บทที่ 1-1
เรือนทิศตะวันออก
“นางอยู่ที่ใด!”
บุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคลุมแขนยาวแขนเสื้อแคบลายดอกไม้สีดำ กระดุมคอกลัดสูง สวมสายคาดเอวสีเงิน เรือนผมสีดำดุจไข่มุกดำจากท้องทะเลถูกม้วนอยู่ด้านหลังแล้วปักด้วยปิ่นหยกสีเขียวอันหนึ่ง เจ้าของหน้าผากกว้าง คิ้วทั้งสองข้างพาดเฉียงดุจคมดาบ จมูกเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉียบสีแดงสด รูปลักษณ์งดงามราวเทพสวรรค์ชั้นฟ้าแต่กลับแสดงสีหน้าอย่างชัดเจนว่ากำลังไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
บุรุษหนุ่มผู้นั้นหยุดเท้าตรงหน้าสาวใช้ที่มีนามว่า เซี่ยเฉิงเกา ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ห่างจากแทบเท้าเขามากนัก เบื้องหลังของเขามีคนรับใช้ชายคนสนิทที่ตามติดกายอยู่หนึ่ง ร่างกายของสาวใช้คนดังกล่าวสั่นเทาอย่างน่าสงสาร เมื่อเสียงทรงพลังอำนาจของคนตรงหน้าดังขึ้นมาอีกครา
“ข้าถามว่านางอยู่ที่ใด!”
“ขะ ข้ามิทราบเจ้าค่ะคุณชายสี่ โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
เซี่ยเถิงเกาตอบอย่างลนลาน ร่างของสาวใช้ยังคงสั่นเทาอย่างมิอาจบังคับตัวเองได้ นางก้มศีรษะแขนทั้งสองข้างแนบลงกับพื้นเพื่อแสดงความเคารพยำเกรงต่อบุรุษตรงหน้า
“คุณหนูของเจ้าหายไป เหตุใดเจ้าจึงมิรู้ เห็นทีข้าคงต้องสั่งลงโทษเจ้าเสียแล้วกระมัง”
“ข้าผิดไปแล้ว คุณชายโปรดเมตตาข้าด้วย”
เซี่ยเถิงเกาวอนขอเมตตาจากบุรุษที่นางเรียกขานว่า คุณชายสี่ อีกครั้ง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้มิอาจทำให้บุรุษตรงหน้ามอบความเมตตาให้นางได้ ซ้ำคำกล่าวขอโทษขอโพยอย่างโง่งมของนางกลับทำให้อารมณ์ของคนฟังยิ่งเดือดดาล
“ข้าจะให้เวลาเจ้า ไม่เกินยามเฉิน* เจ้าต้องนำตัวคุณหนูของเจ้ามาพบข้าให้จงได้ มิเช่นนั้นข้าจะสั่งโบยเจ้า”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยเถิงเการีบรับคำกับโอกาสที่มีเหลือเพียงน้อยนิด อีกไม่นานก็จะก้าวเข้าสู่ยามซื่อ** นางต้องรีบไปหาตัวคุณหนูของนางให้ทันเวลาให้จงได้ มิเช่นนั้น นางต้องถูกโบยเป็นแน่
“เข้าใจแล้วก็รีบๆ ไปให้พ้นหน้าข้า ข้าจะรออยู่ที่นี่ และถ้าหากข้ามิได้พบคุณหนูของเจ้า ก็อย่าหวังว่าข้าจะเมตตาเจ้าอีก”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
รับคำแล้วเซี่ยเถิงเกาก็รีบถอยออกไปอย่างลนลาน ก่อนจะหยัดกายขึ้นตรงบริเวณเกือบๆ ถึงธรณีประตู จากนั้นจึงสาวเท้าออกไปอย่างเร่งรีบ โดยมีสายตาสองคู่มองตามแผ่นหลังของนางไป สายตาหนึ่งเป็นของหวงเสี่ยวฉี บุรุษหนุ่มที่ถูกเซี่ยเถิงเกาเรียกขานว่าคุณชายสี่ ส่วนอีกสายตาหนึ่งเป็นของจินชุ่ยเวยคนสนิทที่คอยติดตามรับใช้มิห่างกาย
หวงเสี่ยวฉีเป็นบุตรชายคนเล็กของตระกูลหวง บิดาของเขาคือ หวงจิงฝู เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ซึ่งมีตำแหน่งสำคัญในราชสำนักคือเป็นแม่ทัพรับใช้ราชวงศ์ซิ่น แคว้นหนาน รัชสมัยฉินซวี่หนานที่สิบเอ็ด* ส่วนตัวเขานั้นมีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพมาตั้งแต่อายุได้เพียงสามปี ฝีมือโดดเด่นเกินกว่าผู้ใด รวมทั้งมีสติปัญญาอันเฉลียวฉลาด จักรพรรดิจึงจัดให้อยู่ข้างกายรัชทายาทเป็นเพื่อนร่วมเรียน จวบจนปัจจุบันอายุยี่สิบเอ็ดปีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนด้านศิลปะการวาดภาพให้แก่รัชทายาท เพื่อช่วยให้รัชทายาทมีความรอบรู้ในทุกๆ ด้านเมื่อต้องขึ้นครองบัลลังก์ในภายภาคหน้า เขาเป็นขุนนางขั้นสาม สังกัดกรมพิธีการ**
หวงเสี่ยวฉีสะบัดชายเสื้อคลุมตัวยาว ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลเข้มทรงสี่เหลี่ยมแบบมีพนักพิง โดยมีจินชุ่ยเวยขยับเก้าอี้ตัวดังกล่าวให้อย่างรู้หน้าที่ แววตาของเขาอัดแน่นไปด้วยเพลิงโทสะ ก่อนมือข้างหนึ่งจะกำเข้าหากันแน่นแล้วทุบลงบนโต๊ะไม้ตรงหน้าด้วยแรงที่ไม่เบานัก เพราะทำเอาโต๊ะตัวดังกล่าวสั่นไหวอย่างรุนแรง
“เจ็บใจนัก” หวงเสี่ยวฉีเอ่ยเสียงกระแทก ใบหน้างดงามแดงก่ำ ในใจเดือดดาลอย่างมิอาจสะกดกลั้นเอาไว้ข้างในได้
“คุณชายเจ็บใจเรื่องอันใดกันขอรับ”
ด้วยความที่ติดตามรับใช้มานาน จินชุ่ยเวยจึงกล้าที่จะสอบถาม ถึงแม้ว่าหวงเสี่ยวฉีจะอยู่ในสภาวะที่อารมณ์ไม่เป็นปกตินัก
“เจ้าก็เห็น นี่เป็นคราที่สามแล้วที่นางบ่ายเบี่ยง เลี่ยงการลงนามในหนังสือหย่า คราแรกนางก็อ้างว่ากำลังป่วยหนัก คราต่อมานางอ้างว่าขอเวลาตระเตรียมข้าวของอีกสักนิดเพื่อย้ายออกจากเรือนหลังนี้ แล้วพอครานี้นางก็หนีออกจากเรือน แต่ข้าวของของนางยังอยู่ครบ นางเอาแต่บ่ายเบี่ยง เจ้าจะมิให้ข้าโมโหได้เยี่ยงไรเล่า”
คนพูดแทบจะกัดฟันพูดเสียด้วยซ้ำ ในอกของเขาเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน ราวกับไฟในกองเพลิงที่กำลังลุกโชน ไม่มีทีท่าว่าจะดับมอดลงได้โดยง่าย
ตอนนั้นเองที่เสียงฝีเท้าไม่ต่ำกว่าสามคู่ก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามา ทั้งหวงเสี่ยวฉีและจินชุ่ยเวยหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน เจ้าของร่างสูงโปร่งหยัดกายขึ้นยืน แววตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยแต่ก็เพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะมองตามคนรับใช้สองคนที่กำลังแบกหามร่างของคนที่เขาต้องการเจอตัวในสภาพที่แทบจะดูไม่ได้ เรือนกายของนางเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ ผมเผ้าที่เคยยาวสลวยดุจแพรไหมของนางดูยุ่งเหยิง ปกปิดหน้าตาที่งดงามราวกับเทพธิดาอย่างน่าชัง อาการไอคล้ายคนสำลักน้ำของนางทำให้ทราบว่าเจ้าของร่างยังไม่ได้จากโลกใบนี้ไป ถึงแม้สภาพจะดูอุจาดตาในสายตาของหวงเสี่ยวฉียิ่งนัก
“นางเป็นอะไร”
หลังจากที่ร่างของนางถูกวางลงบนเตียงภายในห้อง หวงเสี่ยวฉีจึงสอบถามเซี่ยเถิงเกาที่กำลังคลุมผ้าให้ เหอลี่หมิง คือนามของเจ้าของร่างที่กำลังนอนตัวสั่นงันงก สาวใช้ก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบไม่เต็มเสียงนัก
“มิทราบเจ้าค่ะ ตอนที่ข้าไปเจอ คุณหนูนอนตัวสั่นอยู่ริมน้ำหลังเรือนเจ้าค่ะ”
คำตอบของเซี่ยเถิงเกาทำให้บุรุษหนุ่มเจ้าของใบหน้างดงามเบือนสายตาไปมองร่างบางที่นอนบนเตียง เนื้อตัวของนางยังคงสั่นเทาอย่างน่าสังเวช แววตาของเขามีแต่เพียงความดูแคลนเท่านั้น หาได้มีความเมตตาสงสารเจือปนแม้แต่น้อย
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี ส่วนข้าจะเฝ้านางอยู่ที่นี่”
“...” เซี่ยเถิงเกาก้มหน้าน้อมรับคำสั่ง
“นางฟื้นคืนสติเมื่อใด ข้าจะให้นางลงนามในหนังสือหย่าทันที” หวงเสี่ยวฉีว่าจบก็หันไปบอกจินชุ่ยเวย “เอาเก้าอี้มาให้ข้า”
“คุณชายสี่จะเอาไปทำไมขอรับ”
“ข้าจะนั่งเฝ้านางข้างเตียงนี่ ข้าจะมิยอมให้นางคลาดสายตาอีกเป็นอันขาด วันนี้ข้าจะต้องให้นางลงนามในหนังสือหย่าให้จงได้ ข้าจะมิทนรออีกแล้ว แม้อีกเพียงชั่วยามข้าก็มิอาจฝืนทนได้”