ณ ชานเมืองผิงทิศทางตะวันออกของแคว้นหนาน ที่นี่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่พอสมควร เพราะอยู่ห่างเมืองหลวงแค่เพียงครึ่งวันเท่านั้น ทว่าต้องควบม้ามาจึงจะถึงได้ไวเช่นนี้ หากนั่งรถม้าก็ต้องใช้เวลาเกือบวันจึงจะถึงตัวเมือง
และที่นี่ก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของ ‘มู่ตันหยง’ บุตรสาวคนรองของโหราจารย์มู่ซางฉี ทว่ายามนี้นางแต่งให้ฟู่อินโหวไปแล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนจึงมีแค่น้องสาวคนเล็ก
นามว่า ‘มู่ตันหยาง’
ส่วนพี่ชายคนโตนามว่า ‘มู่ตานชุย’ นาน ๆ จึงจะได้กลับมาที เพราะเขาประจำการอยู่ที่ค่ายเสียมากกว่า
จึงทำให้น้องสาวคนเล็กอย่างมู่ตันหยางจำต้องพักอาศัยอยู่เพียงลำพัง ไร้ซึ่งญาติพี่น้องคอยอยู่เคียงข้าง ส่วนบิดาก็ต้องประจำอยู่ในวังหลวงตามหน้าที่ แม้มู่ซางฉีจะร้องขอให้นางไปอยู่ด้วย ทว่ามู่ตันหยางกลับไม่พึงปรารถนาที่จะติดตามไป
เพราะนางไม่ชอบความวุ่นวายของเมืองหลวง…
ยิ่งไปกว่านั้น มู่ตันหยางยังมีหน้าที่ต้องดูแลสำนักคุ้มภัยของท่านปู่ และบริวารนับร้อยที่ยังคงพึ่งใบบุญตระกูลมู่อยู่ นางจึงไม่อาจทอดทิ้งสถานะประมุขสำนักคุ้มภัยนี้ไปได้
ทว่าวันนี้นางจำต้องจากที่นี่ไปแล้ว…
“คุณหนู พวกเราขอให้ท่านมีความสุขมาก ๆ นะขอรับ” เสียงอวยพรดังขึ้นทันทีที่หญิงสาวในชุดแดงถูกพาตัวออกมาจากห้อง คนเหล่านี้ล้วนแต่พร้อมใจกันมาส่งผู้เป็นนาย
“ข้าฝากทุกคนดูแลที่นี่ให้ดีอย่าลืมที่ข้ากำชับเอาไว้เข้าใจหรือไม่” เสียงออกคำสั่งยังคงเด็ดขาดเช่นเคย
“ขอรับ!!”
“ไปเถิด ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ยาม” เสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างกาย จากนั้นเขาก็เดินมาด้านหน้าแล้วย่อตัวลง เจ้าสาวจึงโน้มตัวลงไปหาพร้อมกับโอบรอบคอพี่ชายไว้
“พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากแต่งให้คนผู้นั้น”
ร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเสียงเศร้าสร้อยของน้องสาวคนสุดท้อง “น้องเล็ก เราไม่อาจขัดพระประสงค์จากเบื้องบนได้ สกุลมู่คือข้าราชบริพารของราชวงศ์ ฝ่าบาทรับสั่งมาเช่นไร เราก็จำต้องทำตามมิอาจขัดได้” มู่ตานชุยบอกเหตุผล พร้อมกับก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างมั่นคง แม้ในใจจะหวาดหวั่น
ตันหยางได้แต่นิ่งเงียบ เพราะสิ่งที่พี่ชายกล่าวมันล้วนแต่จริงทั้งนั้น สตรีสกุลมู่ล้วนแต่ถูกกำหนดคู่ครองเอาไว้แล้ว
“ทำไมต้องเป็นข้า ไยเบื้องบนไม่หาหญิงอื่นแต่งกับเขา ข้าคู่ควรเสียที่ไหน” ตันหยางยังบ่นพึมพำข้างหูพี่ชาย
“ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว น้องเล็กอย่าลืมว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตระกูลมู่คือส่วนหนึ่งของราชวงศ์ เราคือฐานอำนาจที่ฝ่าบาททรงวางเอาไว้จำไม่ได้หรือ” ตานชุยย้ำหน้าที่ให้นางฟังอีกหน เพราะเหมือนน้องสาวเขาจะลืมไปแล้ว
แต่เปล่าเลย… ตันหยางนางจำได้ดี ตระกูลมู่คือหมากตัวหนึ่งของราชวงศ์นี้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเลยก็ว่าได้
พี่สาวต้องแต่งให้ฟู่อินโหวก็เพราะคนผู้นี้คือเครือญาติของไทเฮา จากนั้นก็เป็นนางที่ต้องแต่งเข้าวัง เพื่อเสริมรากฐานให้ราชวงศ์นี้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ด้วยว่าพี่ชายนางคือแม่ทัพภาค และอีกไม่นานคงได้เป็นแม่ทัพใหญ่กุมอำนาจทั้งสี่ทิศ
ตามพระประสงค์ของฮ่องเต้และไทเฮาที่ปูทางเอาไว้
หากจะโทษคงต้องโทษที่พวกนางเกิดใหม่ในร่างของสตรีที่ถูกเลือกไว้แล้วกระมัง นึกแล้วตันหยางก็ทอดถอนใจ ‘ทำไมชีวิตตัวประกอบอย่างเรา ถึงได้แต่งกับคนสูงศักดิ์อย่างรัชทายาทกันนะ เห้อ! ชีวิตอันแสนสุขของฉัน จบสิ้นลงแล้วสินะ’
ตันหยางนึกคิดจนเหม่อ กระทั่งเสียงของพี่สาวดังขึ้น
“น้องเล็ก เจ้าต้องระมัดระวังนะ อย่าทำอันใดหุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด” ตันหยงเอ่ยเตือนอย่างเป็นกังวล เพราะนางรู้ดีว่าน้องสาวมิใช่สตรีที่เพรียบพร้อมเรื่องกิริยามารยาท
“ข้ารู้น่าท่านพี่ แล้วท่านพ่อเล่า”
“รออยู่ด้านหน้า” ตันหยงเอ่ยบอก พร้อมกับก้าวเดินตามพี่ชายไปจนถึงหน้าประตู ซึ่งมีบิดายืนรอด้วยแววตาสั่นไหว
มู่ซางฉีรู้ดีว่าบุตรสาวรักอิสระมาก ทว่าวันนี้นางกลับต้องแต่งให้รัชทายาทและเข้าไปอยู่ในวัง ถูกจำกัดบริเวณเหมือนนกในกรงทอง ไม่อาจทำตามใจได้อีกต่อไป
เพียงแค่คิด หัวใจคนเป็นพ่อก็ปวดร้าวเสียแล้ว
“หยางเอ๋อร์” เสียงเครือของท่านโหราจารย์เปล่งออกมาได้เพียงเท่านั้น เพราะคำพูดมันได้จุกอยู่ที่คอจนเอื้อนเอ่ยไม่ออก
“ท่านพ่อ ลูกก็แค่แต่งงานมิได้ตายจากไปนะเจ้าคะ ท่านเข้าวังก็ได้พบลูกแล้ว” เสียงใส่ของตันหยางเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นมือออกมาเกลี่ยแก้มสากของบิดาอย่างอ่อนโยน
“พ่อขอโทษนะลูก ทำเจ้าลำบากแล้ว”
“ท่านพ่ออย่าได้ตำหนิตนเองเลยนะเจ้าคะ ลูกรับมือได้” ตันหยางเอ่ยบอกให้บิดาเบาใจ ภายใต้ผ้าคลุมใบหน้านี้ยังคงยิ้ม
จากนั้นนางก็ถูกพาขึ้นเกี้ยวเพื่อเดินทางเข้าวังไปทำพิธีตามกฏมณเฑียรบาล ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่มารอชม เพราะนี่คือการอภิเษกครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์
หนึ่งชั่วยามต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกในวัง
ณ ตำหนักบูรพา
ภายในห้องบรรทมอันใหญ่โต ร่างสูงสง่ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เพราะในใจเขาว้าวุ่นเหลือคณานับ
“รัชทายาท จะไม่ไปเข้าหอกับพระชายาจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาททราบจะทรงกริ้วเอานะพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงเอ่ยเตือนผู้เป็นนาย ถึงหน้าที่ที่รัชทายาทพึงกระทำ
“ข้าทำไม่ลง” จิ่นหรงเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา
“ทะ… ทำไม่ลงอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความมึนงง เพราะคำตอบฟังดูประหลาดนัก
“ข้าก็บอกไม่ถูก ข้าไม่อยากร่วมหอกับนาง” จิ่นหรงเอ่ยบอกไปตามจริง เขาไม่อยากเข้าใกล้ชายาของตน
มิใช่ว่ารังเกียจ แต่เป็นเพราะใจเขามีสตรีนางหนึ่งอยู่แล้ว นั่นคือหญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน ทว่าจนถึงยามนี้เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่านางคือใคร
“ทรงคิดถึงสตรีที่ช่วยพระองค์ไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ เพราะตั้งแต่กลับมาผู้เป็นนายก็ดูเหม่อลอยตลอด
“อืม” คำตอบช่างสั้นนัก
“คนไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ สตรีที่ช่วยเราไว้มีสองคนมิใช่หรือ” อี้ฟานยังคงตั้งคำถามในสิ่งที่เขายังไม่กระจ่างใจ
“เจ้านี่มันโง่นัก” จินเฉิงหันมาตำหนิสหายทันที “จะเป็นแม่นางหยาบกร้านผู้นั้นไปได้เยี่ยงไร ย่อมต้องเป็นสตรีเรียบร้อยดุจผ้าพับไว้น่ะสิ กิริยามารยาทก็สุขุม ข้าได้ยินว่านางเฝ้ารัชทายาททั้งคืนในตอนที่บาดเจ็บหนัก ไม่มีทางเป็นสตรีที่คอยแต่จะจับบุรุษแก้ผ้าผู้นั้นแน่” ประโยคท้ายองครักษ์เน้นเสียงหนัก
“ก็จริงของเจ้า ตัวเลือกมีแค่หนึ่งเดียวจริง ๆ” อี้ฟานยิ้มแหย เมื่อนึกถึงกิริยาของสตรีอีกนางที่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป
จิ่นหรงยืนนิ่งฟังคนสนิทพูดกันไปเรื่อย ในใจก็ยังคงนึกถึงร่างอรชรที่ตนตื่นขึ้นมาพบเป็นคนแรกในช่วงที่บาดเจ็บ นางดูแลเขาอย่างดี ต่างจากสตรีอีกคนที่มาถึงก็ถอดเปลื้องอาภรณ์เขาออก ปากก็บอกว่าจะรักษาดูบาดแผลให้ แต่สายตากลับโลมเลียร่างกายเขาอย่างชัดเจน ราวกับคนหิวกระหายก็มิปาน
หากยามนั้นคนสนิททั้งสองไม่สลบเพราะพิษไข้ไปสองวัน นางคงไม่มีโอกาสได้จับต้องร่างกายเขาในช่วงนั้น
แต่ถ้าเป็นสตรีอีกคนยอมทำแผลใส่ยาให้ เขาก็คงไม่นึกหงุดหงิด เพราะนางดูเป็นคนดีมีมารยาท ต่างจากสตรีที่ใส่ยาให้
จิ่นหรงยืนครุ่นคิดอยู่นาน กระทั่งเสียงด้านนอกดังขึ้น
“รัชทายาทได้เวลาดื่มสุรามงคลแล้ว เชิญเสด็จเพคะ”
สองคนสนิทหันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาผู้เป็นนายที่ยืนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“หลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ” เสียงพึมพำเปล่งออกมา
“ไปพบหน้านางก่อนก็น่าจะไม่เป็นไรกระมังพ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่นางอาจจะเป็นสตรีที่เคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้ก็ได้”
“อี้ฟาน! เจ้าอ่านบทละครมากไปจนคิดว่านี่คืองิ้วที่เจ้าเคยดูมาหรือ” จินเฉิงตำหนิเสียงดัง
“ข้าก็แค่ปลอบรัชทายาทก็เท่านั้น” อี้ฟานยิ้มแหย
“พอแล้ว! อย่าได้มาทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระ ข้าจะไปพบนางและจะทำข้อตกลงกัน” สิ้นคำร่างสูงก็เดินออกจากห้อง ตรงไปยังตำหนักอีกหลังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
แต่กว่าจะเดินไปถึงก็ต้องผ่านบึงบัวและสวนแมกไม้อันโอ่อ่าใหญ่โต ตามฐานะรัชทายาทของแคว้น
เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนัก เขาก็หยุดสูดลมหายใจ พอดีที่ประตูนั้นเปิดออก เผยร่างชายหนุ่มสองคนเดินออกมา
“นี่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” ต่างฝ่ายต่างก็ทักทายด้วยถ้อยคำที่คล้ายกัน คนสนิทรัชทายาทจึงเอ่ยขึ้นก่อน
“บังอาจ! นี่รัชทายาทจิ่นหรง พบพระพักตร์แล้วเหตุใดไม่ทำความเคารพ” จินเฉิงคำรามใส่ชายหนุ่มทั้งสอง
“ระ…รัชทายาทหรือ” หานฟู่ยังคงมึนงง จนสหายอีกคนต้องรีบดึงให้เขาคุกเข่าลงเพื่อลดการลงโทษที่อาจจะเกิดขึ้น
“ลุกขึ้นเถิด คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด” จิ่นหรงกล่าวเสียงอ่อน
‘สองคนนี้มาอยู่ที่นี่ เช่นนั้นด้านในก็’ ใจที่เคยว้าวุ่นเต็มไปด้วยความกังวล บัดนี้กลับเต้นแรงเพราะความหวังที่ประดังเข้ามา เพียงเท่านั้นสองขาเขาก็รีบก้าวเข้าไปอย่างมั่นคง