ที่รู้เรื่องราวของอีกฝ่ายดีเพราะเราต้องอยู่บ้านเดียวกัน อีกอย่างในอดีตเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่จำความได้จนเมื่อต้องมาเรียนในช่วงชั้นมหาวิทยาลัยอะไรหลายอย่างก็เปลี่ยนไป
เราทั้งคู่ถูกกำหนดจากผู้ใหญ่ให้ต้องเรียนที่มหา’ ลัยเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกันและอยู่ห่างจากที่เรียนไม่กี่กิโล ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีในการใช้ชีวิตและประหยัดเงินสำหรับฉัน
และแล้วมันก็มีเรื่องไม่ดีที่สุดเกิดขึ้น…
เมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์ด้วยกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้แจ้งให้รู้ว่าแท้จริงเราไม่ใช่เพียงแค่เพื่อนธรรมดาทั่วไป แต่ถูกวางตัวให้หมั้นหมายเอาไว้ตั้งแต่เด็กมาตั้งแต่แรก เรื่องการจับหมั้นยังคงมีอยู่ในสังคมสมัยนี้และไม่ใช่แค่ตัวเองหรอกที่ต้องพบเจอ
ฉันยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนเดิมหลังจากได้รับรู้เรื่องหมั้น ถึงอีกฝ่ายที่แสดงความเย็นชาใส่ไม่พูดด้วยถ้าไม่จำเป็น มันจึงส่งผลให้ฉันต้องถอยห่างออกมาในช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมา
จากเพื่อนวัยเยาว์ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นคู่หมั้น นั่นเป็นจุดที่ทำให้ฉันกับเจ้าสมุทรห่างเหินกันไปอย่างไม่มีสัญญาณเตือน ความเป็นเพื่อนสิ้นสุดลงไม่เหลือแม้แต่ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เว้นระยะห่างระหว่างเราจนผลสุดท้ายก็ห่างกันไปในที่สุด...
เรา 2 คนใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเดียวกันแต่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเราแม้ว่าฉันจะเคยถูกเห็นว่าเข้าออกบ้านหลังนี้ ข่าวในช่วงนั้นก็ดังไปทั่วมหาวิทยาลัยจึงแก้ข่าวว่าตัวเองเป็น ‘ลูกสาวแม่บ้าน’ ที่มาช่วยงานทำความสะอาดและทุกคนก็เชื่อแบบนั้น จนตอนนี้มันเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครให้ความสงสัยอีกต่อไป
สภาพฉันก็น่าเชื่ออยู่หรอก เหมาะกับการเป็นแม่บ้านมากกว่าคู่หมั้นของเจ้าสมุทรอยู่แล้ว...
“ก็บอกว่าวันนี้ไม่มีเรียนทำไมต้องไปรับกลับเองได้อยู่แล้วบ้านอยู่ใกล้แค่นี้ แล้วใจ๋บอกว่าไม่ต้องไปรับจะกลับเอง” เสียงทุ้มตอบกลับหญิงสาวในสายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แล้วคำพูดว่าฉันบอกนั่นน่ะ เมื่อวานเรายังไม่ได้คุยอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ...
ดวงตากลมจ้องมองแผ่นหลังของเจ้าสมุทรอยู่เงียบ ๆ เช่นนั้น ในมือของเขายกโทรศัพท์ขึ้นในระดับที่ทำให้เห็นใบหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของผู้หญิงเจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้ปรากฏอยู่บนหน้าจอ และจากระยะการหันกล้องหน้าส่องเลยหลังมาอย่างไม่ใส่ใจ มันทำให้จับภาพมาที่ฉันได้อย่างพอดีเหมาะเจาะ
(เดี๋ยวแม่จะถามใจ๋นะสมุทร อุ๊ย! หวานใจ๋ลูกสาวแม่ ~)
เสียงสนทนากับลูกชายในตอนแรกนั้นก็เรียกชื่อฉันขึ้นมาเสียงดังลั่น ทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งด้วยความตกใจแต่จะก้าวขาเดินหนีก็คงไม่ทันแล้ว ซึ่งจังหวะเดียวกันนั้นเจ้าสมุทรได้หันกลับมามองทางฉันด้วยเช่นเดียวกัน
ดวงตาสีน้ำตาลเรียบเฉยจ้องมองมาทำเย็นสันหลังวาบ ความนิ่ง ความเย็นชาที่ได้รับทำให้เราเหมือนกับคนแปลกหน้าของกันและกันทั้งที่ในอดีตสนิทกันมาก่อนขนาดนั้น
“....” ไปทางไหนดีหวานใจหรือควรจะวิ่งหนีไปจากตรงนี้เลยให้มันจบ ๆ ไปดี!
(ใจ๋ ~) เสียงเรียกของคุณป้าลดาแม่ของเจ้าสมุทรเรียกชื่อฉันซ้ำ และนั่นทำให้ตัวเองไร้ทางหนีทำได้เพียงแค่เดินตรงไปตามเสียงเรียกอย่างจำใจ
“สวัสดีค่ะคุณป้า” สองมือยกขึ้นไหว้คุณแม่ของเจ้าสมุทรที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือ
(คุณแม่ค่ะ ~ ต้องเรียกว่าคุณแม่นะคะบอกแล้วไง) ทั้งที่ฉันเรียกว่าคุณป้ามาตั้งแต่เด็กจนโตแต่เมื่อความจริงเรื่องการหมั้นกับลูกชายถูกเปิดเผยออกมา คุณป้าลดาก็ไม่ยอมให้ฉันเรียกแบบเดิมอีกต่อไปถึงแม้บางครั้งจะมีหลุดปากออกไปบ้างก็ตาม
“ค่ะ คุณแม่” แล้วฉันทำอะไรได้บ้างนอกจากต้องว่ากันไปตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ แม้จะถูกสายตาดุของเจ้าสมุทรจ้องหน้าอยู่ก็ต้องทำเป็นไม่เห็นมันไปซะ
“แค่นี้นะแม่หิวข้าวแล้วจะไปกินข้าว”
(นี่สมุทร ติ๊ด!) เจ้าสมุทรพูดตัดบทหลังจากที่ฉันพูดจบในทันที หันหน้าจอโทรศัพท์หนีกดวางไปอย่างไม่สนใจเสียงของแม่ตัวเอง
กล้าหาญมาก...
แบบนี้ก็ดีแล้วแหละฉันจะได้ไปจากตรงนี้สักที
ร่างบางหมุนตัวหันหลังให้ผู้ชายที่นั่งอยู่เพื่อจะพาตัวเองกลับขึ้นห้องนอน แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะก้าวเท้าเดินเสียงของบุคคลที่นั่งอยู่ก็ดังขึ้น
“เดี๋ยว...”
“....” เมื่อหันกลับมาก็คงไม่พูดอะไรทำเพียงเงียบและรอฟังในสิ่งที่เจ้าสมุทรจะพูด
“วันนี้จะมีคนมากินเหล้าที่บ้าน อย่าลงมา” คำสั่งของเจ้าสมุทรฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนเขาจะมากันที่นี่แต่ก็ไม่ได้มาบ่อยที่ขนาดจะสนิทกับฉันและรู้เรื่องของเราลึก สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือเก็บตัวอยู่ในห้องนอนของตัวเองอย่าออกมาเพ่นพ่านให้ใครเห็นในยามดึก เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจว่าฉันนอนค้างอยู่ที่นี่
ทั้งที่ความจริงฉันก็นอนค้างและอยู่ที่บ้านหลังนี้จริง ๆ ก็ตาม
ปิ๊งป่อง ~
เสียงออดจากหน้าบ้านดังก้องสะท้อนขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของเรา ดึงความสนใจให้ฉันหันกลับไปมองตามเสียงแล้วจึงหันกลับมาสบตากับเจ้าสมุทรอีกครั้ง และก็จะเจอสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมาราวกับกำลังบอกให้ฉันเป็นคนเดินไปเปิดประตูสิ
ต้องทำตัวให้สมกับที่เป็นลูกสาวแม่บ้าน…
กระเป๋าถือในมือถูกวางลงบนโซฟา จากนั้นก็เดินออกไปเปิดประตูบ้านต้อนรับแขกที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร วินาทีที่ประตูเปิดออกสบสายตาเข้าดวงตาคมและใบหน้าหล่อคมคายของ ‘จอมทัพ’
หนุ่มหล่อสุดฮ็อตตัวตึงอีกคนหนึ่งแห่งวิศวะโยธา จอมทัพผู้ขึ้นชื่อเรื่องความนิ่งพูดน้อยแต่ดูไม่ใจร้ายน่ากลัวแบบเจ้าสมุทรเลยสักนิดแต่เรื่องหนึ่งที่ไม่ค้านสายตาระหว่างผู้ชาย 2 คนนี้ก็คือความหล่อ
“ไง”
เสียงทักทายของคนตัวสูงที่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในบ้าน รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าหล่อตามมารยาททำให้ฉันส่งยิ้มกลับไปให้เขาเช่นเดียวกัน ถ้าเป็นคนนี้ไม่มีอะไรที่น่าตกใจเพราะจอมทัพอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันและอยู่บ้านข้างเรือนเคียงกับพวกเรา
“ไอ้ทัพ” และรอยยิ้มการทักของฉันกับจอมทัพต้องสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้น เพราะเสียงเรียกของเจ้าสมุทรดังขึ้นดึงความสนใจสายตาของเจ้าของชื่อให้หันไปมองตามเสียง
ฉันเองก็หันไปมองจึงพบกับคนตัวสูงที่ออกมายืนอยู่หน้าห้องนั่งเล่น ทีแบบนี้ล่ะเดินออกมาเองได้แล้วทำไมไม่เดินออกมาเปิดประตูให้เพื่อนตัวเองล่ะ
แล้วมาทำตาดุใส่ฉันอีกนะ...ดุเป็นบ้าเลยคนอะไรก็ไม่รู้