ปีพุทธศักราช 2567
การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรัก ย่อมนำมาสู่ชีวิตคู่ที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่หากจะบอกว่าไม่รักก็คงไม่ใช่
เพราะหัวใจของเพียงขวัญดันไม่รักดี เพลี่ยงพล้ำไปรักสามีจะว่าในนามก็ไม่ใช่ เพราะเกินเลยมีความสัมพันธ์กันแล้ว แม้จะแค่ครั้งเดียวก็ตาม และยังจัดงานแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แต่ที่บอกว่าในนาม เพราะตลอดเวลาหลังจากแต่งงาน เพียงขวัญและรเมศ ก็แยกห้องนอนตั้งแต่คืนเข้าหอ ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันอีกเลย รเมศยังใช้ชีวิตปกติเหมือนดั่งไม่มีเพียงขวัญเป็นภรรยา
เป็นเพียงขวัญเสียอีก ที่ยังพยายามทำหน้าที่ภรรยา ที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างสุดความสามารถ ดูแลรเมศไม่ขาดตกบกพร่อง
โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน แม้สามีของหญิงสาวจะทานบ้างไม่ทานบ้าง แต่เพียงขวัญก็ยังทำอาหารและรอทานข้าวกับสามีทุกเช้าและเย็น
“คุณไม้คะ ทานข้าวเช้าด้วยกันค่ะ” เป็นประจำทุกวัน ที่เพียงขวัญจะมานั่งรอที่ห้องรับแขก หลังจากตั้งโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อย เพื่อดักรอเรียกสามีให้ไปทานอาหารด้วยกัน
เมื่อเห็นชายหนุ่มลงบันไดมา หญิงสาวก็รีบเดินมายืนรอด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มบาง
“ผมไม่สะดวก ขวัญทานเถอะครับ”
รอยยิ้มเต็มใบหน้าค่อยๆ จางหายไป เมื่อสามีปฏิเสธด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงที่แสนสุภาพ และบนใบหน้าอันหล่อเหลายังประดับรอยยิ้มบาง ดั่งคนใจดีและอบอุ่น
จนบางครั้ง เพียงขวัญอยากจะบอกสามีเหลือเกิน ว่าให้เขาสาดคำด่า หรือใช้น้ำเสียงห้วนไม่น่าฟังกับเธอเลย เพราะยังทำให้เธอรู้สึกดี กว่าการปฏิเสธแบบนุ่มนวลเช่นนี้
“ค่ะ” เมื่อได้ยินคำตอบรับของภรรยา รเมศจึงเดินผ่านหน้าเพียงขวัญไป
“เที่ยงนี้ ขวัญขอทำอาหารไปให้คุณไม้ทานที่บริษัทได้ไหมคะ” เท้าที่ก้าวเดินหยุดชะงัก คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย เมื่ออีกคนยังไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ร่างสูงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับภรรยาอีกครั้ง
“อย่าเลยครับ ผมไม่อยากรบกวน อีกอย่างขวัญก็ต้องเข้าไปดูร้านอีก ผมไปนะ” ไม่รอฟังว่าหญิงสาวจะเอ่ยอะไรออกมา เมื่อเอ่ยในสิ่งที่อยากจะเอ่ยเสร็จเรียบร้อย รเมศก็หมุนตัวเดินต่อ
“ค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ”
ไม่มีคำใดหลุดออกมา จากคนที่เดินออกจากบ้าน เพียงขวัญก็ทำได้แค่ยืนมองแผ่นหลังกว้างไปจนลับสายตา จวบจนรถยนต์ของรเมศเคลื่อนตัวออกจากรั้วบ้าน หญิงสาวจึงก็เดินมายังโต๊ะอาหาร
มองโจ๊กหมูหน้าตาน่ารับประทาน ที่เธอตื่นแต่เช้า เพื่อมาตุ๋นไส้อ่อนหมูให้เปื่อย สุดท้ายก็เป็นเธอเพียงคนเดียว ที่นั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะนี้มาเกือบหนึ่งปี
ช่วงแรกหลังจากแต่งงานกัน เพียงขวัญพยายามหาคำตอบให้ตัวเองเสมอ ว่าเหตุใดรเมศถึงได้เว้นระยะห่างกับเธอถึงเพียงนี้ ไม่ใช่แค่ห่างธรรมดา แต่ห่างมากๆ ต่างหากล่ะ
เท่านั้นยังไม่พอ เธอก็ยังตั้งคำถามขึ้นมาอีกข้อ ว่าหากเขาไม่เต็มใจจะแต่งงานกับเธอ แล้วเขามาแต่งงานกับเธอทำไม เพราะเธอก็ไม่ได้เรียกร้องให้เขามารับผิดชอบ หรือว่าที่เขาแต่งงานกับเธอ เป็นเพราะไม่สามารถขัดคำสั่งของมารดาได้อย่างนั้นหรือ
หรือหากข้อสันนิษฐานที่บอกว่า ถูกมารดาบังคับให้แต่งงานไม่ใช่ แล้วเหตุผลใดล่ะ เขาถึงยอมแต่งงานกับเธอ หรือเพราะเขาต้องการรับผิดชอบ ในการกระทำของเขาอย่างนั้นหรือ
หากเป็นอย่างที่เธอสันนิษฐานในข้อสุดท้าย ว่ารเมศต้องการรับผิดชอบในเรื่องคืนนั้น เพียงขวัญอยากจะบอกเหลือเกิน ว่าไม่ต้องมารับผิดชอบเธอเลย เธอไม่ได้เรียกร้อง
เพราะหากจะรับผิดชอบแค่เพียงแต่งงาน และให้เธอนอนกอดทะเบียนสมรส แทนที่เธอจะได้นอนในอ้อมกอดอบอุ่นของเขา ได้พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ หรือทำกิจกรรมร่วมกันดั่งสามีภรรยาทั่วไปที่เขาทำกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างใช้ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่เช่นนี้ เธอไม่ต้องการ
เธออึดอัด!
ร้านคาเฟ่สไตล์มินิมอลที่กำลังเป็นที่นิยม ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดัง รวมไปถึงศูนย์การค้า และบริษัทที่ตั้งอยู่ละแวกนั้น ค่อนข้างได้รับความสนใจ จากลูกค้ามากพอสมควร
อีกทั้งราคาของเครื่องดื่มแต่ละเมนูก็ไม่ได้แพงมาก นักศึกษา พนักงานบริษัท สามารถเข้าถึงได้
เพียงขวัญขับรถเข้ามาจอดที่บริเวณหลังร้าน ในเวลาแปดนาฬิกาสามสิบนาที หญิงสาวหอบหิ้ววัตถุดิบที่ซื้อเข้าทางประตูหลังร้าน ใบหน้างามยิ้มแย้ม ทักทายพนักงานประจำร้าน
“สวัสดีครับพี่ขวัญ วันนี้แต่งตัวน่ารักจังเลยครับ” กาย นักศึกษาหนุ่มที่มาสมัครเป็นพนักงานพาร์ทไทม์เอ่ยชมด้วยความจริง เมื่อเห็นเจ้าของร้านคนสวยเดินเข้ามา
“ขอบใจจ้ะ ชมกันแบบนี้พี่ก็เขินแย่”
“ผมพูดความจริงครับ”
“ว่าแต่พี่ เราก็เหมือนกัน เซตผมซะหล่อเลยนะ”
“ก็แหม! ตอนเช้านักศึกษาเยอะนี่ครับ จะมาแบบโทรมๆ ได้ยังไง” ก็อย่างที่บอก ว่าร้านอยู่ในย่านมหาวิทยาลัย ก็ไม่แปลกที่จะมีนักศึกษาทั้งหญิงและชาย แวะเวียนมาซื้อเครื่องดื่ม
“สลับรางให้ทันแล้วกัน”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ กายซะอย่าง” ไหวไหล่ใส่เจ้านายคนสวยไปหนึ่งที
“จ้า ถ้าชนกันมาเมื่อไหร่ จะหาว่าพี่ไม่เตือน”
“พี่ขวัญก็แค่ช่วยทำแผลให้ผมก็พอครับ”
เพียงขวัญได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ให้ลูกน้องคนสนิท จากนั้นก็หันไปจัดการกับข้าวของที่ซื้อมา จัดเก็บให้เข้าที่เข้าทาง รวมไปถึงตรวจสอบความเรียบร้อยของร้าน ที่หญิงสาวสร้างมาเองกับมือ
แต่จะว่าสร้างเองกับมือก็คงไม่ใช่ เพราะกว่าจะได้ที่ดินตรงนี้มาครอง ก็ได้รับความช่วยเหลือ จากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ที่ช่วยเจรจาเป็นธุระจัดการเรื่องที่ดินให้
ซึ่งแน่นอนว่ามูลค่าของที่ดินตรงนี้ไม่ใช่ถูกๆ อีกทั้งสามีของเธอก็ยังช่วยดูเรื่องการออกแบบร้าน แม้เขาจะเข้ามาดูการก่อสร้างแทบจะนับครั้งได้ก็ตาม
ส่วนมากจะส่งเลขามาดูให้เสียมากกว่า อีกทั้งวันเปิดร้าน สามีของเธอก็ยังอุตส่าห์หอบช่อดอกไม้มาร่วมแสดงความยินดี แม้จะมาเพียงแค่สามสิบนาที ก็นับว่าดีหนักหนาสำหรับเพียงขวัญ
และดอกไม้ช่อนั้น เธอก็ส่งร้านให้สตัฟฟ์ดอกไม้เพื่อเก็บไว้ดู โดยที่คนให้คงไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ว่าเธอจะเก็บดอกไม้ไว้หรือไม่
ทางด้านรเมศ ที่มีประชุมเช้าถึงงานที่กำลังมีปัญหา โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลทางภาคใต้ ถูกผู้รับเหมายัดไส้ใช้เหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานในการก่อสร้าง
หวังจะหลอกตาชายหนุ่ม เพื่อให้เหลือต้นทุนมากกว่าเดิม แต่ผู้รับเหมาเจ้านี้คงไม่ทราบ ว่านอกจากรเมศจะจบปริญญาตรีหลักสูตรบริหารจัดการธุรกิจ และปริญญาโทหลักสูตรนานาชาติสาขา Healthcare and Wellness Management แล้ว
ชายหนุ่มยังจบหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธาพ่วงมาด้วย ซึ่งหลักสูตรหลังไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงพยาบาลที่ทำเลยสักนิด แต่เรียนเพราะความชอบส่วนตัวทั้งสิ้น
“ผมฝากคุณกมล ดำเนินการตามกฎหมาย กับผู้รับเหมาบริษัทนี้ให้ถึงที่สุดนะครับ” หลังจากประชุมปรึกษาหารือ กับทางผู้มีส่วนรับผิดชอบทุกส่วนงานเสร็จเรียบร้อย รเมศก็เรียกทนายประจำตระกูลเข้ามาพบที่ห้องทำงาน
“ได้ครับคุณไม้”
“ถ้าคุณกมลต้องการข้อมูล หรือหลักฐานอะไรเพิ่มเติม ให้ติดต่อมาทางสารัชได้เลยนะครับ”
“ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ”
“เชิญครับ”
สารัชที่ยืนอยู่ในห้องทำงานด้วย เดินมาเปิดประตูให้ทนาย ก่อนจะปิดลงและเดินกลับเข้ามายืนหน้าโต๊ะทำงานของรเมศ
“นายจะรับอาหารเช้าเลยไหมครับ”
จนถึงตอนนี้ สารัชก็ยังไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเจ้านายตัวเอง ถึงได้มาทานอาหารเช้าที่บริษัท ทั้งที่แต่งงานมีภรรยามาเกือบหนึ่งปี
ทำไมหน้าที่ทำอาหารเช้าให้สามีทาน ถึงตกมาเป็นของเขา ที่ต้องคอยสั่งอาหารมาให้เจ้านายทานแทบจะทุกเช้า
“ขอแค่กาแฟก็พอ”
“เจ้านายครับ คุณขวัญส่งข้อความมาแจ้ง ว่าเที่ยงนี้จะให้ไลน์แมนนำอาหารเที่ยงมาให้เจ้านายทานนะครับ” รเมศสบตากับเลขาคนสนิท ด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ไม่ต่างจากแววตาที่เฉยชาเลยสักนิด
“บอกแล้วนะ ว่าไม่ต้องเอามา” ไม่รู้ประโยคนี้เอ่ยกับสารัช หรือบ่นให้เพียงขวัญก็ไม่แน่ใจ
“คุณขวัญก็คงอยากให้เจ้านาย ทานอาหารที่คุณขวัญทำมั้งครับ”
“แล้วนายตอบขวัญไปว่ายังไง”
“ยังไม่ได้ตอบครับ รอถามเจ้านายก่อนว่าจะรับไหม” นี่ก็อีกเรื่องที่สารัชแปลกใจ ว่าทำไม้ทำไม เป็นสามีภรรยากัน ถึงไม่ส่งข้อความบอกกันเอง ทำไมถึงต้องมาผ่านคนกลางอย่างเขา ทั้งที่เรื่องที่ส่งข้อความผ่านเขา ก็คือเรื่องส่วนตัวทั้งนั้น
“นายอยากกินไหมล่ะ” สารัชเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่เข้าใจในคำถามของเจ้านาย
“ถ้านายอยากกินก็ตอบขวัญไป แต่ถ้าไม่อยากกิน ก็บอกว่าไม่ต้องเอามา”
“ทำแบบนั้นจะไม่ใจร้ายกับขวัญไปหน่อยเหรอคะพี่ไม้” เสียงของม่านรวีดังแทรกเข้ามา สายตามองพี่ชายอย่างไม่ใคร่พอใจเสียเท่าไหร่ เมื่อบังเอิญมาได้ยินประโยคใจร้ายนั้นเข้า
“เข้าห้องคนอื่น ไม่เคาะประตูเลยนะ” เอ่ยตำหนิน้องสาว พร้อมกับแผ่นหลังกว้างที่เอนพิงพนักเก้าอี้
“คุณสารัชช่วยส่งข้อความกลับไปบอกขวัญทีนะคะ ว่าให้ทำอาหารมาสามชุด ของพี่ไม้ ม่าน และของคุณ อ๋อ! ทำมาสี่ดีกว่า ของขวัญด้วย แล้วก็บอกขวัญว่า พี่ไม้ให้ขวัญมาทานอาหารเที่ยงด้วยกัน เชิญจัดการตามที่ม่านสั่งได้เลยค่ะ” สารัชอมยิ้ม
“ครับคุณม่าน” โค้งศีรษะให้ม่านรวีเล็กน้อย รีบออกจากห้องไปจัดการตามที่หญิงสาวสั่งด้วยความเต็มใจ
“ยุ่งเกินไปหรือเปล่า” เอ่ยตำหนิน้องสาวกลายๆ ทว่าม่านรวีกลับไม่ได้สนใจในคำติเตียนของพี่ชาย
“ขออนุญาตเป็นคนไร้มารยาทสักวันนะคะ เพราะม่านสงสารพี่สะใภ้ ที่ต้องอยู่กับผู้ชายไร้ชีวิตชีวาแบบพี่ วันๆ เอาแต่ทำงาน ไม่สนใจไยดีความรู้สึกเมียตัวเองบ้างเลย ว่าจะรู้สึกยังไง”
“เล่าให้กันฟัง” เพราะน้องสาวสนิทสนมกับเพียงขวัญมาก ก็อาจเป็นไปได้ ที่เพียงขวัญจะนำเรื่องภายในครอบครัว มาเล่าให้น้องสาวตัวเองฟัง
“เปล่าค่ะ ม่านมีตา มองออก” รเมศส่ายหน้าให้น้องสาว ที่ยอกย้อนตัวเองทุกคำ
“ยอมแต่งงานกับขวัญตามที่คุณแม่บอก แต่ทำตัวเหมือนไม่ใช่ผัวเมียกัน แล้วแบบนี้จะแต่งงานกันทำไมคะ ต่างคนต่างแยกย้ายไปไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเป็นม่านคงไม่มีความอดทนเท่าขวัญหรอก คงหย่ากับพี่ไม้ตั้งแต่เดือนแรกด้วยซ้ำ ทนอยู่ไปได้ยังไงกับคนไร้หัวใจ” รเมศยื่นแฟ้มงานส่งให้น้องสาว
“เอาไปตรวจดูที ว่าโครงการก่อสร้างที่ภูเก็ต มีการเบิกงบเกินไปหรือเปล่า หรือมีอะไรผิดปกติตรงไหน” ม่านรวีย่นจมูกใส่พี่ชายอย่างหมั่นไส้ คว้าแฟ้มงานมาถือไว้
รู้หรอกว่าพี่ชายไม่อยากฟังในสิ่งที่เธอพูด จึงเลือกที่จะโยนงานมาปิดปากเธอไว้
“ค่ะ ท่านประธานผู้ไร้ใจ เดี๋ยวจะไปเป่าหูขวัญให้หย่ากับพี่ แล้วไปหาผัวใหม่ ที่มันน่าตื่นเต้นมากกว่านี้ คนสวยอย่างขวัญหาผู้ชายได้ไม่ยากหรอก จะมาทำตัวเฉาตายกับคนอย่างพี่ทำไม เสียเวลาชีวิตเปล่าๆ ได้เกิดมาทั้งที่ควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่า กอบโกยความสุขให้ตัวเองต่างหาก ความตื่นเต้นรออยู่อีกเพียบ”
“ไป ทำ งาน” ย้ำชัดหนักแน่นในแต่ละคำ เพราะไม่อยากฟังน้องสาวพูดให้มากความ
“รู้แล้วน่า” กระฟัดกระเฟียดเดินกอดแฟ้มออกจากห้องไป
ส่วนคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ชายไร้ใจ ก็ผ่อนลมหายใจออกมา พลางเหลือบสายตามองรูปถ่ายตัวเองและเพียงขวัญที่ถ่ายในวันแต่งงาน แขวนเด่นหราอยู่บนผนังห้อง จากฝีมือมารดาที่เป็นคนจัดการให้
หย่ากับพี่แล้วไปหาผัวใหม่อย่างนั้นเหรอ?