ท่านอ๋องเดินตามพระชายามาถึงด้านหลังอาราม นางกำลังคุยกับเจ้าอาวาสที่กำลังแนะนำสถานที่ในวัดให้โดยละเอียดและเจ้าอาวาสก็กำลังเดินกลับเข้าไปในอาราม
แม้ว่ากิริยาที่นางพูดกับเมิ่งลี่ถิงนั้นจะดูไม่ค่อยให้เกียรติอีกฝ่ายเท่าใดแต่นางกลับมีท่าทางนอบน้อมกับเจ้าอาวาส ซึ่งท่านอ๋องพอจะเข้าพระทัยแล้วว่านางคงเลือกปฏิบัติจากท่าทางของอีกฝ่ายเป็นแน่
“พระชายา กลับได้แล้วล่ะ”
“แขกของพระองค์เล่าเพคะ"
“นางกลับไปแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งข้าก็มิได้เชื้อเชิญนางมา ดังนั้นจะเรียกว่าแขกคงจะไม่ได้”
“เช่นนั้นคงต้องเรียกว่าสตรีในพระทัยมากกว่าสินะเพคะ”
“ฟู่ซิ่วอิง นี่เจ้าไม่พอใจงั้นหรือ”
“พระองค์ตรัสว่าจะกลับแล้วมิใช่หรือเพคะ”
“หากว่าเจ้าแสดงท่าทีเช่นนี้ข้าเองก็คงคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเจ้ากำลังแสดงอาการหึงหวงข้าอยู่”
“พูดเหลวไหล!!…..…ทรงตรัสอะไรเพคะหม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายเท่านั้น หากว่าคืนนั้นไม่เกิดเรื่อง….ช่างมันเถิดเพคะ”
ฟู่ซิ่วอิงยังคิดถึงเรื่องครั้งก่อนตอนงานเลี้ยงที่ตนเองต้องสูญเสียพรหมจรรย์ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดนั่น คืนแห่งความอัปยศนั่นทำให้นางรู้สึกอับอายเป็นที่สุด
หากว่าเขามิใช่ท่านอ๋องนางคงเลือกที่จะปลิดชีพตนเองเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ผู้เป็นบิดาก็ป้องกันนางทุกทางเพื่อมิให้ทำเรื่องนี้ได้
“นี่เจ้า…ยังคิดถึงเรื่องคืนนั้นอยู่อีกงั้นหรือ”
“หม่อมฉันไม่อยากเอ่ยถึงอีก รีบกลับกันเถิดเพคะตกเย็นทางบนเขามืดและหนาวจะเดินทางลำบาก”
ท่านอ๋องเพียงแค่เดินตามนางไปที่รถม้าอย่างเงียบ ๆ เท่านั้นพร้อมกับคิดตามที่พูดไปเมื่อครู่ เรื่องนี้แม้ว่าจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดซึ่งจำได้ว่าในคืนนั้นเขาโกรธมากจนอยากจะฆ่านางให้ตายคาห้องนั้นเสียตอนนั้นเลยเขาจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีก แต่มาในยามนี้เขากลับนึกขอบคุณเหตุการณ์ในคืนนั้นอย่างน่าแปลกใจ
“ข้าช่วยนะ”
เขาจับมือนางเพื่อพาเดินขึ้นรถม้า ซิ่วอิงหันมาและยอมให้เขาจับมือเดินขึ้นไปแต่โดยดี
“ขอบพระทัยเพคะ”
แต่น้ำเสียงยังคงเรียบเฉยราวกับไม่พอใจกับบางสิ่งซึ่งก่อนหน้านี้นางมิได้ใช้น้ำเสียงนี้กับเขา เมื่อขึ้นรถม้าได้ฟู่ซิ่วอิงก็เดินเข้าไปนั่งด้านในและหันหน้าออกไปมองด้านนอกโดยไม่สนใจท่านอ๋อง
“เจ้าอยากจะแวะเดินเที่ยวที่ใดหรือไม่”
“ไม่เพคะ รีบกลับเถิดเพคะหม่อมฉันรู้สึกเหนื่อยแล้วอยากนอนพักแล้ว”
“งั้นหรือ คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะเหนื่อยง่ายเช่นนี้ ดูท่าแล้วคงต้องให้หมัวมัวบำรุงเจ้ามากขึ้นเสียแล้ว”
“ไม่ต้องหรอกเพคะหม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกเพลียเท่านั้น เพียงแค่ได้นอนพักก็หายดีแล้วเพคะ”
“เหตุใดเจ้าจึงทำท่าทีเช่นนี้ ตอนก่อนที่จะมาที่อารามแห่งนี้ยังดี ๆ อยู่เลยนี่ หรือว่า…”
“หม่อมฉันของีบสักหน่อยนะเพคะ”
“…”
ท่านอ๋องมิอาจเอ่ยสิ่งใดอีกเมื่ออีกฝ่ายหนีโดยการหลับตาและพิงศีรษะไปยังเบาะด้านในรถม้าเพื่อตัดจบบทสนทนาเสียดื้อ ๆ เช่นนี้ รถม้ายังแล่นต่อจนถึงหน้าตำหนักเมื่อเห็นว่านางยังไม่ตื่นเขาก็ไม่รบกวนนาง
“ท่านอ๋อง….”
“ข้าจัดการเองเจ้าเปิดประตู”
ท่านอ๋องเพียงหันไปบอกเสี่ยวหมิงเบา ๆ เพราะเกรงว่านางจะตื่น เขาจับตัวนางให้นั่งพิงไหล่มาเพื่อจะได้ให้นางนอนสบายหน่อยโดยที่นางไม่รู้ตัวเพราะคิดว่านางคงเหนื่อยล้าจริง ๆ ถึงได้หลับไปแทบจะทันทีที่ขึ้นรถม้า
แต่เมื่อหันกลับมาอีกครั้งเพื่อจะช้อนตัวอุ้มนางก็เห็นว่าคนข้าง ๆ ตื่นขึ้นมาและดันตัวเองออกไปจากอกเขาทันที
“ไม่ต้องเพคะ หม่อมฉันเดินลงเองได้เพคะ”
“เอ่อ….ข้าทำให้เจ้าตื่นงั้นหรือ”
นางเดินนำท่านอ๋องลงไปโดยมิได้รอให้เขาลงก่อน เสี่ยวหมิงทำหน้าที่รับนางลงจากรถม้าแทนท่านอ๋อง เมื่อลงไปได้ซิ่วอิงก็ขอบคุณเสี่ยวหมิงและเดินเข้าไปด้านในตำหนักอย่างรวดเร็วโดยมิได้หันกลับมามองพระสวามีที่ทำหน้าฉงนอยู่ที่รถม้ากับองครักษ์ส่วนพระองค์
“นี่นาง….ไม่พอใจอะไรข้าล่ะนี่ ข้าก็มิได้ทำสิ่งใดผิดมิใช่หรือ”
“ท่านอ๋อง…หรือว่าพระชายาจะหึงพ่ะย่ะค่ะ”
“หึง!! แต่ข้าถามนางแล้วนางบอกมิได้หึงและไม่ได้คิดอะไรเช่นนั้น และข้าก็อธิบายไปแล้วว่าข้ามิได้เชิญนางมา ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพูดด้วยซ้ำแล้ว…ช่างเถอะ เจ้าให้คนไปสืบเรื่องคนร้ายหรือยัง”
“ส่งคนของเรากระจายตามจวนขุนนางใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะแต่ยังไม่มีข่าวส่งกลับมา อีกเรื่องหนึ่งเมื่อช่วงสายของวันนี้ สาวใช้ของพระชายาส่งบางอย่างกลับไปที่สกุลฟู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งของกลับไปงั้นหรือ หรือจะเป็นผ้าแพรผืนนั้น”
“สิ่งของไม่มั่นใจพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าคนของเราติดตามไปจนทราบว่าของนั้นถูกส่งไปที่สกุลฟู่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรอีกไม่กี่วันก็ต้องไปที่นั่น เอาไว้ค่อยสืบหาต่อจากนั้น สกุลฟู่เป็นตระกูลแม่ทัพการจะส่งคนเข้าไปคงไม่ง่ายนักอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเป็นอันขาด ที่มาที่ไปของพระชายาก็ยังไม่ชัดเจน หากนางมีจุดประสงค์อื่น…ข้าก็จำเป็นต้องกำจัดนางเช่นกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เขาเกือบลืมนึกถึงจุดประสงค์ของเรื่องนี้ไปเมื่อเอาอารมณ์ไปจับกับการกระทำของบุตรีแม่ทัพใหญ่สกุลฟู่ผู้นี้ ตั้งแต่เขาก้าวเข้าหลิงโจวได้เพียงสามวันก็เกิดเรื่องในงานเลี้ยงต้อนรับและได้ร่วมเตียงกับนางในตำหนักตนเอง
จนถึงตอนนี้ หากนี่เป็นแผนการควบคุมอำนาจของสกุลฟู่จริง ๆ แล้วล่ะก็… เขาเองก็คงจะปล่อยไปไม่ได้เช่นกันและก็คงไม่พ้นต้องปลดพระชายาผู้นี้จากตำแหน่งทันที
“จัดห้องนี้เอาไว้ก็ดี คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่”
“คุณหนูแต่ว่าทำเช่นนั้นหาได้ไม่เจ้าค่ะ หมัวมัวบอกแล้วว่าตามธรรมเนียมปฏิบัติห้ามคู่แต่งงานแยกห้องนอนจนกว่าจะพ้นเจ็ดทิวาราตรีเจ้าค่ะ ดังนั้น…ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“น่าเบื่อยิ่งนัก”
“อีกไม่กี่วันก็ได้กลับสกุลฟู่แล้วอย่าพึ่งเบื่อเลยนะเจ้าคะ นี่เจ้าค่ะ”
“อะไรน่ะ”
“หน้าที่ของพระชายาท่านอ๋องอย่างไรเล่าเจ้าคะ ดูแลบัญชี จัดระเบียบบ่าวไพร่และสาวใช้ในตำหนักและบริหารเรื่องการเงินเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ…ทำบัญชีอีกแล้วแม้ว่าจะหนีจากสกุลฟู่ออกมาที่นี่ก็ไม่พ้นจะต้องทำสินะ”
“คุณหนู….อยากฝึกอาวุธหรือเจ้าคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ หากว่าเสิ่นหลงอยู่ด้วยก็คงจะดี”
“คุณหนูเจ้าคะ อย่าได้เอ่ยถึงชายคนอื่นในตำหนักเช่นนี้สิเจ้าคะ ไม่งามนะเจ้าคะ”
“ชายอื่นงั้นหรือแต่ว่าเสิ่นหลงเป็น....สหายของข้านะ”
“คุณหนูท่านก็ทราบดีว่าในตอนนี้ท่านเป็น…”
“เข้าใจแล้ว ๆ การเป็นพระชายานี่ยุ่งยากชะมัด แต่เพื่อสืบหาคนร้ายข้ายังจำเป็นต้องใช้เขาอยู่ดังนั้นจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปให้ดอกบัวขาวเช่นเมิ่งลี่ถิงไม่ได้”
“เมิ่งลี่ถิงหรือเจ้าคะ ท่านหมายถึงสตรีที่ตามพวกเราขึ้นเขาไปในวันนี้ เห็นว่านางเคยเป็นผู้ที่ถูกหมายตาว่าจะเป็นพระชายาท่านอ๋องมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นดอกบัวขาวเช่นนั้น”
“นอกจากจะต้องหาตัวคนร้ายแล้วยังต้องลงสนามแข่งกับนางเพื่อแย่งผู้ชายอีกด้วย โดยปกติข้าก็คงจะปล่อยแต่ช่วยไม่ได้ ก็นางมิได้เข้ามาแล้วขอข้าดี ๆ นี่ ทำเช่นนี้อย่าหวังว่าข้าจะยอมปล่อยท่านอ๋องให้นางง่าย ๆ เลย”
“คุณหนู แต่ถึงอย่างไรท่านก็เป็นพระชายาแล้ว ถึงอย่างไรก็หนีตำหนักท่านอ๋องกับวังหลิงโจวนี่ไปไม่พ้นนะเจ้าคะ”
“ไม่มีผู้ใดล่วงรู้วันข้างหน้าหรอก ข้าอาจจะเป็นพระชายาอยู่ได้ไม่นานผู้ใดจะรู้ได้”
“คุณหนูเหตุใดท่านจึงได้พูดจาเป็นลางร้ายเช่นนั้นเจ้าคะ ท่าน….”
“เจ้าคิดดูสิขนาดข้ากับท่านอ๋องพึ่งผ่านคืนอภิเษกมาได้เพียงคืนเดียวก็มีสตรีอื่นมาวุ่นวายกับเขาทั้งเช้าค่ำ นี่เพียงแค่วันแรกเท่านั้นนะแล้วหลังจากนี้อีกเล่า ข้าคงไม่เหนื่อยกับเรื่องพวกนี้นานนักหรอก”