“บักม่วงสุกไวคักสู แป๊บเดียวสิสุกเบิดต้นแล้ว” (มะม่วงสุกโคตรเร็ว แป๊บเดียวจะสุกหมดต้นแล้ว)
แหวนว่าพลางหยิบมะม่วงเปรี้ยวหันท่อนจิ้มลงไปในชามพริกเกลือสีแดง จากนั้นก็ยัดมันเข้าปาก แล้วร้องซู้ดออกมาด้วยความเปรี้ยว
“มีต้นหนึ่งยังบ่สุก เห็นเขียวเบิดต้นเลย” (มีอยู่ต้นหนึ่งยังไม่สุก เห็นเขียวทั้งต้นเลย)
ตองเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ต้นได๋” (ต้นไหน)
แหวนรีบถามกลับ
“บักม่วงเฮือนยายลี” (มะม่วงบ้านยายลี)
“เซา ๆ ๆ” (พอ ๆ ๆ)
แหวนที่เข็ดขยาดรีบโบกไม้โบกมือ เพราะตั้งแต่วันนั้นยายลีก็เข็นเปลหวายออกมาไว้หน้าบ้าน และนอนเฝ้าต้นมะม่วงทุกวัน อะไรมันจะหวงขนาดนี้
“อยากกินไหม เดี๋ยวตอนเย็นให้พี่สิงห์ไปขอซื้อให้”
มินตราเอ่ยขึ้นมาบ้าง ในขณะที่ยกมะม่วงกัดเข้าปาก โดยมีไอ้หิรัญนอนหลับอยู่ในอ้อมแขน วันนี้พี่สิงห์ไม่อยู่บ้านอีกตามเคย เพราะต้องพาตาพวงไปทำธุระ พวกฉันเลยต้องมาอยู่เป็นเพื่อนมินตราที่บ้านของเธอ
“บ่มักซื่อยังวา ซื่อมานี่บ่แซบเลยเด๊ะ คันลักนี่ไคแน” (บอกแล้วไงว่าไม่ชอบซื้อ ซื้อมาก็กินไม่อร่อย มันต้องขโมยกินเท่านั้น)
ในขณะที่เพื่อนทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตัดภาพมาที่ฉันที่ตอนนี้กำลังปอกมะม่วงจนล้นชาม ปอกมันอยู่แบบนั้นด้วยอาการเหม่อเลย จนกระทั่ง...
“เอ๊อะ” (โอ๊ย)
เสียงอุทานหลุดออกมาด้วยความเจ็บ เมื่อมีดที่กำลังถืออยู่ในมือพลาดเข้าเนื้อ ทำเอาทุกคนในวงแตกตื่นไปตาม ๆ กัน
“เป็นไงบ้างมะนาว”
มินตรารีบคว้ามือฉันขึ้นไปดู ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่ามีดไม่เข้า
“ดีนะมีดขี้กะโหลยของอีแหวนบ่เข้า” (ดีนะ ที่มีดเส็งเคร็งของอีแหวนไม่เข้าน่ะ)
ฉันเอ่ยอย่างโล่งใจเช่นกัน
“นั่นล่ะคาแต่เหม่อ” (นั่นแหละ มั่วแต่เหม่อลอย)
“เออ แมนมึงเป็นหยัง กูเห็นเฮ็ดหน้าเหม่อตั้งแต่ไปฮับอยู่เฮือนแล้ว เถียงกันกับพ่ออีกล่ะติ” (เออ มึงเหม่อลอยอะไรวะ เห็นทำหน้าแบบนี้ตั้งแต่ไปรับอยู่บ้านแล้ว หรือว่าทะเลาะกันกับพ่ออีกแล้วเหรอ)
ฉันส่ายหน้าทันที เพราะตั้งแต่ที่พี่พญาเขาทำแบบนั้น ในสมองของฉันก็ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาปนเลย มันเอาแต่คิดวนถึงเรื่องนั้นซ้ำ ๆ สับสนกับตัวเองว่าเขาทำแบบนั้นไปทำไม
“มื่อก่อน...” (วันก่อน...)
ฉันอ้ำอึ้ง มองหน้าเพื่อนทุกคนอย่างเขินอายอย่างที่ไม่เคยเป็น ไม่รู้ว่าควรเริ่มประโยคยังไง เลยยิงคำพูดมันไปแบบตรง ๆ
“อ้ายพญาเลาจูบกู” (พี่พญาเขาจูบกู)
“กรี๊ดดด!”
เสียงแหวนกับตองดังก้องคับพื้นที่ ก่อนฉันจะพุ่งตัวเข้าไปปิดปากเพราะตอนนี้ไอ้หิรัญมันตกใจจนสะดุ้งตื่น ความซวยเลยตกไปเป็นของมินตราที่ต้องกล่อมให้มันนอนไปอีกรอบ
“ชูววว”
ดูท่าว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย ไอ้หิรัญมันไม่ยอมสงบลงเลย จนท้ายที่สุดมินตราต้องอุ้มมันไปนอนที่เปลด้านใน
“ขอโทษหลาย ๆ เด้อ” (ขอโทษมาก ๆ นะแก)
ใบตองพนมมือขอโทษขอโพยเพื่อนไล่หลัง จนกระทั่งมินตราเดินหายเข้าไปในบ้าน
“เว่ามาให้เบิด เลาคือได้จูงมึง ตอนได๋ จูบอยู่ไส” (พูดมาให้หมด ทำไมเขาได้จูบมึง เมื่อไหร่ จูบที่ไหน)
คำถามมากมายถูกยิงเข้ามาจนฉันเลือกไม่ถูกว่าควรตอบคำถามไหนก่อน
“สิว่าจังได๋ล่ะ สิว่าจูบกะบ่แมน” (จะว่ายังไงดีล่ะ เอ่อ... จะว่าจูบก็ไม่ใช่)
ฉันเกาหัวแกรก รู้สึกเขินแปลก ๆ แต่ไอ้เพื่อนสองคนนี้ก็เซ้าซี้และยื่นหน้าเข้ามาถามไม่เลิกด้วยความอยากรู้เต็มทน
“เว่าเหตุการณ์มา กูสิสรุปให้ว่าจูบหรือบ่จูบ” (เล่าเหตุการณ์มา กูจะสรุปให้ว่าจูบหรือไม่จูบ)
ตองทำหน้าจริงจังขึ้น
“เลาเอาปาก เอ่อ... มาแตะปากกู” (เขาเอาปาก เอ่อ... มาแตะปากกู)
ความร้อนแผ่ซ่านขึ้นทั่วแก้ม เมื่อต้องพูดถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำอีกรอบ
“แล้ว... เลากะแย่งลูกอมในปากกู” (แล้ว... เขาก็แย่งลูกอมในปากกูไป)
ทั้งแหวนและใบตองต่างยกมือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะกรีดร้องออกมาเพียงลม เพราะกลัวว่าจะส่งเสียงดังทำให้ไอ้หิรัญมันตื่นขึ้นมาอีก
“แล้วจังได๋ต่อ” (แล้วยังไงต่อ)
“กะบ่จังได๋ กูกะยางออกมาเลย” (ก็ไม่ยังไง กูก็รีบเดินออกมาเลย)
“โอ๊ยย! มึงคือปึกแท้” (โอ๊ยย ทำไมโง่แบบนี้ฮะ!)
“เอ้า”
อยู่ ๆ ก็ถูกด่าว่าโง่ซึ่ง ๆ หน้าซะงั้น
“เลาเปิดทางมาขนาดนี้ มึงคือบ่ฟ่าวแลนตำ” (เขาเปิดทางให้ขนาดนี้ ทำไมแกไม่รีบวิ่งชน)
แหวนตบเข่าฉาดใหญ่ โดยมีตองเออออไปด้วย
“กะกูเฮ็ดโตบ่ถืก ยังงง ๆ อยู่ สูว่าแบบนี้เลาตั้งใจจูบกู ฮึว่าแค่อยากกินลูกอม” (ก็กูทำตัวไม่ถูก ยังงงๆ อยู่เลย พวกมึงว่าแบบนี้เขาตั้งใจจูบกูไหม หรือแค่อยากกินลูกอมเฉย ๆ วะ)
“มึงเซือบ่ แต่เกิดมากูบ่เคยเห็นมึงปึกปานนี่จักเทือ” (มึงเชื่อไหม ตั้งแต่เกิดมากูไม่เคยเห็นครั้งไหนที่มึงโง่ได้เท่าครั้งนี้มาก่อน)
ตองต่อว่าซึ่ง ๆ หน้าซ้ำอีก แต่มันก็เป็นคำพูดที่ฉันเถียงไม่ออก และฉันเชื่อว่าถ้าคนอื่นเจอแบบฉันก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกัน เขาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจฉันเลยสักนิด แต่จู่ ๆ ก็พุ่งเข้ามาจูบ แล้วจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน
“สิ่งที่มึงต้องเฮ็ดหลังจากนี่คือฟ่าวสานต่อให้ไวที่สุด” (สิ่งที่มึงต้องทำหลังจากนี้ คือรีบไปสานต่อให้ไวที่สุด)
“สานต่อจังได๋ น้าอรกลับมาแล้ว กูบ่ต้องเอากับข้าวไปส่งให้เลาแล้ว” (สานต่อยังไงล่ะ น้าอรก็กลับมาแล้ว กูไม่ต้องเอากับข้าวไปส่งให้เขาแล้ว)
ตั้งแต่เกิดเรื่อง ฉันกับเขายังไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย บอกตามตรงว่ามองหน้าเขาไม่ติด ขนาดจะขับรถผ่านหน้าบ้านเขา ฉันยังยอมขับอ้อมไปตั้งไกลเพื่อจะได้ไม่เห็นหน้ากัน
“บ่มีกับข้าว มึงกะหาเอาแนวอื่นไปส่ง คือจัง...” (ไม่มีกับข้าว มึงก็เอาอย่างอื่นไปส่ง อย่างเช่น...)
แหวนกวาดสายตามองไปรอบเตียง ก่อนจะรวบมะม่วงที่เพิ่งปอกเสร็จยัดใส่กระปุก
“ไป”
“ปะ ไปไส” (ปะ ไปไหน)
ฉันอ้ำอึ้งด้วยความสับสน เพราะจู่ ๆ ก็ถูกเพื่อนลากแขนมานั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ พร้อมกับเตรียมมะม่วงใส่หน้ารถให้เสร็จสรรพ
“ไปหาอ้ายพญา บอกว่าเอาบักม่วงมาฝาก” (ไปหาพี่พญา บอกแกว่าเอามะม่วงมาฝาก)
“สูสิบ้าติ บ่เอาา” (พวกมึงจะบ้าเหรอ ไม่เอาา)
ฉันรีบเด้งตัวออกจากรถ แต่ก็ถูกใบตองที่อยู่ด้านหลังกดตัวลงตามเดิม
“มึงสิย่านอิหยังประสาหำ แลนตำมันโลด บ่อยากได้แล้วเบาะผัว” (มึงจะกลัวอะไรวะก็แค่โจ้ย วิ่งชนเลย ไม่อยากได้แล้วเหรอ ผัวน่ะ)
คำพูดปลุกใจดังอยู่ใกล้หู พร้อมกับสีหน้ามุ่งมั่นที่พวกมันคาดหวังในตัวฉันเป็นอย่างมาก
“จีบเลาให้ติด เอาเลาไปนั่งเล่นวงไพ่ให้ได้ ประกาศให้ซุมอีแตนฮู่ว่าอ้ายพญาน่ะ ของมึงอิหลี” (จีบเขาให้ติด พาเขามาวงไพ่ให้ได้ ประกาศให้พวกอีแตนเห็นว่าพี่พญาน่ะเป็นของมึงจริง ๆ)
“อะ เอาแบบนั่นติ” (อะ เอาแบบนั้นเหรอ)
“เอาแบบนี่ล่ะ!”
ใบตองและแหวนรบเร้าสีหน้าจริงจัง นี่ฉันคิดถูกจริง ๆ ใช่ไหมที่เล่าให้พวกมันฟัง ฉันเกรงว่าถ้าออกตัวแรงอีก เดี๋ยวจะพังยับเหมือนรอบพี่สิงห์ แบบนั้นไม่เอาแล้วนะ เข็ดขยาดจะแย่