บทที่ 3-2

1737 คำ
เหอลี่หมิงถามพร้อมๆ กับขยับตัวลงมายืนที่ข้างเตียง ดวงตาของนางวาววับยามจ้องหน้าผู้บุกรุก หวงเสี่ยวฉีไม่ตอบคำถามของนาง เขาตวัดสายตาเย็นยะเยือกมองนางทีหนึ่ง ก่อนจะออกคำสั่งกับคนรับใช้ “เถิงเกา ชุ่ยเวย ออกไป” ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจทำให้สองผู้รับใช้ไม่รอให้ต้องออกคำสั่งเป็นครั้งที่สอง พร้อมอกพร้อมใจพากันออกไปด้านนอกอย่างกระตือรือร้น แม้ว่าจะถูกเหอลี่หมิงรั้งเอาไว้ด้วยคำพูด แต่ทั้งคู่ก็มิอาจทำตามคำร้องขอได้ เพราะตอนนี้คนที่มีอำนาจมากที่สุดในเรือนก็คือหวงเสี่ยวฉี “เถิงเกา ชุ่ยเวย อย่าทิ้งข้า!” เซี่ยเถิงเกากับจินชุ่ยเวยหยุดเท้า ก่อนจะหันมามองเหอลี่หมิงด้วยสายตาสำนึกผิด หากแต่ก็ไม่สามารถเห็นใจได้มากไปกว่านี้ ทั้งคู่ก้าวออกไปด้านนอก แต่คราวนี้ไม่สามารถปิดประตูให้ได้เช่นคราแรก เพราะประตูได้พังไปเสียแล้ว จึงสาวเท้าออกไปรออยู่นอกเรือนแทน “เจ้ากับข้ามีเรื่องต้องพูดคุยกัน” หวงเสี่ยวฉีเอ่ยเสียงจริงจังหนักแน่น “แต่ข้าไม่มีอะไรจะพูดคุยกับท่าน” “แต่ข้ามี และเจ้าก็ต้องฟัง” กลีบปากนุ่มเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ดวงตาคู่สวยวาววับ ตวัดสายตาขุ่นเขียวมองบุรุษตรงหน้า พยายามควบคุมน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาให้สุภาพอย่างยิ่งยวด “ท่านมีเรื่องใดจะพูดคุยกับข้าก็ว่ามาเถอะ” “บ้านสกุลเหอ…” หวงเสี่ยวฉีเอ่ยออกมาแล้วเงียบไปพักหนึ่ง สีหน้าแสดงถึงความลำบากใจอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน จน เหอลี่หมิงเป็นฝ่ายกระตุ้นให้เขาว่าต่อ “ท่านหมายถึงครอบครัวของข้าอย่างนั้นหรือ” เหอลี่หมิงจำได้ว่าสกุลเหอก็คือสกุลของเจ้าของร่างตามที่นางได้รับข้อมูลมาจากเซี่ยเถิงเกาและบ้านสกุลเหอก็คือสถานที่ที่นางจะต้องไปอาศัยอยู่หลังจากที่ออกจากเรือนหลังนี้ไปแล้ว ดังนั้นบ้านสกุลเหอก็คือบ้านของนางนั่นเอง “บ้านสกุลเหอถูกเพลิงไหม้ ไม่พบผู้ใดรอดชีวิต ทุกสิ่งอย่างเหลือเพียงเถ้าถ่านให้เห็นต่างหน้า” ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง สีหน้าของนางแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังตื่นตระหนก ก่อนใบหน้างดงามจะค่อยๆ หม่นแสงลง หวงเสี่ยวฉีจับจ้องนางตลอดเวลาจึงทราบว่าแววตาของนางแสดงออกถึงความเสียดายและเห็นใจ แต่ทว่ากลับไม่พบความเสียใจอยู่ในดวงตาคู่นั้น หมายความว่านางไม่หลงเหลือความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวของตัวเองจริงๆ อย่างนั้นหรือ ไม่สิ นางมิได้เพียงไม่หลงเหลือความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวของตน หากแต่นางไม่หลงเหลือความทรงจำใดๆ เลยต่างหาก เช่นนั้นแล้ว นางคงมิได้เสแสร้ง จากสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้หวงเสี่ยวฉีสรุปได้ว่าเหอลี่หมิงมิได้ปด มิได้เป็นเล่ห์กลอุบายใดๆ ของนาง และเขาควรจะมีเมตตายืดเวลาให้นางได้อาศัยอยู่ที่เรือนหลังนี้ต่ออีกสักหน่อย จนกว่านางจะหาที่พักพิงแห่งใหม่ได้ แท้จริงแล้วในบรรดาพี่น้องทั้งสี่คนของตระกูลหวงอันได้แก่หวงลู่เหวิน พี่ชายคนโตของตระกูลเป็นแม่ทัพกองทหารม้า ลำดับที่สองคือหวงจิ้นเค่อ เป็นรองเสนาบดีกรมขุนนาง ลำดับที่สามคือหวงหลิ่งซาน เป็นรองเสนาบดีกรมโยธา และน้องเล็กของตระกูลก็คือหวงเสี่ยวฉี เป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการและเป็นพระอาจารย์สอนศิลปะการวาดภาพให้แก่ รัชทายาท และดูเหมือนว่าในบรรดาพี่น้องทั้งสี่ หวงเสี่ยวฉีเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนมากที่สุด เขาเป็นคนหนึ่งที่มีเมตตากับทุกคนไม่แบ่งแยกรวยจน หากแต่กับเหอลี่หมิงเขามิอาจทำเช่นนั้นได้ เพราะเรื่องที่นางได้กระทำช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก ความร้ายกาจของนางทำให้เขามิอาจมอบความเมตตาให้ได้เฉกเช่นคนอื่นๆ สิ่งที่นางได้รับจากเขาจึงมีเพียงแต่ความแข็งกระด้างเท่านั้น หวงเสี่ยวฉีและบรรดาพี่น้องเกิดจากมารดาคนเดียวกันซึ่งก็คือฮูหยินหวง นางเป็นคุณหนูจากสกุลใหญ่อย่างสกุลหวัง ชื่อเดิมของนางคือหวังเฟยฮวา แม้ว่าหวงจิงฝูผู้เป็นบิดาจะมีอนุภรรยาอีกสองคน หากแต่ไม่มีใครที่ให้กำเนิดบุตรชายได้อีก มีเพียงอนุภรรยาคนที่หนึ่งที่มีนามว่าเหลียงอี๋เหนียงที่ให้กำเนิดบุตรสาวนามว่าหวงลี่ฉุน ส่วนอนุภรรยาคนที่สองมีนามว่ากัวอี๋เหนียง มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหวงเสี่ยวฉีคือยี่สิบเอ็ดปี หากแต่นางมิได้ให้กำเนิดบุตรทั้งชายและหญิง “ที่ท่านมาบอกข้า ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด หรือท่านต้องการให้ข้าออกจากเรือนไปเสียเดี๋ยวนี้” เหอลี่หมิงรู้สึกมืดแปดด้าน ราวกับตอนนี้นางกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่ว่าพยายามจะเพ่งมองเพียงใดก็ไร้ซึ่งแสงสว่าง แค่นางต้องมาอยู่ผิดที่ผิดทาง มิใช่ยุคสมัยเดิมของนาง ซ้ำยังเป็นยุคโบราณที่มิใช่ชนชาติในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าการใช้ชีวิตคงต้องเป็นไปโดยลำบากอย่างยิ่งยวด ก่อนหน้านี้ความวิตกกังวลของนางเบาบางลงเมื่อทราบว่าเจ้าของร่างเป็นบุตรีของคหบดีที่มีฐานะร่ำรวยพอสมควร มิใช่สตรีที่สิ้นไร้ไม้ตอกหากต้องหย่าขาดจากผู้เป็นสามี แม้นางมิอาจย้อนคืนกลับสู่ยุคปัจจุบันได้ อย่างน้อยนางก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้โดยไม่แร้นแค้นจนเกินไปนัก หากแต่เรื่องที่เพิ่งจะได้ยินมาจากปากของหวงเสี่ยวฉีทำให้นางรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ไม่น้อย นางไม่มีที่ใดให้ไปอีกแล้ว จะทำเช่นไรดี ดวงตากลมโตมองคนตรงหน้าอย่างขอความเห็นใจ เหอลี่หมิงมิทราบถึงเหตุระหว่างเจ้าของร่างที่แท้จริงกับหวงเสี่ยวฉีว่าทำไมถึงต้องการหย่าขาดจากกัน และดูเหมือนว่ามีเพียงหวงเสี่ยวฉีเท่านั้นที่ต้องการหย่า แต่นางไม่สนใจเรื่องนั้น ตอนนี้นางเพียงต้องการขอความเมตตาสักนิด ระหว่างที่นางกำลังรู้สึกอับจนหนทาง หวงเสี่ยวฉีใช้ดวงตาคมกริบมองนางอย่างพิจารณา เพราะเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดกับสกุลเหอทำให้ทิฐิที่มีต่อนางลดลงไปหลายส่วน แต่ก็ยังคงเหลืออยู่อีกหลายส่วนเช่นกัน เมื่อเห็นเขาเอาแต่นิ่งเงียบ เหอลี่หมิงจึงเป็นฝ่ายเสนอในสิ่งที่เขาต้องการ นางจะไม่ต่อรองอีก เผื่อเขาจะมอบความเมตตาให้นางบ้าง “ข้าจะลงนามในหนังสือหย่าให้ท่านเดี๋ยวนี้ ขอเพียงแต่ท่านอนุญาตให้ข้าอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย จนกว่าข้าจะหาที่พักพิงแห่งใหม่ได้ เช่นนั้นได้หรือไม่” ดวงตาคู่สวยของนางเปี่ยมไปด้วยความหวังยามที่มองใบหน้าหล่อเหลาของหวงเสี่ยวฉี ดวงตาคมกริบดุจมีดดาบมองโต้ตอบคล้ายต้องการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ สุดท้ายริมฝีปากบางเฉียบคล้ายริมฝีปากของอิสตรีจึงให้คำตอบ “ที่เจ้าเอ่ยออกมานั้นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่” หวงเสี่ยวฉีเพียงหยั่งเชิง แม้ความเป็นจริงเขามิอาจหย่าขาดจากนางได้ “หากท่านมิเชื่อใจข้า ให้คนนำหนังสือหย่ามาตรงหน้า ข้าจะลงนามให้ท่านทันที” น้ำเสียงของนางจริงจังและดวงตาของนางยามที่มองมาก็มิได้หลบเลี่ยง หวงเสี่ยวฉีพิจารณานางอย่างถี่ถ้วน และต้องการรู้ชัดว่านางจะทำตามที่พูดจริงหรือไม่ เขาทิ้งสายตาที่นางอีกพักหนึ่ง จึงเรียกจินชุ่ยเวยด้วยเสียงที่ดังพอประมาณ “ชุ่ยเวย เข้ามา” เพียงไม่นานจินชุ่ยเวยก็เข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าหวงเสี่ยวฉี ก่อนจะค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม “คุณชายมีเรื่องใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ” “หยิบหนังสือหย่าออกมา” จินชุ่ยเวยเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ก็รีบล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อ หยิบหนังสือหย่าที่เตรียมเอาไว้ออกมา แล้วยื่นให้หวงเสี่ยวฉี “นี่ขอรับ” หวงเสี่ยวฉีรับเอาไว้ในมือ ก่อนจะกวาดสายตาอ่านตัวอักษรบนกระดาษรอบหนึ่ง จากนั้นจึงส่งคืนให้จินชุ่ยเวย พร้อมเอ่ยปากสั่ง “ให้นางลงนามให้เรียบร้อย แล้วนำมาให้ข้า” จินชุ่ยเวยเหลือบสายตามองเหอลี่หมิงแวบหนึ่ง ท่าทีของนางมิได้บ่งบอกว่ากำลังเศร้าโศกเสียใจเหมือนเช่นทุกครั้งที่ถูกทวงถามเรื่องหย่า หากแต่เป็นสีหน้าที่รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งนั่นสร้างความแปลกใจให้จินชุ่ยเวยอยู่ไม่น้อย ทว่าเขาเป็นเพียงบ่าวไพร่ จึงเร่งทำตามคำสั่ง สลัดข้อสงสัยต่างๆ จนหมดสิ้น “เชิญคุณหนูทางนี้ขอรับ” เหอลี่หมิงเดินตามจินชุ่ยเวยไปที่โต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มตัวหนึ่ง บนนั้นมีพู่กันและแท่นหมึก จินชุ่ยเวยหยิบพู่กันส่งให้นาง เหอลี่หมิงรับเอาไว้ในมือ นางจุ่มปลายพู่กันลงบนแท่นหมึกแล้วจรดลงบนกระดาษหนังสือหย่าที่ จินชุ่ยเวยวางไว้บนโต๊ะ ใช้เวลาแค่เพียงชั่วจิบชาทุกอย่างก็เรียบร้อยจินชุ่ยเวยจึงหยิบหนังสือหย่ามามอบให้หวงเสี่ยวฉี เขากวาดสายตามองทีหนึ่ง ก่อนจะมอบให้จินชุ่ยเวยถือไว้ “ข้าลงนามในหนังสือหย่าให้ท่านเรียบร้อยแล้ว หวังว่าท่านจะเมตตาให้ข้าอยู่ที่นี่ต่ออีกสักนิด หากข้าพอมีหนทาง จะรีบออกไปจากที่นี่ทันที จะไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นภาระแก่ท่าน” น้ำเสียงที่นางเอ่ยออกมาดูแจ่มใส แถมยังเผยรอยยิ้มน้อยๆ บนมุมปาก นางดูไม่เหมือนคนที่ตกอยู่ในภาวะเศร้าโศกเสียใจ ทั้งบ้านถูกเพลิงไหม้ ซ้ำถูกให้ลงนามในหนังสือหย่า ทว่าแววตาของนางกลับเต็มไปด้วยความโล่งใจ ในส่วนนี้สร้างความกังขาในความรู้สึกของหวงเสี่ยวฉีอยู่ไม่น้อย ทั้งลายมือที่ลงนามในหนังสือหย่านั่นก็ดูแปลกตาไป ไม่เหมือนของเดิม นางเพียงแค่ความจำเสื่อม หรือเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม