@ 1 เดือนต่อมา
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องนั่งเล่นของคอนโดหรู ตัดกับความเงียบงันและอากาศที่ตึงเครียด ดวงตาของตาเวกวาดมองโทรศัพท์ที่กำลังวางอยู่บนโต๊ะด้วยความรำคาญ ปลายนิ้วกดรับสายพร้อมสีหน้าบึ้งตึง
"ตาเว..แกกับน้องไปถึงไหนแล้ว" น้ำเสียงแม่ดังมาจากโทรศัพท์ แฝงความคาดหวังและกดดันอย่างชัดเจน
"ถึงไหนคืออะไรครับ.." ตาเวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดวงตาไม่สบสายตาใคร ราวกับต้องการตัดบทเรื่องนี้ให้จบๆ ไป
"แกแต่งงานกับน้องจะสองเดือนแล้ว เปิดใจให้น้องบ้างหรือยัง.." น้ำเสียงแม่ยังคงเร่งเร้า ดวงตาของตาเวหลุบต่ำ เหมือนรับรู้ความหนักหน่วงที่ถูกบีบคั้น
"ไม่มีทาง.." คำตอบออกมาอย่างหนักแน่นและแข็งกร้าว
"ทำไม...น้องเป็นคนดี...ทำไมแกไม่ลองเปิดใจให้น้องบ้าง..ฉันมั่นใจว่าแกจะต้องรักน้องเหมือนที่ฉันรัก" เสียงแม่สั่นเครือแต่จริงใจ ปลายสายคงอยากเห็นลูกชายเปลี่ยนใจ
"ผมเกลียดยัยนั่น...ยัยนั่นเป็นลูกคนใช้ แม่เอาลูกคนใช้มายกย่องให้เป็นเมียผม แค่นี้ผมก็รังเกียจจะแย่ จะให้ผมเปิดใจให้ยัยนั่น ไม่มีทาง.." ตาเวพูดออกมาด้วยความรังเกียจในเสียง สายตาแฝงความเย็นชาและดูถูก เหมือนย้ำเตือนตัวเองและแม่ไปพร้อมกัน
"ถ้าแกไม่ยอม...งั้นฉันขอยื่นคำขาด ภายใน 1 ปี แกกับหนูเกลต้องมีหลานให้ฉัน" เสียงแม่เด็ดขาดและไม่มีพื้นที่ให้ถกเถียงอีกต่อไป
"ไม่...ผมไม่มีทางแตะต้องยัยนั่น..." ตาเวตอบกลับเสียงแข็ง ชัดเจนในความไม่ยอมรับ
"ฉันทำพินัยกรรมเอาไว้ ทรัพย์สินทุกอย่าง..แกจะได้รับก็ต่อเมื่อ แกมีลูกที่เกิดจากหนูเกลเท่านั้น ยกเว้นน้องจะเป็นฝ่ายขอหย่ากับแกเอง" คำพูดของแม่ทำให้ตาเวนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาหรี่ลงอย่างไม่พอใจ
"แม่....นี่แม่จะทำเกินไปแล้วนะ..." น้ำเสียงแฝงความไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง
"ก็แล้วแต่แกนะตาเว..." เสียงแม่แผ่วลง เหมือนปล่อยวางแต่ยังคงความเด็ดขาด
เวหารู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด รู้สึกทั้งหงุดหงิด อารมณ์เสีย และถูกกดดันจนแทบหายใจไม่ออก เขาวางสายด้วยความหนักใจ ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้อง หัวใจเต็มไปด้วยความขุ่นมัว ทันทีที่เดินออกมาจากห้อง เขาเห็นเธอนั่งเงียบๆ กินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร ดวงตาของตาเวมองเธอด้วยแววตาที่ผสมไปด้วยความไม่พอใจและสงสัย
"เธอใช่ไหมที่ฟ้องแม่.." เสียงตาเวเรียบแต่แฝงความดุดัน ทำให้บรรยากาศรอบตัวเย็นลงทันที
"เรื่องอะไรคะ.." เธอมองเขาด้วยสายตาที่พยายามสงบนิ่ง แต่ก็มีความกังวลแฝงอยู่
"อย่ามาทำเป็นไม่รู้...เธอนี่มันโกหกหน้าตายจริงๆ" เขาย้ำคำด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ปากกระตุกด้วยความไม่เชื่อใจ
"แล้วมานั่งกินข้าวอะไรตรงนี้..ใช่ที่ของเธอเหรอ....ที่ของเธออยู่โน่น.."
เขาชี้นิ้วไปที่ห้องครัวด้วยท่าทีเหยียดหยาม ดวงตาคมกริบประหนึ่งท้าทาย เธอรีบลุกขึ้น ถือจานข้าวเดินไปนั่งที่โต๊ะในครัวอย่างว่าง่าย แต่แววตาของเธอยังคงระยิบระยับความเศร้า ด้วยมือสั่นเล็กน้อย เธอตักข้าวต้มกุ้งชามร้อนวางตรงหน้าตาเวา
"วันนี้เกลทำข้าวต้มกุ้งของโปรดคุณเวหาด้วยนะคะ" เสียงเธอนุ่มนวล อ่อนโยนแม้ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด
"ใครบอกเธอว่าฉันชอบ.." ตาเวสวนกลับทันที ดวงตาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
"เกลสังเกตเห็นคุณเวหาทานครั้งละสองถ้วยเลยคิดว่าคุณน่าจะชอบค่ะ..ทานก่อนไปเรียนนะคะ..กำลังร้อนๆ พอดีเลย" เธอยกถ้วยข้าวต้มขึ้นช้าๆ วางลงตรงหน้าตาเวาอย่างระมัดระวัง
"ฉันไม่กิน.." เสียงตาเวาแหบพร่า สะบัดถ้วยข้าวต้มออกจากตัวเอง ถ้วยลื่นหลุดมือเธอ หกลวกมือและตกแตกเสียงดังแหลมก้องบนพื้นห้อง
"โอ้ยย...ร้อน...." เธอร้องครางด้วยความเจ็บปวด มือกุมที่โดนข้าวต้มลวกจนแดงก่ำ
"สมน้ำหน้า..เธอเซ้าซี้ฉันเองนะ....และจำเอาไว้ว่าฉันไม่ชอบของที่เธอทำ ฉันรังเกียจทุกอย่างที่เป็นเธอ..อย่าสะเออะมาทำให้ฉันถ้าฉันไม่ได้สั่ง" ตาเวาตะคอกออกมา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความเกรี้ยวกราด ร่างกายเขาสั่นด้วยความไม่พอใจ
เสียงสะอื้นเบาๆ ดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบอันน่าอึดอัด เธอนั่งก้มหน้ารวบรวมเศษถ้วยที่แตก มือแดงปานจะไหม้จากแผลลวก
"เธอนี่มันน่าเบื่อจริงๆ .....เมื่อไหร่จะยอมหย่ากับฉันสักที..." ตาเวาพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเหนื่อยล้า สายตาค่อยๆ เลื่อนหลบ เธอไม่ตอบกลับ แค่เงียบสงบ ท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเหมือนหมอกหนาทึบ
เวหาหันหลังเดินออกจากครัวด้วยท่าทางหงุดหงิด ก่อนจะหยิบกุญแจรถและขับออกไปมหาวิทยาลัยทันที เสียงเครื่องยนต์ทิ้งท้ายความขมขื่นเอาไว้ในอากาศ
@มหาลัย...
อากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความวุ่นวายของเสียงคนพูดคุย และเสียงรองเท้ากระทบพื้นปูน ดวงตาของผมทอดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนสนิทอย่างจากั้ว ใบหน้าผมค่อนข้างเคร่งเครียด สีหน้าแทบจะบอกเล่าความไม่สบอารมณ์ออกมาให้เห็นชัดเจน
"เป็นอะไรว่ะ..หน้าบูดมาเชียว.. : เสียงไอ้จากั้วทักอย่างติดตลก ทว่าผมกลับขมวดคิ้วแน่น
"กูมีเรื่องจะถามพวกมึงหน่อย" น้ำเสียงผมแฝงความจริงจัง ดวงตาจับจ้องเพื่อนทั้งสองอย่างตั้งใจ
"ว่า...." ทั้งจากั้วและมาคาสหันมามองผม พร้อมด้วยท่าทางสงสัยเล็กน้อย
"สมมุติว่ามึงต้องการไล่คนๆ หนึ่งออกจากชีวิต ไม่อยากให้เขามายุ่งเกี่ยวกับมึง..มึงจะทำยังงัยว่ะ..." ผมพูดออกไปอย่างนิ่งขรึม ดวงตาแข็งกร้าว ความรู้สึกขุ่นมัวแผ่ซ่านในแววตา
"ผู้หญิง? : มาคาส" มาคาสถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย
"เออ..." ผมพยักหน้าเบา ๆ แน่นิ่งราวกับตั้งใจย้ำคำถาม
"ถ้าเป็นกูนะบอกดีๆ ไม่ยอมไป กูจะใช้ไม้แข็ง....จัดการแม่งเลย : จากั้ว" จากั้วตอบทันที พร้อมกับท่าทางกระตือรือร้น แววตาแฝงความมั่นใจและไม่แคร์
"โหดว่ะ.. : มาคาส" มาคาสขมวดคิ้วเบาๆ
"พวกมึงกูซีเรียส" ผมย้ำเสียงหนัก แนวคิดผมจริงจังกว่าที่เห็น
"มันก็ต้องแล้วแต่มึงดิว่ะ...คนๆ นั่นเป็นคนแบบไหนก็ต้องจัดการแบบนั้นแหละ " จากั้วพูดเสียงนิ่งลง พลางสบตาผมอย่างจริงจัง
"โว้ะ..ปรึกษาพวกมึงนิไม่ได้เรื่องเลย" ผมถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้ และสะบัดหน้าไปมา
@ โรงอาหาร มหาวิทยาลัย
บรรยากาศในโรงอาหารเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและกลิ่นอาหาร ผมหันไปหาเพื่อนอีกครั้ง ท่าทางผ่อนคลายลงเล็กน้อย
"พวกมึงเดี๋ยวกูมานะ : มาคาส" มาคาสพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
"ไปไหนว่ะ"
"ไปทักคนรู้จักแป๊บ : มาคาสตอบด้วยท่าทางลวก ๆ แต่แววตาของเขาดูมีแผนบางอย่าง
ผมมองตามเขาไปด้วยความไม่แน่ใจ มาคาสเดินไปหายัยคนใช้ แล้วพูดคุยสักพัก ยัยนั่นก้มหัวให้ แล้วเดินถือจานข้าวมาทางผม ผมจึงใช้เท้ายื่นออกไปขัดขายัยนั่น จนเธอสะดุดล้มลงไปกับพื้น ข้าวราดแกงที่ถือมาหกเลอะเทอะเปื้อนชุดนักศึกษาของเธอทันที นักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้นนั่งหัวเราะเยาะเธอ..ส่วนเธอก็พยายามลุกขึ้น สีหน้ายัยนั่นดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก จนกระทั่งไอ้มาคาสมาพยุงตัวเธอขึ้น
"เป็นอะไรไหมครับ ลุกขึ้นก่อน : มาคาส" เขาพูดอย่างใจเย็นและอ่อนโยน ท่าทางแตกต่างจากผมอย่างสิ้นเชิง
"ไม่เป็นไรค่ะ...ขอบคุณค่ะ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแต่สุภาพ ดวงตาสะท้อนความอ่อนล้า
"ตัวคุณเปื้อนหมดเลยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหมครับ.." มาคาสเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
"เดี๋ยวเกลกลับไปเปลี่ยนที่บ้านดีกว่าค่ะ เกลไม่มีชุด" เธอตอบกลับ ก่อนจะก้มหัวขอบคุณ
"งั้นเอาเสื้อผมคลุมไปก่อนนะครับ : มาคาส" มาคาสยื่นเสื้อคลุมให้เธอด้วยความเอื้อเฟื้อ เธอก้มหัวขอบคุณอีกครั้ง แล้วหันมามองผมอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
"มองทำไม...ซุ่มซ่ามเอง" ผมสวนกลับอย่างไม่แยแส สายตาเย็นชาปนเหน็บแนม เธอไม่ตอบอะไร แค่เดินออกไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งผมไว้กับความคิดที่บีบรัดใจ
"ทนได้ก็ทนไป..นี่แค่จุดเริ่มต้น หึ...." ผมพึมพำในใจด้วยเสียงต่ำ เย็นชา และเต็มไปด้วยความมั่นใจในแผนของตัวเอง