บทที่ 1 กูไม่เอา
บทที่ 1
“แน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้จริง ๆ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ”
ประโยคคำถามจากเพื่อนสนิทช่วยดึงสติหญิงสาวที่กำลังนั่งเหม่อ ใจดวงน้อยลอยออกไปไกลแสนไกล ด้วยไม่มั่นใจทางเลือกที่ตนตัดสินใจกำลังจะทำในคืนนี้
จรัสรักก้มมองมือตัวเองซึ่งบีบประสานกันอยู่บนหน้าตัก เธอไม่อยากเลือกเส้นทางนี้ เพียงแต่ภาระที่แบกอยู่บนบ่าเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต หากใจฝ่อและถอนตัวตอนนี้ หนึ่งในสามชีวิตที่เธอดูแลอยู่คงมีอันเป็นไป
เธอถอยตอนนี้ไม่ได้แล้ว
“ฉันจะทำ” แม้ปากจะยืนยันอย่างนั้น หากแววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ไม่มั่นคงเอาเสียเลย แน่นอนว่าเพื่อนสนิทอย่างศศิตาจับความรู้สึกนั้นได้
“ฉันไม่น่าแนะนำให้แกเลย ไม่คิดว่าแกจะทำจริง ๆ” คนที่เลือกเดินถนนสายนี้ตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปีเอ่ยอย่างหนักอกหนักใจ “แต่แกต้องรู้ไว้นะรัก ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีได้เจอคนดี ๆ บางคนได้เจอคนแย่ ๆ ไม่ให้เกียรติเรา พูดจาดูถูกเราสารพัด และคนพวกนี้มันไม่คิดถนอมเราเลยสักนิด”
“แต่พวกเขามีเงิน” ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ
“ใช่ แขกที่จะเข้ามาเที่ยวที่ร้านได้ต้องมีเงินประมาณหนึ่ง ออฟเด็กออกไปแต่ละทีก็จ่ายเป็นหมื่นอะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีเงินใช้คล่องมือขนาดนี้หรอก” ศศิตารู้สึกเป็นกังวล ไม่อยากให้เพื่อนเจอแบบที่ตนเคยเจอ จึงลองโน้มน้าวให้เพื่อนเปลี่ยนใจอีกรอบ “รัก จริง ๆ แล้วแกยืมเงินฉันอีกก็ได้นะ ฉันพอมีเหลือเก็บอยู่บ้าง ไม่ได้รีบใช้อะไร แกเอาเงินส่วนนี้ของฉันไปใช้ก่อน มีเมื่อไรก็ค่อยคืน”
จรัสรักส่ายหน้าปฏิเสธทันที เธอรับความช่วยเหลือจากศศิตาไม่ได้อีกแล้ว “อันเก่าสองแสนห้ายังไม่ได้คืนเลย อีกอย่างรอบนี้ดอกมันเพิ่มพูนเยอะกว่ารอบที่แล้ว ถ้ายืมแกอีกก็ไม่รู้จะมีปัญญาหามาคืนไหม แต่ถ้าฉันทำงานนี้ แป๊บเดียวก็คงใช้หนี้หมด รวมถึงหนี้ของแกด้วย”
“งั้นเอาอย่างงี้ไหมล่ะ” ศศิตาผุดไอเดียหนึ่งขึ้นมา “แขกคนแรกของแก ถ้าเขาใจดีหรือรวยมาก ๆ แกลองขอให้เขาเลี้ยงดู คิดค่าตัวเป็นรายเดือน ดีไม่ดีเขาอาจจะเช่าคอนโดดี ๆ ให้แกอยู่ด้วย แกจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา ถ้าเขายอมเลี้ยงแกอย่างน้อย ๆ แกก็ไม่ต้องรับแขกหลายคนให้เปลืองตัว”
“หมายถึงเป็นเด็กเสี่ยน่ะเหรอ”
“อื้อ ประมาณนั้นแหละ”
“คนที่ทำงานที่นี่มีคนเลี้ยงเยอะไหม”
“ก็เยอะนะ ถ้าบริการถึงใจ แขกก็จะยื่นข้อเสนอมาให้เอง ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะโอเคไหม บางคนก็ได้ดิบได้ดีเป็นคุณนายไปเลย”
“แล้วตอนที่แกมีเสี่ยเลี้ยงตอนนั้น แกได้เดือนเท่าไร” จรัสรักของถามเป็นแนวทาง เพราะที่เพื่อนเสนอมาก็ฟังดูน่าสนใจ คงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เธอรู้สึกผิดกับตัวเองน้อยที่สุด
“ตอนนั้นฉันได้เดือนละสี่หมื่นบาท เสี่ยเช่าคอนโดให้อยู่เพื่อความสะดวกในการไปหา แต่ก็ไม่ได้หรูหราอะไร แล้วก็มีค่าชอปปิงจิปาถะอีกหมื่นสองหมื่นแล้วแต่เดือน” เรียกได้ว่าศศิตามีประสบการณ์มาแล้วทุกรูปแบบ บางคนได้เจอคนดี ๆ ก็โชคดีไป แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่ได้ดวงดีขนาดนั้น “แต่อะไรแบบนี้มันก็ไม่ได้ยั่งยืนหรอกนะ บางคนมีเมียอยู่แล้ว แล้วเมียจับได้ บุกมาเอาเรื่องถึงคอนโดถึงที่ทำงาน บางรายถึงขั้นฟ้องร้องกันก็มี หรืออาจจะเป็นเสี่ยที่เบื่อและขอยุติเองเหมือนกรณีของฉัน”
“ที่แกต้องย้ายกลับมาเช่าหออยู่น่ะเหรอ”
“ใช่ จริง ๆ ฉันจะอยู่คอนโดนั้นต่อก็ได้นะ แต่ฉันต้องจ่ายเอง ก็พอจ่ายไหวแหละ แต่มันเสียดายเงินอะ เลยย้ายออกมาหาห้องถูก ๆ อยู่ดีกว่า สุดท้ายก็ไปนอนโรงแรมเหมือนเดิม” ด้วยอัตคัดขัดสนมาตั้งแต่เด็ก ศศิตาจึงมีนิสัยมัธยัสถ์ ไม่ใช้เงินไปกับอะไรที่ฟุ่มเฟือย ประหยัดได้ก็ประหยัด เพราะอย่างนั้นถึงเป็นเพื่อนกับจรัสรักได้ ว่าเธอขี้เหนียวแล้ว เพื่อนของเธอคนนี้ยิ่งกว่าอีก “นั่นแหละ อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน หลายคนที่เหมือนจะไปได้ดีนะ สุดท้ายซมซานกลับมาทำงานที่นี่อีกก็มีเยอะ เหมือนฉันนี่ไง”
จรัสรักรับฟังพร้อมภาวนาในใจ คืนแรกของเธอ ขออย่าให้โชคชะตาใจร้ายกับเธอนักเลย
“เอ้า! มานั่งคุยอะไรกันอยู่นี่ แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกไปนั่งข้างนอก แขกเริ่มมากันเยอะแล้ว ออกไปรับแขกได้แล้ว ไป!” น้ำเสียงแหลมกระโชกของสาวใหญ่ซึ่งเป็นผู้ดูแลคลับแห่งนี้ดังขึ้น สาว ๆ ที่นั่งตามมุมห้องแต่งตัวต่างรีบกระวีกระวาดแยกย้ายกันออกไป เพราะคงไม่สนุกนักหาก ‘เจ๊ระเบียบ’ ได้ปรี๊ดแตกขึ้นมา “อีซิสซี่ เสี่ยอ๋องถามหามึง ออกไปนั่งกับเสี่ยเลยนะ ไม่ต้องไปนั่งรวมกับเพื่อน”
“ได้ค่าเจ๊” ศศิตารับคำสั่ง ‘ซิสซี่’ คือชื่อสำหรับใช้รับแขกของเธอเอง กำลังจะจูงมือเพื่อนเดินออกไป แต่ก็ต้องหยุดชะงัก
“เดี๋ยวก่อน” เจ๊ระเบียบปรายตามองเด็กใหม่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสั้นเสมอหูสีเงินประกายวิบวับอย่างสำรวจ สีหน้าและแววตาฉายความพึงพอใจอย่างชัดเจน “อืม พอแต่งตัวแต่งหน้าแบบนี้ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย ไม่ใช่แต่งเหมือนวันที่มาสมัครงาน อย่างกับผีเดินได้”
จรัสรักได้แต่ก้มหน้าที่ถูกฉาบด้วยเครื่องสำอางไม่รู้กี่อย่างต่อกี่อย่าง มันหนาจนเธอรู้สึกหนักหน้าไปหมด มือบางดึงชายกระโปรงลงเล็กน้อยเพราะไม่ชินกับการสวมชุดเปิดเผยแบบนี้ ทว่าท่าทางนั้นกลับขัดใจคนมองยิ่งนัก
“เอ้า! กูชมว่าสวยขนาดนี้แล้วยังจะมาก้มหน้างุด เก้ง ๆ กัง ๆ แบบนี้อีก คิดจะทำงานนี้มันต้องมีความมั่นใจ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็ถอนตัวไปซะตั้งแต่ตอนนี้ อย่ามาทำเป็นหวงเนื้อหวงตัวแถวนี้ เห็นแล้วขัดหูขัดตา ดีไม่ดีทำเสียชื่อร้านกูอีก”
“เอ่อ เจ๊ เพื่อนหนูมันแค่ยังไม่ชินน่ะ แต่หนูรับรองว่ามันจะไม่ทำให้ร้านเจ๊เสียชื่อแน่นอน หนูรับประกันเลย”
“ดี ถ้ามีลูกค้าคอมเพลนมานะ กูไม่เอาไว้ทั้งสองคนแน่” ระเบียบชี้นิ้วขู่
“งั้นพวกหนูสองคนขอออกไปหาแขกก่อนนะคะ”
“อีไอลีฟไม่ต้องไปนั่งรวมที่โซนหน้าร้านนะ ไปนั่งรอชั้นบนโซนวีไอพีเลย”
‘ไอลีฟ’ คือชื่อรับแขกของจรัสรักที่ศศิตาเป็นคนตั้งให้ เจ้าหล่อนบอกว่าชื่อ ‘รัก’ มันฟังดูซื่อและเรียบร้อยเกินไป ต้องใช้ชื่อที่มีความดัดจริตนิดหน่อย
“อ้าว ทำไมอะเจ๊”
“เด็กใหม่ก็ต้องมีอัปราคงราคากันบ้างสิโว้ย ยิ่งท่าทางหงิม ๆ แบบนี้นะผู้ชายมันยิ่งชอบ”
“แต่เมื่อกี้เจ๊เพิ่งด่าเพื่อนหนูไปเองนะ”
เจ๊ระเบียบยกมือเท้าเอว เตรียมเฉ่งเด็กในความดูแล “อีนี่! หัดฉลาดซะบ้าง ที่กูหมายถึงคือหงิม ๆ แบบมีจริตจะก้าน รู้จักออเซาะ รู้จักเล่นตัว ไม่ใช่หงิมแบบซื่อบื้อทำอะไรไม่เป็น แบบนั้นผู้ชายจะเบื่อเอา เข้าใจที่กูพูดไหมอีลีฟ”
“เอ่อ...ค่ะ เข้าใจค่ะ” จรัสรักพยักหน้าตอบพลางก้มหน้าหลบตา ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้พูด พยายามเรียกความมั่นใจให้ตนเอง ทั้งที่มันแทบไม่มีเลย
“เออดี เข้าใจก็ดี พากันออกไปได้แล้วไป” เจ๊ระเบียบพยักพเยิดหน้าไล่เด็กสาวทั้งสองคน สายตามองตามหลังเด็กใหม่ที่เพิ่งมาเริ่มงานคืนแรก ด้วยแววตาพึงพอใจในรูปร่างและหน้าตา ประเมินในใจไว้คร่าว ๆ ว่าควรเรียกค่าตัวเด็กคนนี้เท่าไรดีสำหรับครั้งแรก
แต่แล้วสาวใหญ่ก็พลันถอนหายใจพลางส่ายหน้าเบา ๆ แววตาแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นอกเห็นใจ เมื่อนึกถึงเหตุผลที่ทำให้เด็กสาวตัดสินใจเลือกเดินเส้นทางนี้...