ตอนที่ 7 บาดแผล
ผมถูกจับยัดเข้ามาอยู่ภายในเบาะรถด้านหลังทั้งที่ไม่เต็มใจ รถคันใหญ่เร่งความเร็วบ่ายหน้าไปตามเส้นทางบนถนนซึ่งผมคุ้นเคย ผมขยับพาตัวเองไปนั่งอยู่ชิดติดกับประตูฝั่งตรงข้ามด้านหลังคนขับรถ ซึ่งตีหน้าขรึมสายตาเพ่งตรงไปเบื้องหน้าเหมือนไม่คิดจะเหลียวหลัง หันกลับมาสนใจคนที่อาศัยนั่งอยู่ด้านหลัง
ติ๊ง เสียงสัญญาณเตือนจากโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ราคาแพง ดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของมันหยิบยกขึ้นมาเปิดหน้าจออ่านอะไรเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแสยะเยือกเย็นน่ารังเกียจ
“อะไร?” ผมตวัดเสียงถามออกไปเพราะลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่ามันต้องมีเรื่องราวอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับผมอีกแน่ๆ
“นักข่าวพวกนี้...ทำงานเร็วดีนะ”
“ข่าว...ข่าวอะไรอีก”
“ข่าวฉาว...ของเธอกับฉัน นักข่าวพวกนี้ฝีมือดีนะมุมกล้องสวยเชียวล่ะ ฉันชอบ...”
โทรศัพท์มือถือในมือนั้นถูกพลิกหันกลับสลับหน้าจอสว่างมาทางผม ตัวหนังสือเล็กๆ พวกนั้นเขียนว่ายังไงผมอ่านไม่ถนัด แต่ภาพที่ปรากฏอยู่เด่นหลาเต็มหน้าจอนั้น คือภาพของผมกำลังเงยหน้าเชยคางช้อนสายตาขึ้นสูง โดยมีผู้ชายหล่อเข้มนัยน์ตาคมโน้มตัวลงมาประกบปากจูบ ร่องรอยด่างดวงเห็นเป็นจุดเป็นจ้ำตามซอกคอและไหล่ขาวเด่นจนแทบไม่ต้องใช้การสังเกตเพิ่มเติม
“คุณมันไอ้คนทุเรศ” ผมคว้ามือตะปบโทรศัพท์มือถือเครื่องสวยแล้วหยิบแย่งมันมาได้ก่อนจะขว้างมันทิ้งลงไปบนพื้นซึ่งพรมหนาปูรองฝ่าเท้าของเราอยู่
“ฮึ ทำไม....เธอไม่ชอบข่าวนี้เหรอ” เจ้าของรถคันใหญ่ก้มลงไปหยิบโทรศัพท์ซึ่งตกห่างอยู่จากรองเท้าหนังราคาแพงไม่มากนัก ก่อนจะขยับปากอ่านออกเสียงดังๆ ให้ผมได้ยิน
“นี่มัน...เรื่องบ้าบอทั้งนั้น”
“จูบหวานไม่แคร์สื่อ ไม่น่าเชื่อว่านักแสดงหนุ่มซีรีส์วายคนนี้จะปล่อยภาพให้เป็นข่าว ฉาวซ้ำ ฉาวซ้อน กันอีกรอบ เรียกว่ามหากาพย์ชู้รักนักแสดงหนุ่มคนนี้มีเรื่องมาเซอร์ไพรส์เราชาวไร่เผือกอย่างไม่มีหยุดพัก เมื่อช่วงเช้าของวันนี้มีคนพบว่านักแสดงหนุ่มดารินทร์ เดินลงมาจากคอนโดหรูส่วนตัวของไฮโซพันล้านอย่างคุณคราม ด้วยสภาพที่แทบไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงแอบไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันมาตลอดทั้งคืนเพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่เดินลงมานั้นนักขุดทั้งหลายลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาใช้ตู้เสื้อผ้าเดียวกัน แถมยังการันตีด้วยรอยจูบมากมาย ชนิดที่เรียกว่าตั้งใจอวดให้สื่อเห็นกันเต็มๆ ตาทีเดียว....”
“หยุดนะ!” ผมปัดมือใส่โทรศัพท์เครื่องนั้นจนมันกระเด็นปลิวไปกระแทกใส่กระจกหน้ารถจนคนขับสะดุ้ง
“เขาเขียนไม่ถูกใจเธอเหรอ หรือว่า...มีอะไรผิดไป” เสียงเยาะเย้ยหยันถามผมอย่างน่ารังเกียจ
“จอดรถ ผมจะลง...ผมบอกให้จอด!” ผมตวาดเสียงแข็งพร้อมทั้งกระแทกฝ่ามือไปยังเบาะที่นั่งของคนขับ
“เธอไม่มีที่ให้ไปแล้วดารินทร์” เสียงเยาะเย้ยย้ำชัด ถากถางถึงความฉิบหายอันสิ้นหวังในชีวิตผมให้เจ็บปวดรวดร้าวอย่างโหดร้าย
“ต่อให้ไม่มีที่ไป...ผมก็จะไม่อยู่ใกล้คุณ”
“เธอต้องการฉันดารินทร์เพราะมีแค่ฉันคนเดียวที่จะพาเธอเดินไปจนสุดกระดาน...”
“ไม่...ผม...จะไม่ยอม...เป็นหมากในเกมของคุณ” ผมดึงล็อกเปิดประตูใหญ่ก่อนจะกลั้นใจหลับตาแล้วบอกลาโลกอันน่าอัปยศอดสูใบนี้ด้วยการทิ้งตัวเอนหลังหงายไปบนอากาศอันว่างเปล่า
“ดารินทร์!”
“ดารินทร์!”
ภาพของพื้นถนนคอนกรีตหมุนคว้างผ่านสายตาไปอย่างเร็วๆ สลับกับล้อรถหมุนผ่านไปตามด้วยเสียงผมพัดอื้ออึงเต็มสองหู เสียงบีบแตรดังระงมเซ็งแซ่แผดเต็มกกหู ผิวหนังนั้นแสบร้อนราวกับถูกผลักลงไปในตะแกรงบนเตาไฟ ผมจำได้เพียงเสียงของใครคนหนึ่งตะโกนก้องร้องเรียกชื่อของผมอยู่ในความมืด แต่ช่างเถอะ...ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ผมไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ผมเหนื่อย....
เจ็บ...ปวดไปหมดทั้งตัว แขน ขาใบหน้าตึงจนแทบขยับไม่ได้ ผมปรือตาเปิดขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วพบว่าผมยังไม่ตายตกนรกลงไปเสียที ผมยังมีชีวิต มีลมหายใจเพื่อต้องทนอยู่กับโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนพวกนั้นจะเกลียดผมจนพอใจหรือทำลายผมจนเบื่อแล้วเลิกยุ่งเลิกวุ่นวายหรือลืมผู้ชายที่ชื่อดารินทร์คนนี้ไปเสียที
“คุณดารินทร์ไม่ทราบว่าเป็นยังไงบ้างคะ” นางพยาบาลในชุดขาวเอ่ยถามผมเสียงเรียบ
“เจ็บครับ” ผมขยับริมฝีปากตึงๆ นั้นอย่างยากลำบาก ประสาทหูได้ยินเสียงแหบพร่าอ่อนแรงของตัวเองแล้วยังรู้สึกเวทนา
“อีกสักพักคุณหมอจะเข้ามาดูอาการนะคะ หากรู้สึกเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่สบายยังไง ให้คุณดารินทร์แจ้งคุณหมอได้เลยนะคะ”
“ผมอยากกลับบ้าน” ผมกลืนน้ำลายฝืดๆ นั้นลงคอรู้สึกกระบอกตามันร้อนจนเหมือนจะระเบิดออกมา
“คุณดารินทร์ต้องลองถามคุณหมอดูนะคะ ว่าสามารถกลับไปนอนพักรักษาตัวที่บ้านได้หรือเปล่า” นางพยาบาลเหลือบหางตามาทางผมแล้วถอนหายใจแรงๆ ความรู้สึกสังหรณ์ใจประหลาดวิ่งพล่านพุ่งชนความรู้สึกของผม
“คุณเกลียดผมใช่มั้ย?” ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเฝ้ามองแผ่นหลังบอบบางของนางพยาบาลคนสวย
“เอ่อ...เปล่านะคะ คือว่าฉัน...”
“ไม่ต้องโกหกผมหรอก...ผมรู้...”
“ฉันเคยถูกเพื่อนสนิทแย่งสามีมาก่อน...ฉันรู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน” ด้านหลังเครื่องแบบพยาบาลสีขาวสั่นตามแรงสะอื้นจนผมรู้สึกได้ น้ำเสียงเครือนั้นทำให้ผมเจ็บปวด การถูกแย่งสามีสำหรับเธออาจจะเจ็บปวดแต่การถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับสามีคนอื่นโดยไร้หนทางต่อสู้ ไร้โอกาสแก้ตัว ไม่มีใครเชื่อคำอธิบายนั้นก็เจ็บปวดไม่ต่างกันหรืออาจจะเจ็บปวดมากกว่าเพราะผมไม่เหลืออะไรเลย
“ผมไม่ได้ทำ....ผมบอกคุณได้เท่านี้”
“คุณดารินทร์”
เราสองคนหันมามองหน้ากันแล้วแข่งกันร้องไห้อย่างแสนทรมาน ความเจ็บปวดของผมนอกจากบาดแผลนับร้อยตามร่างกายแล้วมันยังมีความอึดอัดใจที่ไม่สามารถอธิบายบอกกล่าวเล่าให้ใครเข้าใจได้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมันเป็นเพียงแค่คนสารเลวต้องการทำลายชีวิตผม
“เอาเถอะค่ะ คืนนี้...ฉันมีหน้าที่ดูแลคุณให้ดีที่สุด ถ้าคุณดารินทร์อยากได้อะไร คุณดารินทร์สามารถกดออดเรียกฉันได้ตลอดเวลานะคะ” พยาบาลคนสวยซึ่งมีป้ายชื่อติดตรงหน้าอกว่าชื่อกานดา ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาทิ้งแล้วหันหลังเดินจากไป
“ขอบคุณครับ”
ผมลงจากเตียงเดินลากเสาน้ำเกลือขวดใหญ่ไปหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกภายในห้องน้ำ ทั่วทั้งตัวนั้นมีผ้าพันแผลพอกพันทบทับจนเกือบมองไม่เห็นผิวหนัง ไอ้ส่วนที่โผล่พ้นให้เห็นอยู่ก็มีร่องรอยถลอก หนังกำพร้าเปิดถลกจนเห็นเป็นเหงื่อน้ำเหลืองใสๆ ผุดขึ้นมาเป็นหยดๆ ตามใบหน้านั้นแผลเก่าจากรองเท้าส้นสูงของพี่รัณยังไม่ทันหาย ตอนนี้มันก็กลายเป็นผ้าพันแผลผืนใหญ่พันไว้จนรอบหัว โหนกแก้ม จมูก คาง เต็มไปด้วยรอยแดงและผ้าก๊อซหนา ริมฝีปากที่รู้สึกว่ามันปวดตึงนั้นบวมเจ่อ มีร่องรอยเหมือนถูกเย็บมาจากด้านใน
ผมทิ้งภาพอันน่าเวทนาของตัวเองแล้วเดินลากเสาสเตนเลส กลับมายืนเหม่อออกไปทางหน้าต่างห้องพัก กะประมาณคาดเดาจากตึกสูงคุ้นตาหลายแห่งทำให้พอเดาได้ว่าเวลานี้ผมคงกำลังยืนอยู่ภายในโรงพยาบาลใหญ่ใจกลางเมือง ไม่นานนักคุณหมอท่าทางใจดีก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับสอบถามอาการความเจ็บ ความปวดของร่างกายผม โดยมีพยาบาลผู้น่าสงสารคนนั้นยืนส่งยิ้มเศร้าๆ มาให้
“ผมขอกลับไปนอนพักที่บ้านได้หรือเปล่าครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคุณหมอ
“หมอว่าคุณดารินทร์ควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักสามสี่วันนะครับ แผลหลายจุดนั้นต้องรักษาความสะอาดแล้วก็ยังต้องหมั่นล้างแผลด้วย”
“แต่ผมอยากกลับบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้น...ผมจะลองถามคุณครามดูนะครับ”
“ถามคุณคราม ทำไมต้องถามเขา” เขากดหัวคิ้วตึงๆ นั้นเข้าหากันทันที
“คุณครามเป็นคนพาคุณดารินทร์มาส่ง แล้วเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยครับ”
“คุณคราม เขากับผมเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกัน ค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาลผมออกเองได้...ผมจะกลับบ้าน”
“แต่...คุณครามบอกว่าเป็น...”
“ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นครับ ผมจะกลับบ้าน”
ผมกระชากสายน้ำเกลือออกโดยไม่สนใจคุณหมอและพยาบาลซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ท่อยางซิลิโคนซึ่งคาค้างอยู่ตรงหลังมือมีเลือดสีแดงหยดออกมาเป็นทาง พยาบาลชื่อกานดาคนนั้นรีบเข้ามาช่วยกดห้ามเลือดแล้วพูดบอกให้ผมหยุดอยู่นิ่งๆ อย่างใจเย็น
“คุณดารินทร์คะ”
“ขอให้ผมกลับบ้าน...ผมขอร้อง” หยดน้ำตาใสไหลลงไปปะปนกับเลือดขุ่น บางส่วนพรมรดลงไปบนหลังมือสีขาวสะอาดของพยาบาลสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาสมเพชเวทนา เธอคงกำลังคิดว่านี่เป็นชะตาอันน่าอดสูเป็นวิบากของกรรมชั่วที่ชู้อย่างผมควรได้รับ
“ได้โปรด...ให้ผมกลับบ้าน”
ผมนั่งอยู่ภายในรถแท็กซี่ซึ่งแล่นมาจอดเทียบอยู่หน้าประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่ ด้านในนั้นเห็นเป็นรถหรูราคาแพงจอดเรียงกันอยู่หลายคัน หนึ่งในนั้นเป็นรถใหม่ป้ายแดงของผมเอง ภายในบ้านมีแสงสว่างเปิดค้างเอาไว้เห็นผ่านช่องหน้าต่างหลายบานแสดงว่าคุณแม่และ พี่ดารัณยังอยู่ แต่น่าแปลกที่หลายวันมานี้ผมไม่มีคนในครอบครัวโทรหา ส่งข้อความหรือแวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลหรือถามหาผมแม้แต่ประโยคเดียว
“น้องจะลงมั้ย พี่จะได้ไปรับผู้โดยสารต่อ” เสียงโชเฟอร์เอ่ยถามผมพร้อมกับสอดสายตามองเข้าไปในบ้านผ่านรั้วอัลลอย
“ไม่ครับ ผม...เปลี่ยนใจแล้ว”
“แล้วน้องจะไปไหน”
“ไป....ไป คอนโดเจเจ”
ผมนั่งแท็กซี่มาจอดอยู่หน้าคอนโดมิเนียมของตัวเองแต่ยังคงรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก ภาพเหตุการณ์กองทัพนักข่าวในวันก่อนยังหลอกหลอนผมอยู่ให้รู้สึกหวาดผวาไม่ปลอดภัย ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมานั้นทำให้ผมหวาดระแวงไม่มั่นคง
“น้องครับ น้องจะลงมั้ยครับ” โชเฟอร์ตะโกนถามซ้ำมาจากด้านหน้า
“เอ่อ...ไม่ครับ...ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
ผมไม่มีที่ไปเหมือนที่ผู้ชายคนนั้นพูดเอาไว้จริงๆ ไม่มีที่ไหนเลยที่จะยอมรับฝ่าเท้าคู่นี้ของผมให้ยืนเหยียบได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง... ผมก้มหน้าลงกับฝ่ามือแล้วพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ให้มิดชิดที่สุดเพราะรู้สึกอายลุงโชเฟอร์เหลือเกิน
“แล้วคราวนี้น้องจะไปไหนครับ” เสียงโชเฟอร์ร้องถามมาจากที่นั่งของคนขับอีกหน
“ไป...ไป....ผมไม่รู้....ฮึก ฮึก ฮือ ผมไม่รู้....ผมไม่รู้จะไปไหน...”