หลังวางสายมาริสาก็ก้าวเท้าออกเดินอีกครั้ง เหลืออีกราวๆ สิบขั้นก็จะถึงชั้นที่พักของตนเอง ทันทีที่เธอเดินผ่านมุมบันไดมาได้เพื่อตรงไปยังห้องพักของเธอซึ่งเป็นห้องแรกทางซ้ายมือ หญิงสาวก็ต้องตกใจเมื่อห้องตรงกันข้ามเปิดประตูออกแล้วเจ้าของห้องก็เรียกชื่อเธอดังลั่น
“มารีน!”
“เรแกน”
เธอเรียกและมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาเกือบจะเป็นตำหนิที่ทำให้เธอตกใจ แต่เรแกนดูจะไม่สนใจ เพราะอีกฝ่ายกวาดตามองเธอเร็วๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตื่นเต้นว่า
“ฉันว่าแล้วว่าต้องเป็นเธอ นี่ฉันอดทนดักรอเลยรู้ไหม”
ก่อนที่เรแกนจะได้พูดอะไรต่อและปลุกคนทั้งชั้นให้ออกมาด่าพวกเธอ มาริสาก็บอกกับเพื่อนสนิทว่า
“เข้าห้องกันก่อนเถอะ”
“โอเค”
อีกฝ่ายตอบตกลง แล้วเป็นฝ่ายดึงกุญแจห้องจากมือเธอไปไขเปิดประตูเองเสียด้วยซ้ำ และทันทีที่เข้าไปข้างในพร้อมกับประตูปิดสนิท เรแกนที่ยังคงมีท่าทีตื่นเต้นก็หันขวับมาจับต้นแขนเธอแล้วร้องออกมาอย่างสิ้นความอดทน
“กรี๊ดดด มารีน สวยมากเลยอะ!”
เจ้าหล่อนกรีดร้องใส่เธอจนมาริสาต้องยกมือปรามให้ทำเสียงเบาๆ เธอวางรองเท้าแบรนด์หรูที่ถืออยู่ในมือลงกับชั้นอย่างช้าๆ เพราะกลัวมันจะถลอก ต่อมาวางกระเป๋าครัชต์ที่ถืออยู่กับเตียงนอน แน่นอนว่าต้องช้าๆ และทะนุถนอมเช่นเดียวกัน จากนั้นจึงตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเอารีมูฟเวอร์ออกมาแล้วหันไปบอกกับเพื่อนสนิทว่า
“ขอฉันอาบน้ำล้างหน้าก่อนค่อยคุยกัน หนักหน้ามาก”
เธอบ่นพลางโบกมือไปรอบๆ หน้า ต้องขอบคุณนวัตกรรมของเครื่องสำอางโดยเฉพาะลิปติกที่เธอถูกฟลินน์จูบขยี้ราวกับสูบวิญญาณมาขนาดนี้ก็ไม่ได้ทำให้ลิปสติกบนริมฝีปากเธอดูเลอะเทอะเท่าไรและเธอก็เช็คมันเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่มีใครจับได้ว่าเธอจูบกับผู้ชายมา ซึ่งหวังว่าเรแกนจะไม่สังเกตเห็น
“ก็หัดแต่งบ่อยๆ สิ แกแต่งแบบนี้สวยจะตาย”
เรแกนกวาดตามองเพื่อนสนิทอย่างชื่นชม ชุดนี้ทำให้มาริสาดูหวานอมเปรี้ยว และสวยโดดเด่นเป็นที่จับตามอง ร้อยหนึ่งเอาเหรียญเดียว เธอว่าฟลินน์ เบรดฟอร์ดตกหลุมรักเพื่อนของเธอแน่ๆ !
“ไม่เอาอะ รำคาญ” มาริสาไม่ชอบแต่งหน้า แค่เธอยอมทาลิปและให้บรัชออนได้แตะแต้มบนใบหน้าบ้างก็ถือว่าเธออนุโลมให้กับความเป็นผู้หญิงของตัวเองมากพอแล้ว “กว่าจะได้แบบนี้ฉันแทบถูกมัดติดกับเก้าอี้นะบอกเลย”
และเกือบสี่ชั่วโมงที่ติดแหง็กจะขยับก็ไม่ได้ มันคือความทรมาน โดยเฉพาะที่คนพวกนั้นดึงขนคิ้วของเธอเพื่อจัดทรงให้คิ้วน่ะ! เจ็บเป็นบ้า!
“เหอะ” เรแกน...ผู้หลงใหลในแฟชั่นค้อนขวับ ก่อนแย่งรีมูฟเวอร์
จากมือเธอแล้วเอ่ยอาสาขึ้นมาว่า “มา เดี๋ยวช่วยเช็ดหน้าให้”
“ขอบใจ”
มาริสาส่งให้เพื่อนไปแต่โดยดี
“นั่งลงตรงนี้เลย” อีกฝ่ายชี้นิ้วไปที่ปลายเตียงซึ่งนั่งอยู่ก่อนหน้า มาริสายอมทำตาม ทว่าก่อนที่จะลงมือจัดการลบเครื่องสำอางบนใบหน้าของเธอ เรแกนกลับมองอย่างสำรวจแล้วร้องอุทานดังลั่น “เอ๊ะ ว่าแต่แกเถอะ ทำไมปากเลอะจัง หรือว่า...”
ดวงตาสีมรกตของเพื่อนสนิทหรี่มองเธออย่างจับผิด มาริสาสะดุ้ง ไม่สามารถปกปิดอาการตกใจที่ถูกจี้อย่างปัจจุบันทันด่วนขึ้นมาได้ เธอได้แต่ร้องห้ามไม่ให้เพื่อนพูดออกมาเสียงดังลั่น
“ไม่ต้องพูดออกมานะ!”
แต่นั่นมันเหมือนกับว่าเธอตกลงไปในหลุมพรางเต็มๆ เพราะ
เรแกนถึงกับเบิกตากว้างแล้วเขย่าบีบต้นแขนเธอไปมาเพื่อเค้นคอให้เธอสารภาพ
“แกจูบกับเขาแล้วใช่ไหม สารภาพมานะ!”
รู้อยู่แล้วว่าคงไม่สามารถปิดเพื่อนสนิทของตนเองได้ มาริสาจึงอดนิ่วหน้าแล้วประท้วงออกมาไม่ได้ถึงความไม่ยุติธรรมที่เธอกำลังได้รับ
“ทำไมแกไม่คิดว่าฉันโดนบังคับละ พูดแบบนั้นเหมือนฉันสมยอมเลย!”
แต่ดูเหมือนเพื่อนจะไม่ได้สนใจสักนิดว่าเธอถูกรังแกมาไม่ได้สมยอม! อีกฝ่ายยกมือปิดปากแล้วกรีดร้องดังลั่น
“กรี๊ดดด! จูบของเขาเป็นไง!”
คำถามของเรแกนทำให้เธอหน้าแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ และผงะด้วยความคาดไม่ถึงว่าเพื่อนจะทำกับเธอแบบนี้!
“ยายเรแกน!”
“ก็ฉันอยากรู้”
เรแกนที่เริ่มรู้แล้วว่าเธอไม่พอใจจึงตอบเสียงอ่อยๆ เป็นการ
ขอโทษไปในตัว แต่ถึงอย่างนั้นความอยากรู้อยากเห็นก็อยู่ในดวงตาของเจ้าหล่อนอยู่ดี
มาริสาเลยตัดสินใจบอกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “มันไม่ได้ดีอะไรหรอก หยาบคาย กระด้าง!” ขบเม้มอย่างลึกซึ้งและบดขยี้ราวกับจะสูบเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ...ซึ่งอันหลังเธอจะไม่มีวันบอกออกไปโดยเด็ดขาด
“ว้าว! ต้องเร่าร้อนมากแน่ๆ”
เรแกนเอ่ยขึ้นราวกับเห็นเหตุการณ์เอง ซึ่งนั่นทำให้มาริสาไม่พอใจ
“เรแกน!”
“โอเคๆ” อีกฝ่ายยกมืออย่างยอมแพ้ ก่อนจะเริ่มเช็ดเครื่องสำอางบนหน้าให้เธอ “งั้นข้ามเรื่องนี้ แกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฉันฟังสิ” คราวนี้น้ำเสียงของอีกฝ่ายเป็นงานเป็นการขึ้น ซึ่งทำให้มาริสาพอจะเต็มใจเล่าให้ฟังขึ้นมาบ้าง
“อืม…ก็หลังจากที่ฉันโทร.หาแกใช่ไหม ฉันก็...”
แล้วมาริสาก็เริ่มต้นเล่ารายละเอียดของงานวันนี้รวมถึงสิ่งที่เธอทำให้กับเรแกนฟัง เพื่อที่ว่าจะได้วางแผนรับมือกับสิ่งที่จะตามมาถูก และแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องที่คุณปู่สั่งให้เธอเป็นผู้ช่วยของเขา โดยละเรื่องหนี้ที่ปู่ใช้บีบบังคับไป
-------------------------
วันต่อมา
“เธอต้องการอะไรกัน?”
“ฉันบอกแล้วไงว่าอีกไม่นานคุณจะรู้”
“เธอเป็นใคร?”
“ฉันเหรอคะ?...”
“…”
“ฉันเป็นของขวัญวันเกิดของคุณ”
เพล้ง!
ของขวัญจากนรกน่ะสิ!
ฟลินน์ขว้างแก้วที่วางอยู่ไม่ไกลอัดใส่กำแพงห้องทำงานเต็มๆ แรงเพื่อเป็นการระบายโทสะที่อัดแน่นภายในร่างของเขาจนแทบจะปริแตก แต่กลับหาทางระบายออกไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ ยายปีศาจนั่นก็ตามหลอกหลอนเขาจนไม่อาจข่มตาหลับได้ลง ยิ่งเขาถูกบังคับให้ต้องเข้าสำนักงานในวันนี้ ฟลินน์ก็หมดความอดทนจนเผลอระบายอารมณ์อย่างรุนแรงไปจนได้
ซึ่งวินาทีเดียวกันกับที่เขาปาแก้ว ประตูห้องทำงานของเขาก็ถูกเปิดออก
“มิสเตอร์เบรดฟอร์ด!”
ผู้ช่วยของเขายืนหน้าตื่น ทักเกอร์ ลีร้องขึ้นหน้าตื่น เพราะแก้วที่ลอยละลิ่วต่อหน้านั้นไม่ได้ห่างจากตัวเขาไปเสียเท่าไรนัก ฟลินน์เม้ม
ริมฝีปากแน่นจนแทบจะเป็นเส้นตรงกับสีหน้าแตกตื่นของผู้ช่วยที่ทำงานกับเขามายาวนานเกือบสิบปี
“ให้คนเข้ามาเก็บเศษแก้วด้วย” เขาสั่งเสียงห้วน แล้วหันหลังให้กับทักเกอร์
“เกิดอะไรขึ้นครับ?”
ทักเกอร์ที่เดินไปกดเรียกแม่บ้านประจำชั้นที่โต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่หน้าห้องของซีอีโอแล้วจึงเดินกลับมาหาฟลินน์ในห้องอีกครั้ง พร้อมกับย้อนถามด้วยความสงสัย
ฟลินน์คลายริมฝีปากที่ขบกันแน่นออก แล้วจึงตอบคำถามผู้ช่วยของตนเอง
“ไม่มีอะไรทักเกอร์ ฉันแค่หงุดหงิดนิดหน่อย”
เพราะยายปีศาจคนเดียวที่ตามหลอกหลอนเขาทั้งวันทั้งคืนแบบนี้!
“ครับ…” ทักเกอร์ไม่เอ่ยอะไรต่อ แม้จะเห็นได้ชัดว่าฟลินน์ไม่ได้แค่หงุดหงิดนิดหน่อยอย่างที่เอ่ยอ้าง “อ้อ วันนี้คุณมีเอกสารสำคัญมากที่ต้องเซ็นด้วยตัวเอง” เขาเปลี่ยนเรื่อง
ฟลินน์ได้ฟังอย่างนั้นก็พยักหน้าหงึกๆ รับ “งั้นก็เอาเข้ามา”
“ครับ”
“มีงานอะไรค้างก็รีบส่งมา” คนเป็นเจ้านายสั่งต่อ “ฉันจะไม่อยู่หนึ่งอาทิตย์”
เขาไม่มีอารมณ์อยากจะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว เขาน่าจะสั่งให้คนเตรียมเรือสตาร์ดิวารี่เอาไว้ แล้วเขาจะล่องเรืออยู่กลางทะเลสักสัปดาห์ ทะเล
น่ะช่วยให้เขาหายเครียดและหงุดหงิดได้เสมอ
ความเวิ้งว้างของมันให้ความรู้สึกโดดเดี่ยว...เหมือนกับเขานั่นแหละ
“คุณจะไปที่ไหนครับ”
“ลาสเวกัส” เขาตอบไปส่งๆ เพื่อไม่ให้ทักเกอร์เอาข้อมูลที่อยู่ของเขาไปบอกพวกตาเฒ่าพวกนั้น
“ครับ” ทักเกอร์ตอบรับ ทว่าก่อนจะออกจากห้องเขาก็นึกขึ้นได้ถึงกำหนดนัดหมายวันนี้ของผู้เป็นเจ้านาย “อ้อ…แต่ว่าวันนี้คุณมีเดตที่...”
สืบเนื่องจากเรื่องเมื่อวานนี้ วันนี้คือวันที่เขาต้องทำตามข้อตกลงระหว่างผู้ถูกประมูลกับผู้ประมูล
“ไม่ไป” ฟลินน์ปฏิเสธเสียงเฉียบขาด “ถ้ายายนั่นมาก็ให้รอไป”
ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจจะทนๆ ทำหน้าที่ไปให้เสร็จสิ้น แต่กับยายปีศาจนั่น ปล่อยเธอไป! เธอทำเขาเจ็บแสบเสียขนาดนั้นอย่าคิดว่าเขาจะญาติดีกับเธอเลย!
“แต่ว่ามัน...”
ทักเกอร์อดทักท้วงไม่ได้ ฟลินน์ถลึงตาใส่ผู้ช่วยด้วยความฉุนเฉียว
“ถ้าจะยายนี่จะฟ้องปล่อยข่าวลืออะไรก็ช่างหัวเธอ! ฉันไม่สนใจแล้ว!”
“ครับ”