มัลลิกา สมุทรภาคิน หรือ มารีน หญิงสาวผู้ที่มีใบหน้าสวยสดงดงามราวกับเทพธิดาในนวนิยาย ใบหน้ารูปไข่กับผิวขาวเนียนดั่งผิวเด็กแรกเกิด นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่มีขนตาเป็นแพรงอนงามเรียงสวย อีกทั้งทรวดทรงอกเอวและหน้าอกอวบอิ่มใหญ่โตเกินขนาดตัว ทุกอย่างที่อยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติไปเสียทุกอย่าง
“สวยมากครับคุณมารีน เปลี่ยนท่าได้เลยครับ ไปต่อเลยครับ..เปลี่ยนครับ”
เสียงของตากล้องฝีมือดีกำลังกดชัตเตอร์รัวๆเพื่อถ่ายภาพของมารีนที่สวมชุดสีเดรสสั้นสีชมพูอ่อน เป็นเกาะอกรัดรูปเว้าด้านข้างให้เห็นเอวคอดกิ่งเล็กน้อยคู่กับผลิตภัณฑ์น้ำหอมขวดสีชมพูตัวใหม่ที่เธอเพิ่งได้รับเป็นพรีเซนเตอร์ มือบางของหญิงสาวกำลังถือขวดน้ำหอมโพสต์ท่าให้ตากล้องถ่ายรูปอย่างมืออาชีพ
มารีนเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าสะสวยมาตั้งแต่สมัยเรียน เมื่อเธออายุได้ยี่สิบปีเธอก็ได้ถูกชักชวนให้มาลองถ่ายแบบครั้งแรกแล้วผลปรากฏว่าเธอก็ทำมันออกมาได้อย่างดีเยี่ยมและผลตอบรับในสินค้าตัวแรกของเธอก็ขายดิบขายดีจนยอดขายทะลุเป้า หลังจากนั้นมาหญิงสาวก็ได้เซ็นสัญญากับสังกัดอย่างเต็มตัว เธอได้ทำงานกับสังกัดมาตั้งแต่อายุยี่สิบปีจวบจนตอนนี้หญิงสาวอายุสี่สิบหกปีแล้ว มารีนเป็นนางแบบชื่อดังเพราะใบหน้าที่สวยสะพรั่งและหุ่นนาฬิกาทรายแบบที่หญิงสาวทุกคนใฝ่ฝันจึงทำให้เธอดูโดดเด่นมากกว่าคนอื่นอีกทั้งความสามารถที่มากล้นนั้นก็ยังทำให้ผู้ใหญ่เห็นในความพยายามและการเต็มที่กับทุกงานของเธอ ซึ่งแน่นอนว่านางแบบชื่อดังอย่างเธอมีคนรักก็ต้องมีคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดาเพราะข่าวเสียๆหายๆของเธอเองนั่นแหละที่ทำให้คนบางกลุ่มมองเธอในแง่ลบมากกว่าการดูที่ผลงานของเธอ
มารีนขยับตัวโพสต์ท่าให้ตากล้องจับภาพได้อย่างมืออาชีพ จนกระทั่งเสียงของตากล้องหนุ่มแต่งตัวเท่ๆคุมโทนสีดำทั้งชุดเอ่ยขึ้นมา
“เรียบร้อยครับ! เซ็ตแรกเรียบร้อยแล้วนะครับ เดี๋ยวพามารีนไปเปลี่ยนชุดแล้วมาถ่ายอีกเช็ตได้เลยนะ”
สิ้นเสียงของช่างภาพ พนักงานหลายคนภายในสตูดิโอรีบปรี่เข้ามาหามารีนเพื่อซับหน้าและเอาน้ำให้หญิงสาวดื่มอย่างรวดเร็ว
เมื่อมารีนดื่มน้ำที่พนักงานเอามาให้เสร็จเรียบร้อย หญิงสาวกำลังจะก้าวเดินไปยังห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนชุดแต่ทว่าก็มีชายฉกรรจ์สวมชุดสูทสีดำที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาและรู้จักเขาเป็นอย่างดีเดินตรงเข้ามาหาเธอเสียก่อน
“มา..ทำไมคะ?” เสียงหวานนุ่มนวลของมารีนเอ่ยถามชายชุดดำพร้อมกับสีหน้าที่งุนงง
“คุณหนูครับ คุณท่านอาการไม่ค่อยดีเลยครับ ท่านอยากพบคุณหนูด่วนเลยครับ” วายุ บอดี้การ์ดคนสนิทภายในคฤหาสน์ของมารีนบอกกล่าวคุณหนูของบ้านด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าสายตาของเขากลับมีแต่ความกังวลใจอยู่ภายในนั้น ซึ่งคุณท่านที่เขาหมายถึงก็คือ เมธานินท์ สมุทรภาคิน ปู่ของมารีน
“คือออ…” ใบหน้าสวยของมารีนมีสีหน้าที่กังวลมองซ้ายมองขวามองไปรอบๆสตูดิโออยู่ชั่วครู่ เธอเองก็รู้สึกเกรงใจทุกคนที่กำลังทำงานกันอยู่ในสตูดิโอตอนนี้ หากเธอไปเลยแล้วงานของเธอที่กำลังถ่ายอยู่ตอนนี้ละ
“ไปเถอะมารีน พวกเราพักกองก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปคุยกับไอ้แทนคุณให้” เจซ เอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามารีนดูสีหน้ากังวลเหมือนมีเรื่องที่หนักใจ
“คือ..ขอบคุณมากๆเลยนะคะพี่เจซ ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ” มารีนขอโทษขอโพยทุกคนในห้องด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้งานของตัวเองต้องติดขัดแบบนี้ หลังจากนั้นมารีนก็ถูกพาไปเปลี่ยนชุดทีาห้องแต่งตัวทันที เมื่อหญิงสาวเปลี่ยนเป็นชุดของตัวเองที่ใส่มาวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็รีบออกมาหาคนสนิทของคุณปู่ที่ยืนรออยู่ในสตูดิโอ
“ไปกันเถอะค่ะ” เสียงหวานบอกกล่าวกับวายุก่อนที่พวกเขาจะรีบจำอ้าวออกไปจากห้องนี้และตรงไปยังลานจอดรถอย่างรวดเร็ว
“ยัยคุณหนูมารีนเอาอีกแล้ว คิดจะทำอะไรก็ทำ ใช่สิมีปู่ตัวเองคุ้มกะลาหัวอยู่นิ” เสียงนินทาของคนบางกลุ่มดังขึ้นมาพลางมองตามมารีนที่กำลังเดินออกจากห้องไปด้วยสายตาอิจฉาริษยา พวกเธอคิดว่าที่มารีนมีชื่อเสียงขนาดนี้ก็เพราะความยิ่งใหญ่ของตระกูลเธอมากกว่าความสามารถของเธอ
“ฉันได้ข่าวมาว่าพวกผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงมีแต่คนเกรงกลัวปู่ของคุณมารีนทั้งนั้นเลยนะ” หญิงสาวอีกหนึ่งคนเอ่ย
“แน่นอน..เพราะเหมือนเมื่อก่อนปู่ของยัยนั่นทำเรื่องผิดกฎหมายนะสิ”
“จริงเหรอ”
“ใช่ พ่อแม่ฉันก็พูดต่อๆกันมาอะ”
สองสาวก็ยังคงยืนซุบซิบนินทามารีนอย่างไม่หยุดปากโดยที่ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงหรือไม่จริงมากน้อยแค่ไหน แต่พวกเธอก็เอาเรื่องของมารีนมาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก
มารีนมาถึงโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงโดยมีวายุเดินนำไปยังห้องพักของปู่มารีน วายุเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องพักให้มารีนเดินเข้าไปในห้อง
“คุณปู่ คุณปู่เป็นยังไงบ้างคะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เดินเข้ามาภายในห้อง มารีนกวาดสายตามองรอบห้องก็พบชายแก่นอนอยู่บนเตียงคนไข้โดยมีสายระโยงระยางเต็มตัวไปหมด ข้างๆเตียงของเมธานินท์ก็มีทนายประจำตระกูลยืนถือกระเป๋าหนังสีดำอยู่ด้วยท่าทางสำรวม
มารีนย่างกรายตรงมาหาปู่ที่เตียงอย่างรวดเร็ว มือบางเอื้อมไปจับกุมมือเหี่ยวย่นของชายแก่เอาไว้พลางมองเขาด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่เริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา วายุปิดประตูห้องและก้าวเดินมายืนเงียบๆอยู่ด้านหลังของมารีน
“อาการปู่แย่ลงเรื่อยๆแล้วมะลิ” เมธานินท์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและติดขัดเหมือนเขาหายใจไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่
“มะลิ ฟังปู่นะ ถ้าปู่ไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว หลานห้ามเชื่อใจใครเด็ดขาดนอกจากคนที่ปู่กำลังจะให้หลานได้รู้จักคนนี้” ชายแก่เอ่ยต่อ
“ทำไมละคะคุณปู่” ได้ยินแบบนั้นมารีนก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอไม่เหลือใครแล้ว ชีวิตนี้เธอมีแค่คุณปู่ที่คอยเลี้ยงดูเธอมาเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ที่เธอสูญเสียพ่อแม่ไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงที่เธออายุได้แค่ห้าขวบ
“ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรปู่เลยนะ ปู่มีหลายเรื่องที่ต้องสะสางก่อนที่ปู่จะเป็นอะไรไป”
“อย่าพูดแบบนี้สิคะ”
“ทำใจเถอะนะมะลิ ปู่อายุขนาดนี้แล้ว…แต่ปู่อยากให้หลานจำไว้นะว่านอกจากปู่แล้วหลานจะเชื่อหรือไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากเอลเดด ฟาฟเนอร์” เสียงทุ้มแหบพร่าสั่นเทาพยายามเค้นเสียงออกมาเพื่อบอกกล่าวหลานสาวสุดที่รัก
เมธานินท์ป่วยออดๆแอดๆตามประสาคนแก่มาหลายปีมากแล้ว ทั้งโรคไต ทั้งโรคปอดที่เขาเป็นเรื้อรังมาหลายปีติดจนทำให้ชายแก่ร่างกายทรุดโทรมลงไปทุกวันๆ
“เขาคือใครคะคุณปู่”
“เพื่อนรักเพื่อนตายของปู่เอง” เมธานินท์บอกกล่าวหลานสาวก่อนที่เขาจะหันไปเอ่ยกับคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านหลังมารีน
“วายุโทรหาเอลเดด ฟาฟเนอร์ให้ฉันหน่อย”