อาหารมื้อเช้าผ่านไปได้ด้วยดีกับความอร่อยในแต่ละจาน ทำให้พ่อบ้านหนุ่มรู้สึกเจริญอาหารอยู่เพียงคนเดียวในห้องครัว นับเป็นความโชคดีของเขาแท้ๆ ที่ได้ลิ้มรสชาติอาหารแสนอร่อยจากฝีมือการปรุงโดยแม่นมประจำบ้านคุณชายไมล์ แต่รสชาติอาหารที่เขาได้ลิ้มลองทำให้เขาคิดถึงฝีมือการปรุงอาหารจากคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิตของเขา นั่นคือท่านแม่...
"อร่อยไหมจ๊ะลูก แม่เห็นเราตั้งหน้าตั้งตากินนานแล้ว"
"ฝีมือการทำอาหารของท่านแม่อร่อยไม่เปลี่ยนเลยนะครับ ลูกดีใจเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่านแม่"
เด็กน้อยหน้าตาใสซื่ออยู่ในชุดนอนกอดมารดาที่ยืนอยู่ด้านข้างเก้าอี้ทานอาหารอย่างน่ารัก นับเป็นภาพที่เกิดขึ้นเป็นประจำระหว่างบุคคลสองแม่ลูก
"ถ้าแม่ทำอร่อยต้องกินเยอะๆ นะรู้ไหม จะได้โตเร็วๆ"
ผู้เป็นมารดากล่าวกับบุตรชายด้วยความอ่อนโยนก่อน ยกมือขึ้นลูบศีรษะอย่างเอ็นดูในความน่ารัก
"ครับท่านแม่ ลูกจะกินข้าวเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ จะได้ดูแลท่านแม่ครับ"
"เก่งมากลูก แม่ภูมิใจในตัวลูกนะจ๊ะ"
ระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังสนทนากันอย่างมีความสุขนั้น มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในบ้านแล้วตรงเข้าไปยังห้องรับประทานอาหาร
"ท่านหญิงครับ ตอนนี้รถยนต์พร้อมแล้วครับ"
สองแม่ลูกหันไปมองทางต้นเสียง
"ขอบใจนะ เราเองก็พร้อมแล้ว"
"ท่านแม่จะไปไหนหรอครับ"
"แม่ต้องไปทำธุระที่ต่างประเทศน่ะลูกประมาณ 4-5 วันคงกลับ ลูกรอแม่อยู่ที่นี่นะ"
"ครับท่านแม่ ท่านแม่ต้องกลับมาจริงๆ นะครับ" เด็กน้อยมีแววตาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะลูก ต้องกลับมาสิจ๊ะ แม่มีลูกอยู่คนเดียว จะไม่ให้แม่กลับมาหาลูก แล้วจะให้แม่ไปอยู่ที่ไหน หืม...คนเก่ง แม่ต้องไปแล้วนะ ลูกเองก็ขึ้นห้องนอน ก่อนนอนก็อย่าลืมแปรงฟันให้สะอาดรู้ไหมจ๊ะและต้องเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนนะจ๊ะ"
"ครับ ลูกจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนตามที่ท่านแม่สั่ง"
"ม่ะ มาให้แม่หอมแก้มหน่อยเร็ว"
เด็กน้อยลงจากเก้าอี้ วิ่งไปหาผู้เป็นมารดาแล้วสวมกอดอย่างอบอุ่นก่อนแม่จะหอมที่แก้มของเด็กน้อยทีละข้างอย่างน่าเอ็นดู มารดาของปาร์วีนได้เดินจากไปขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้าน
เวลาผ่านไปเข้าสู่วันที่ 3 ที่ท่านแม่ไปทำธุระยังต่างประเทศ เด็กน้อยเฝ้ารอการกลับมาของมารดาอย่างใจจดจ่อที่หน้าประตูบ้านแบบทุกวัน จนกระทั่ง…
"นี่มายืนเกะกะอะไรที่หน้าประตูมิทราบ ที่อื่นไม่มีวิ่งเล่นแล้วใช่ไหม แล้วเมื่อไหร่จะออกไปจากวังสักที ไหนๆ แม่ของแกก็ได้ตายไปแล้ว"
หญิงวัยกลางคนในชุดสีแดงเพลิง ทาปากแดงยืนเท้าสะเอวชี้หน้าด่าเด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างจงใจ
"ผมยืนรอท่านแม่ครับ ทำไมท่านน้าต้องว่าผม ต้องว่าท่านแม่ด้วย ท่านแม่ของผมไปทำธุระต่างประเทศอีก 2 วันก็กลับ"
"ฝันไปเถอะจ้ะ แม่ของแกเครื่องบินตกตายไป 2 วันที่แล้ว ไม่มีใครบอกแกหรอ"
"ท่านแม่ผมไปทำธุระ ท่านแม่ไม่ได้ตายอีก 2 วันท่านแม่ก็กลับมา ท่านน้าอย่าพูดแบบนี้นะ" เด็กน้อยพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ตาเริ่มแดงคล้ายคนจะร้องไห้
"หยุดนะคะท่านหญิง ท่านหญิงจะมาพูดแบบนี้กับท่านชายไม่ได้นะคะ หัดมีความเกรงใจบ้างไม่เห็นแก่ท่านชาย ก็เห็นแก่ผู้จากไปบ้างเถอะค่ะ หยุดทำร้ายจิตใจของท่านชายสักที"
หญิงชรากล่าวกับท่านหญิงของตนด้วยน้ำตานองหน้าในชุดสีดำ ทำให้หญิงวัยกลางคนในชุดสีแดงมีสีหน้าตื่นตระหนกและตกใจกับสิ่งที่ตนได้ยิน แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก เพราะด้วยความกลัวในน้ำเสียงทรงอำนาจของหญิงชรา
"แม่นม แม่นมกำลังพูดถึงอะไรเราไม่เข้าใจ ท่านแม่มาบอกว่าท่านแม่ไปทำธุระ" เด็กน้อยที่มีสีหน้าครุ่นคิดกับคำพูดของผู้ใหญ่ทั้งสอง
"ท่านชายคะมาหานมค่ะ" เด็กน้อยวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของแม่นม
"ท่านชายคะ ฟังนมนะ ตอนนี้ท่านชายยังเด็กนักวันหนึ่งที่ท่านชายเจริญวัยกว่านี้ นมจะเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟังนะคะ เชื่อนมนะ แต่ก่อนอื่นเดี๋ยวเราสองคนขึ้นไปเก็บของกันเถอะนะคะ"
"เก็บทำไมล่ะครับแม่นม บอกเราเลยก็ได้ ผมโตแล้วพอจะรับรู้ทุกอย่างได้นะแม่นม" เด็กน้อยพูดอย่างมุ่งมั่นจนทำให้หญิงชราต้องหลั่งน้ำตามากขึ้นเป็นทวีคูณ
"ท่านชายคะ ตอนนี้ท่านหญิงได้เสียชีวิตลงแล้วจากเหตุเครื่องบินตกเมื่อ 2 วันก่อนค่ะ"
"แม่นม พูดอะไรเราไม่เชื่อ ท่านแม่บอกกับเราว่าจะกลับมาหาเรา"
"ท่านชายนี่คือเรื่องจริงค่ะ ท่านหญิงเสียชีวิตแล้วจริงๆ ค่ะ"
สิ้นเสียงคำยืนยันจากหญิงชรา เด็กน้อยไม่ได้ร้องไห้ ไม่มีปฏิกิริยาเสียใจแต่อย่างใด จนทำให้หญิงสูงวัยกว่าทั้งสองเกิดความสงสัย
"หากสิ่งที่แม่นมเล่าเป็นเรื่องจริงเราจะไม่เสียใจ เราจะไม่ร้องไห้ เพราะท่านแม่เคยสอนเราว่า 'ชีวิตทุกชีวิตย่อมมีเกิด ก็ย่อมมีตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครฝืนชะตาได้' เราต้องเข้มแข็ง ต้องอยู่ให้ได้ ถึงแม้เราจะไม่มีท่านแม่แล้ว แต่เราก็ยังมีแม่นมที่คอยมอบความรักและความหวังดีกับเรามาตลอด"
คำกล่าวของเด็กน้อยทำให้แม่นมและท่านน้าเกิดความแปลกใจกับเด็กน้อยวัยเพียง 7 ปี แต่กลับมีความเข้าใจในความรู้สึกของการสูญเสียได้เป็นอย่างดี นับจากวันนั้นท่านชายต้องย้ายออกจากวังแห่งนั้นไปอยู่กับแม่นมที่บ้านเกิดทางภาคเหนือจนอายุได้ 15 ปี จึงขออนุญาตแม่นมลงมาทำงานเพื่อหารายได้ส่วนตัวที่กรุงเทพตั้งแต่นั้นมา ถ้าเมื่อไรอายุครบ 20 ปี เขาต้องกลับไปดำรงตำแหน่งท่านชาย ณ วังพงศ์เจริญทันทีตามพินัยกรรมที่มารดาระบุไว้
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมด คำพูดทุกคำของท่านแม่ของเขา เขาจดจำฝังใจไม่ลืมเลือน น้ำใสๆ เอ่อล้นดวงตาสวยอาบแก้มอย่างห้ามไม่ได้
"หนูปาร์วีนเป็นอะไรไปจ๊ะ ร้องไห้ทำไม คุณชายรังแกอีกหรอคะ" เสียงแม่นมประจำบ้านเอ่ยถาม เมื่อเห็นพ่อบ้านหนุ่มนั่งร้องไห้อย่างผิดสังเกต
"แม่นมครับ ผมขอกอดหน่อยได้ไหมครับ"
"ได้สิจ๊ะ เป็นอะไรหรือเปล่า"
พอสิ้นเสียงคำอนุญาตจากแม่นม พ่อบ้านหนุ่มโผเข้ากอดแม่นมด้วยความโหยหาในความอบอุ่นอย่างร่ำไห้ ขณะที่ข้างประตูห้องครัวมีคนแอบดูอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าสงสัย