ตอนที่ 10

1535 คำ
เขาถามยิ้มๆ จ้องลึกเข้าไปค้นคำตอบในตาของเธอ พร้อมๆกับยกแก้ววอดก้าขึ้นกระดกดื่มเหมือนลืมอายุ “ชอบค่ะ…คนที่มีอายุ อบอุ่นดี อยู่ใกล้แล้วรู้สึกเหมือนอยู่กับพ่อ” คำตอบของดาหลาทำเอาชรัมภ์เกือบสำลักวอดก้า เขาวางแก้วแล้วรีบคว้าทิชชู่มาปิดปาก เก็บเสียงค่อกแค่กในลำคอ คำพูดนั้น ‘พ่อ?’ ยังกึกก้องหลอกหลอนเต็มสองหู เหมือนระฆังช่วย เมื่ออัญชันและอาทิตย์เดินกลับมาถึงโต๊ะในจังหวะนั้นพอดี “ไงเพื่อน…ถูกทิ้งให้อยู่ลำพังกับสาว ถึงกับสำลักความสุขเชียวรึ” อาทิตย์แซว ก่อนจะหันไปเลื่อนเก้าอี้ให้อัญชันนั่ง ระหว่างนั้นลุงสไวเดินเข้ามาคุยกับพ่อเลี้ยงพอดี ดาหลาสบจังหวะจึงเอ่ยถามถึงเรื่องที่แม่จะต้องลงไปธุระที่กรุงเทพฯในอีกสองสามวัน ซึ่งอัญชันก็ตอบว่าเป็นความจริงตามที่พ่อเลี้ยงบอก ระหว่างที่แม่ลูกกำลังสนทนากันอยู่นั้น อาทิตย์ได้ยินว่าอัญชันจะต้องลงไปทำธุระที่กรุงเทพฯ เขาจึงหันไปกระซิบเบาๆกับเธอว่า “บังเอิญจัง…ผมกำลังจะไปทำธุระที่กรุงเทพฯในอีกสองสามวันอยู่พอดี…ไปพร้อมกันนะครับ” อาทิตย์ถือโอกาสชวน อัญชันไม่ได้ตอบออกมาตรงๆ ทว่าอาการยิ้มๆนั่นก็ทำให้อาทิตย์สรุปอย่างเข้าข้างตัวเองว่ามันคือคำตอบ   หลายชั่วโมงผ่านไป บรรยากาศซึ่งเต็มไปด้วยความสนุกสนานรื่นเริงก็แผ่วลงไปพร้อมๆกับเสียงดนตรี ทว่าในจิตใจของหญิงชายคู่หนึ่งกำลังเริงโรจน์ รุกร้อนไปด้วยเปลวเพลิงของความปรารถนาที่วอมแวมวิบวับอยู่ในดวงตาของกันและกัน ในแทบทุกจังหวะที่หันมาประสาน เขาทำให้เธอรู้สึกวั่นไหว เช่นเดียวกับเธอที่กำลังหลอมละลายหัวใจของเขาอยู่เงียบๆโดยไม่รู้ตัว “ให้ผมไปส่งคุณที่ห้องนะครับ” อาทิตย์กระซิบกระซาบเบาๆกับอัญชัน อันที่จริงเธอควรปฏิเสธ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหงาลึกๆในใจหรือความอ้างว้างว้าเหว่อันใด ที่ทำให้ริมฝีปากของเธอไม่มีแรงยกขยับแม้อยากจะเอื้อนเอ่ยปฏิเสธออกไป “ดาอยากกลับหรือยังลูก” เธอหันมาถามลูกสาว “ยังค่ะ อากาศกำลังเย็นสบาย พ่อเลี้ยงกำลังสอนให้ดูดาว ดาชอบค่ะแม่” เธอตอบพลางชำเลืองไปตามมือซึ่งชี้ชวนให้ดูดวงดาว เสียงกังวานทุ้มของชรัมภ์ขณะกำลังอธิบายดูราวกับคุณครูกำลังสอนเด็ก  “ขออนุญาตไปส่งคุณอัญกลับห้องก่อนนะเพื่อน” อาทิตย์หันมาบอกกับชรัมภ์ “ตามสบาย…ไม่ต้องห่วงนะครับอัญ ดาอยู่กับผม…รับรองความปลอดภัย แต่คุณไปกับอาทิตย์…ผมไม่รับประกันความปลอดภัยนะครับ” เขาทำน้ำเสียงกระเซ้าที่ท้ายประโยค “พุธโถ่…พูดแบบนี้เดี๋ยวคุณอัญก็เปลี่ยนใจไม่ให้ไปส่งหรอก” อาทิตย์ถลึงตาใส่เพื่อนรัก เป็นนัยว่าอย่ากระโตกกระตากเดี๋ยวไก่ตื่น จากนั้นก็รีบก้าวนำอัญชันไปด้วยอาการร้อนรน ราวกับกลัวว่าเธออาจเปลี่ยนใจ   เบื้องหลังประตูห้องที่ปิดสนิท ไม่ใช่ห้องของอัญชัน แต่เป็นห้องของอาทิตย์ เขารวบร่างรัดรึงของอัญชันขึ้นอุ้ม เดินดุ่มพาไปวางลงบนเตียงด้วยอาการทะนุถนอน ก่อนจะถาโถมเข้าหาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า  “เดี๋ยวค่ะ...” อัญชันพยายามทัดทาน ทุบตีไปที่ปั้นไหล่ของเขา หากกระโปรงระย้าย้วย สีบานเย็นหวานที่เธอสวมใส่อยู่นั้นกลับหลุดลุ่ยออกจากเอวคอดกิ่วของเธออย่างเป็นใจให้อาทิตย์ เขาไม่ได้กระชากมันออกจากปลายเท้าน้อยๆของเธอ แต่เลิกร่นมันกลับขึ้นไปกองอยู่ที่หน้าท้องแบนราบ พร้อมๆกับกระเสือกใบหน้าระคายเคราเข้าไปแนบคลึง ใกล้ชิดจนรู้สึกได้ถึงหน้าท้องของเธอที่แขม่วเกร็งน้อยๆกับอาการบุ่มบ่ามของเขา  “อุ๊ย.....อย่าค่ะ อัญกลัวใครผ่านมาเห็นเข้า” เธอพยายามผลักศีรษะของเขาให้ห่างออกจากหน้าขาที่เบียดหนีบไปตามสัญชาตญาณ เมื่อถูกรุกล้ำรุนแรง แต่ก็ไม่อาจต้านแรงง้างจากมืออันทรงพลังทั้งสองข้างของอาทิตย์ “คนอื่นๆคงนอนหลับกันไปหมดแล้ว…คุณต้องรับผิดชอบที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ” “ขี้ตู่” “อัญ…รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณงดงามเหลือเกิน” เขาถอนใบหน้าให้ห่างออกมาเพื่อจะมองดูเธอให้ชัดๆ “เมื่อก่อนอาจจะใช่…แต่ตอนนี้อัญแก่แล้วนะคะ” “ตรงไหนกันที่เรียกว่าแก่…คุณน่ากินกว่าสาวๆแรกรุ่นซะอีก” เขาหยอดคำหวานจนเธอคล้อยเคลิ้ม เรือนร่างบิดเร่าอยู่ในอารมณ์แบ่งรับแบ่งสู้ สับสน คิดไม่ถึงว่าอาทิตย์จะกล้าเปิดฉากด้วยการจู่โจมในบริเวณซึ่งเธอไม่คาดฝัน แต่ก็เป็นความรู้สึกตื่นเต้นระคนตกใจ เกิดเป็นความซาบซ่านขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ถึงกับทำให้ลมหายใจของเธอขาดหายไปเป็นห้วงๆ เธอได้แต่พริ้มตากับความรู้สึกสุดจะบรรยาย มันเหมือนกับความรู้สึกขณะเดินเล่นในสวนดอกไม้ ท่ามกลางบรรยากาศตอนเช้าอันแสนสดใส ขณะที่กลีบดอกไม้อันบอบบางกำลังลู่ไล้กับสายลมอันสากระคาย ทุกสัมผัสของเขาคือความรู้สึกอันแสนวิเศษ ความบอบบางตรงกลางร่างกายช่างไวต่อริมฝีปากของเขา ความอุ่นชื้นจากลิ้นที่สากระคายถึงกับทำให้เธอห่อไหล่ สะดุ้งเฮือก เนื้อตัวระริกสั่น พยายามบ่ายเบนความรู้สึกทรมานด้วยการหลับตานึกไปถึงภาพสายลมอ่อนโยนกำลังโลมลูบกลีบบุปผาสวรรค์ ทั้งที่จริงมันคือปลายลิ้นแลบเลีย สร้างความหวิววาบปลาบลึกลงกลางเกสรอ่อนนุ่ม ขณะที่ความอุ่นร้อนของเรียวลิ้นสอดเข้าซอกซอนกลีบบุปผาสีเนื้ออมชมพูระเรื่อ พลิกพลิ้วรับสัมผัสป้ายปาดเอาตามแต่ใจของเขา   ที่ศาลาริมน้ำซึ่งอยู่อีกฟากของเรือนหลังใหญ่ ชรัมภ์พาดาหลาเดินอ้อยอิ่งมาดูดาว หลังจากพยายามหว่านล้อม เอาเรื่องดวงดาวมาเล่าจนเธอสนใจ ยอมให้เขาพามานั่งดูดาว กลางดึกที่หยาดน้ำค้างพราวระยับอาบทุ่งหญ้า ไอหนาวละลิ่วมาจากขุนเขาที่เหยียดยาว ทอดตัวสงบราวกับงูใหญ่ นิ่งอยู่ในรัตติกาลอันสงัด มีเพียงเสียงจิ้งหรีดและลมพัด บรรเลงเพลงราตรีขับกล่อมท้องทุ่งให้หลับใหล “พ่อเลี้ยงมีความรู้เรื่องดวงดาวด้วยหรือคะ”           ดาหลาช้อนสายตาคมประกายขึ้นถาม           “คนที่มีชีวิตอยู่ในชนบทอย่างผม สิ่งบันเทิงเริงใจก็ไม่ค่อยมีเหมือนคนเมือง ค่ำลงก็แหงนหน้าดูดาว ดึกหน่อยก็เข้านอน…เมื่อไม่มีอะไรทำ คนต่างจังหวัดจึงลูกดก” เขาเสไปอีกทางด้วยความคิดติดตลก ครั้นแล้วก็กล่าวต่อ           “ไม่มีอะไรทำ…แล้วเกี่ยวอะไรกับลูกดกคะ?”           พ่อเลี้ยงนึกขำกับคำถามพาซื่อ ครั้นแล้วก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงทะลึ่งทะเล้น           “ก็เพราะไม่ค่อยมีอะไรทำ…พอตกค่ำเลยตั้งหน้าตั้งตาทำลูก”            “ขนาดนั้นเลยหรือคะ” คนฟังทำท่าไม่เชื่อ           “โดยเฉพาะคนโสดๆอย่างผมด้วย…ยิ่งแล้วกันใหญ่ เลยเกิดอาการเหงาขึ้นมาบ่อยๆ…พอเหงาก็เลยมักจะชอบมานั่งดูดาว”           พูดจบเขาก็ชำเลืองสายตาละห้อย เหมือนเรียกร้องความสงสารจากหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า สรุปว่าทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาเพียงเพื่อจะประกาศว่าตอนนี้เขา ‘โสด’ หรือไม่ก็อยากมีเมียขึ้นมาตะหงิดๆ           “พ่อเลี้ยงมีความรู้เรื่องดูดาวใช่มั้ยคะ?”           น้ำเสียงนั้นแสดงออกถึงความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด “แรกทีเดียวก็ไม่เชิงนักหรอก แต่พอดูไปดูมา…บ่อยเข้าจึงเกิดความสงสัย ทำให้ต้องค้นคว้าหาตำรับตำรามาอ่านบ้าง” “ฟังดูน่าสนใจจัง” ดวงตาคมประกายเบิกโตอย่างกระตือรือร้นที่จะรู้ ได้ทีพ่อเลี้ยงจึงรีบกล่าวต่อ           “คนในสมัยก่อนเชื่อว่าเบื้องบนเป็นสวรรค์ เบื้องล่างเป็นนรก โดยมีโลกมนุษย์ของเราคั่นอยู่ตรงกลาง เพราะการรับรู้ว่าโลกกลม และถูกครอบเอาไว้ด้วยผืนฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวมากมาย และดวงดาวที่มีอยู่มากมายนั่นเองทำให้มนุษย์เริ่มจดจำ ตั้งชื่อและแบ่งดวงดาวออกเป็นกลุ่ม ต่างก็จินตนาการไปตามความเห็นว่ามันมีรูปร่างคล้ายคน สัตว์ และสิ่งของเครื่องใช้ซึ่งมาจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มดาวนายพราน คนไทยเราเรียกว่าดาวไถ เพราะคุ้นชินกับอาชีพทำไร่ทำนา จึงผูกโยงว่ากลุ่มดาวที่เห็นเป็นรูปคันไถ ขณะที่ชาวยุโรปที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขา มีอาชีพล่าสัตว์ กลับตั้งชื่อกลุ่มดาวเดียวกันนี้ว่ากลุ่มดาวนายพราน” “เป็นอย่างนี้นี่เอง” คนฟังพยักหน้าหงึกๆ “แต่เพื่อความเข้าใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน องค์การดาราศาสตร์สากลจึงกำหนดชื่อที่เป็นสากลเอาไว้ เพื่อความไม่สับสบ โดยแบ่งดาวบนฟ้าออกเป็น 88 กลุ่ม โดยเรียกชื่อให้เหมือนกัน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม