ณ คฤหาสน์ของตระกูลฟาฟเนอร์ที่ถูกตกแต่งภายนอกด้วยสไตล์เหมือนดั่งปราสาทแดร็กคูล่าที่มีหลังคาแบบสูง ตราประจำตระกูลของคฤหาสน์คือรูปงูตัวใหญ่กำลังเลื้อยแลบลิ้นสองแฉกออกมาที่ติดอยู่ทั่วทั้งคฤหาสน์ ภายในถูกตกแต่งด้วยของเก่าแก่ที่สะสมเอาไว้ทั้งรูปปั้น ภาพวาดและเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ยิ่งทำให้คฤหาสน์ดูเก่าแก่และมีความน่าเกรงขามมากขึ้น
เอลเดด ฟาฟเนอร์ ชายแก่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของตระกูลฟาฟเนอร์ ซึ่งเป็นตระกูลที่ทำธุรกิจสีเทาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น กาสิโน ผับ ลับลอบขนของข้ามประเทศผิดกฏหมาย จัดงานประมูลภาพวาดและเครื่องเพชรใต้ดิน ด้วยความยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลของตระกูลฟาฟเนอร์จึงทำให้ไม่มีตำรวจหรือใครกล้าที่จะมามีปัญหากับพวกเขา
เอลเดดนั่งจิบชาอยู่ในสวนดอกกุหลาบของคฤหาสน์พลางกวาดสายตามองไปรอบๆชมนกชมไม้ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ เหล่าบรรดาชายชุดดำยืนอยู่รอบคฤหาสน์ทั่วทุกมุมเพื่อคอยคุ้มกันและรับคำสั่งจากเจ้านายกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งภายในคฤหาสน์นี้ก็ตาม แต่พวกเขาก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนเพราะกันไว้ดีกว่าแก้อยู่แล้ว
ในระหว่างที่เอลแดดกำลังนั่งผ่อนคลายอยู่นั้น คนสนิทของชายแก่ก็เดินตรงมาหาเขาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ
“ขออนุญาตครับ นายท่านครับ มีสายด่วนมา..เขาบอกว่าติดต่อมาจากคุณเมธานินท์ครับ”
“เมธานินท์…” เอลแดดบ่นพรึมพรำกับตัวเองอย่างแผ่วเบาพลางวางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะ มือเหี่ยวย่นเอื้อมไปรับโทรศัพท์มากดรับสายอย่างรวดเร็ว
“ว่าไงนะ!! ได้..เดี๋ยวฉันจะรีบไป” เอลเดดคุยกับปลายสายอย่างน้ำเสียงตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ไปเตรียมรถ!” ชายแก่หันไปบอกกล่าวกับชายชุดดำทันทีที่กดวางสายไป เมื่อเอลแดดคุยโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยเขาก็รีบตรงมาหาเมธานินท์ที่โรงพยาบาลทันทีด้วยความรีบร้อน
บอดี้การ์ดร่างกำยำสองคนยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องของเมธานินท์ เมื่อพวกเขาเห็นเอลแดดเดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู พวกเขาก็รีบเปิดประตูให้กับเอลแดดทันที
เอลแดดก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบห้องที่มีทั้งหญิงสาวหน้าตาสวยสะพรั่งยืนอยู่ข้างเตียง เพื่อนรักของเขานอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ภายในห้องยังมีทนายประจำตระกูลสมุทรภาคินและคนสนิทของเมธานินท์ยืนอยู่เงียบๆ
“เกิดอะไรขึ้นเมฆ” เสียงทรงพลังของเอลแดดเอ่ยถามขึ้นมาพลางย่างกรายมาหยุดอยู่ข้างเตียงคนไข้ น้อยคนนักที่จะเรียกเมธานินท์ด้วยชื่อเล่นแบบนี้ทำให้คนสนิทของเมธานินท์รับรู้ได้เลยว่าสองคนนี้ต้องผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมากแน่ๆ
“ก็ป่วยตามประสาคนแก่นั่นแหละเอลแดด ฉันดีใจนะที่ได้เจอนายก่อนที่ฉันจะตาย” เมธานินท์ส่งยิ้มบางๆให้เพื่อนรักเพื่อนตายในสมัยก่อนที่พวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน
“สวัสดีค่ะ” มารีนยกมือขึ้นมาพนมกลางอกและไหว้ทักทายเอลแดดอย่างนอบน้อม ซึ่งชายแก่ก็พยักหน้าตอบรับให้หญิงสาวเบาๆ
“หลานออกไปก่อนนะ ปู่ขอคุยกับเพื่อนปู่ก่อน”
“ค่ะคุณปู่” มารีนตอบกลับเมธานินท์ก่อนที่เธอจะก้มหน้าก้มตาเดินออกจากห้องไปอย่างช้าๆ
“นายมีเงินเยอะแยะทำไมไม่รักษาตัว” เอลแดดเอ่ยถามทันทีเมื่อมารีนออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว
“ฉันรักษาจนไม่รู้จะรักษายังไงแล้ว อายุมากขึ้นทุกวันร่างกายฉันเองก็รับไม่ไหวแล้ว”
ไม่ใช่ว่าเมธานินท์ไม่คิดจะรักษาตัวแต่เขาป่วยมานานหลายปีแล้ว เขาเข้าโรงพยานรักษาตัวจนไม่รู้จะรักษายังไงแล้ว ภายในร่างกายเขาแย่ลงทุกวันจนเขาเองก็รู้ตัวว่าเขาเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว
“เอลเดด..ฉันมีเรื่องอยากจะขอ ถ้าหากว่าฉันไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แกต้องเอาหลานฉันไปเลี้ยงดูด้วยนะ” เมธานินท์เอ่ยถึงจุดประสงค์ของตัวเองให้เพื่อนรักฟัง
“ได้เลยเพื่อน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”
“แต่ต้องในฐานะของคนในตระกูลฟาฟเนอร์เท่านั้น”
“…” เอลแดดนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ๆ
“แกรู้ใช่ไหมว่าถ้าฉันไม่มีชีวิตอยู่แล้วจะไม่มีใครปกป้องคุ้มครองหลานสาวเพียงคนเดียวของฉันได้อีกต่อไป” เมธานินท์เอ่ยอย่างเหนื่อยหอบ ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อ
“ฉันไว้ใจแค่แกคนเดียวเท่านั้น”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลหลานของแกให้เหมือนคนในครอบครัวของฉันเลย” เมื่อได้ยินดังนั้น เอลแดดจึงต้องตกปากรับคำเพื่อนรักไปเสียก่อน ส่วนวิธีการเขาคงต้องไปคิดทบทวนอีกครั้งหนึ่งอย่างถี่ถ้วน
“ฉันให้ทนายเขียนสัญญาฉบับนี้ขึ้นมา” สิ้นเสียงเมธานินท์ ทนายประจำตระกูลก็ก้าวเดินมาใกล้เอลแดดพร้อมกับยื่นกระดาษที่มีลายลักษณ์อักษรให้เอลแดดได้อ่าน ซึ่งชายแก่ก็ไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างตั้งอกตั้งใจ เอกสารฉบับนี้เป็นเหมือนคำมั่นสัญญาให้กับเมธานินท์ว่าถ้าหากวันหนึ่งที่เขาไม่อยู่บนโลกนี้แล้วหลานสาวของเขาจะต้องตกอยู่ในการปกครองของตระกูลฟาฟเนอร์
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อใจแกนะเอลแดด แต่ฉันอยากให้แก้วตาดวงใจของฉันอยู่อย่างปลอดภัยในตอนที่ฉันจากโลกนี้ไปแล้ว” เมธานินท์เอ่ยต่อ
“ไม่เป็นไรเลยเพื่อน ฉันเข้าใจ” เอลแดดเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษใบนั้นพลางจ้องมองหน้าเพื่อนรักด้วยสายตามั่นคงแน่วแน่
“แกช่วยเหลือฉันมาตลอด ฉันก็ต้องตอบแทนอะไรแกบ้าง” เอลแดดพูดต่อ
“ฉันไม่ขออะไรมากมายเลย ขอแค่ดูแลแก้วตาดวงใจของฉันให้ดีที่สุดก็พอ”
“เข้าใจแล้วเพื่อน”
หลังจากนั้นชายแก่ทั้งสองคนก็ได้พูดคุยตกลงกันในเรื่องต่างๆอยู่สักพักใหญ่ มารีนเดินลงไปซื้อกาแฟอยู่ด้านล่างและกลับขึ้นมารออยู่หน้าห้องของคุณปู่ ทว่าเมื่อเธอกลับมาบอดี้การ์ดก็ได้บอกให้เธอเข้าไปได้ห้องได้เลยเพราะว่าเอลแดดกลับไปเมื่อสักครู่นี้