไว้ แต่ผมเจ็บในนี้...ไอ้ก้อนเนื้อเล็กๆ ที่มันถูกเหยียบย่ำกระทืบซ้ำๆ จากคนที่เขาไม่รู้ความจริง
“ดารินทร์”
“ฆ่ารินทร์ให้ตายไปเถอะ รินทร์ไม่อยากอยู่แล้ว”
“เธอต้องอยู่...เพราะฉันจะไม่ยอมเสียเบี้ยสำคัญของฉันไป