แม้ความมั่นใจจะยังไม่เต็มร้อย แต่ฉันก็ถูกเพื่อนดันหลังจนกระทั่งขับรถมาถึงหน้าบ้านตาพวงอย่างงง ๆ มาถึงแล้วก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อ เอาแต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อย่างกับคนไม่เคยมา
“มาหยังล่ะนาว” (มาอะไรมะนาว)
เสียงทักท้วงของน้าอรทำฉันสะดุ้งโหยง รีบยกกล่องใส่มะม่วงชูให้ดู
“ข่อยเอาบักม่วงมาให้อ้ายพญา เลาอยู่บ่” (ฉันเอามะม่วงมาฝากพี่พญา เขาอยู่บ้านไหม)
“อยู่ในเฮือนนั่นล่ะ เข้าไปโลด” (อยู่ในบ้านนั่นแหละ เดินเข้าไปได้เลย)
เธอเงยหน้าขึ้นมาบอกเล็กน้อย แล้วก้มลงไปสนใจกับผักที่อยู่ในกะละมังใบใหญ่ต่อ ฉันที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่จึงต้องเรียกพลังความกล้า ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปด้านใน
ภายในบ้านดูดีขึ้นมาจากช่วงก่อนหน้านี้ น่าจะเพราะน้าอรกลับมาทำความสะอาดแล้ว แต่เข้ามาจนสุดด้านในตัวบ้าน ฉันก็ยังไม่เห็นพี่พญาอยู่ในนี้เลย
“ไปไสวะ” (ไปไหนวะ)
ฉันพึมพำเบา ๆ กับตัวเองอย่างประหม่า ก่อนจะตัดสินใจหันหลังเตรียมจะกลับไปหาพวกเพื่อน ๆ ที่รออยู่ แต่ก็ต้องสะดุ้งยึกเมื่อหันกลับมาแล้วพบว่าพี่พญากำลังยืนอยู่ด้านหลังจนหน้าฉันเกือบจมเข้ากับแผ่นอกของเขา
“ตะ ตกใจหมด”
ฉันแหงนหน้ามองอีกฝ่ายก่อนจะเบนหน้าหลบ หัวใจเริ่มเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง และแน่นอนว่ามันไม่ได้สั่นเพราะตกใจ
“หึ ไม่เห็นหน้าเห็นตา นึกว่ากลัวซะแล้ว”
คนร่างสูงกระตุกยิ้มขำ สายตาคมเข้มจ้องมาที่ฉัน นั่นยิ่งทำให้ความประหม่าเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
“กลัวอะไร ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว ที่ไม่ได้มาหาก็เพราะน้าอรกลับมาแล้วนี่”
ฉันพยายามเก็บซ่อนอาการ ไม่ให้เขารู้ว่าตอนนี้เหงื่อกำลังชุ่มไปทั่วฝ่ามือเล็ก
“แล้ววันนี้มาทำไม”
“เอามะม่วงมาให้ เผื่ออยากกิน”
ฉันยื่นส่งมะม่วงในมือให้กับเขา แต่ยังไม่ยอมสู้หน้า เพราะรู้ว่าถ้าเงยหน้าขึ้นไป ต้องเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของเขาที่กำลังเพ่งมองมาที่ฉันแน่นอน
“แค่นี้เหรอ”
คนร่างหนาโน้มตัวลงมาถาม ดูเหมือนว่าเจอกันรอบนี้เขาจะพูดเยอะขึ้นกว่ารอบก่อน แถมยัง... ใช้คำพูดและน้ำเสียงแปลก ๆ ไปด้วย
“ใช่ ทำไม คิดว่าฉันคิดถึงเลยอยากมาหาพี่เหรอ”
ฉันเชิดหน้าขึ้นถามบ้าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบ น้าอรก็เดินเข้ามา
“นาว”
เสียงเรียกของน้าอรทำให้เราผละออกจากกันโดยอัตโนมัติ
“อย่าฟ่าวกลับเด้อ น้าขึ้นไปเอาบักถั่วดินให้ก่อน” (อย่าเพิ่งรีบกลับนะ น้าขึ้นไปเอาถั่วให้ก่อน)
“จ้า”
ฉันพยักหน้ารับทันที แล้วมองตามน้าอรที่เดินออกไปจากบ้าน ทิ้งให้ฉันกับพี่พญาอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“ไอ้สรล่ะ”
ฉันเดินไปวางกล่องใส่มะม่วงลงบนโต๊ะ พร้อมกับกวาดสายตามองว่ามีใครอยู่บ้านนี้อีกไหม
“ไปกับตาพวงน่ะ”
เขาพูดพร้อมกับเดินมาเปิดกล่องมะม่วง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากัดกินด้วยท่าทางสบาย ๆ
“แผลใกล้หายแล้วใช่ไหม”
ฉันจ้องสำรวจไปตามเนื้อตัว ที่แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อเอาไว้อยู่ แต่กระดุมสามเม็ดด้านบนสุดกลับถูกเปิดออกอย่างจงใจ
“จะชวนไปซนที่ไหน”
เขาว่าอย่างรู้ทัน
“ก็ที่ชวนไว้ไง จะพาไปเล่นไพ่”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับทำสีหน้าจริงจังยิ่งขึ้น อีกฝ่ายไม่ตอบ เพียงแค่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ไม่กลัวจริง ๆ สินะ”
เขาพูดออกมาลอย ๆ โดยที่ฉันไม่เข้าใจความหมาย ก่อนจะผละออกไปหยิบหัวว่านที่อยู่ในตะกร้าออกมาคัดแยก
“แล้วสรุปไปไหม”
“ถ้าไม่ไปจะตื๊อเหรอ”
“ตื๊อสิ เผื่อฟลุก”
ฉันบอกออกไปตามตรง เพราะเป็นคนพูดอ้อมค้อมไม่เป็นอยู่แล้ว
“อืม... อยากไปเหมือนกันนะ แต่เล่นไม่เป็น กลัวจะไปขายหน้าน่ะสิ”
“ไม่ขายหน้าหรอกน่า เดี๋ยวฉันสอนให้”
“ที่ไหน?”
“หมายถึงสอนเหรอ ที่นี่ก็ได้”
พูดพร้อมกับคลำหาไพ่ในกระเป๋า แต่ดันลืมพกติดตัวมา
“อีกหน่อยตาพวงก็มาแล้ว ถ้าตาพวงเห็นว่าเธอสอนฉันเล่นไพ่ มีหวังโดนด่าหูชาแน่”
“ก็จริง”
ฉันเม้มปากเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“งั้นตอนเย็นฉันปีนหน้าต่างมาหาแล้วกัน”
“ปีน?”
เขาเลิกคิ้วถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าฉันจะพูดแบบนี้
“ใช่ แต่บ้านตาพวงสูงเป็นบ้า งั้นพี่ปีนมาหาฉันที่ห้องดีกว่า”
คนได้ฟังไม่พูดอะไร เพียงแค่กระตุกยิ้มออกมาจนยากจะเข้าใจความหมาย
“ยิ้มอะไร”
“ท้าทายเหรอ”
“ท้าทายอะไร?”
ฉันย่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างงุนงง หรือว่าเขากำลังจะคิดเลยเถิดไปไกลถึงไหนต่อไหน
“พะ พี่คิดอะไรอยู่เนี่ย ฉันแค่ชวนไปสอนเล่นไพ่ ไม่ได้ชวนไปทำให้พี่เสียหายหรอกน่า”
เขาหัวเราะออกมาในลำคอ แต่ก็ไม่ยอมปฏิเสธคำเชิญชวนของฉัน
“ว่าไง สรุปมาหรือไม่มา จะได้เปิดหน้าต่างรอ”
“คิดก่อน”
เขาตอบกลับมาสั้น ๆ แต่ฉันว่าเขาไม่มาแหง ๆ ถ้ามาเขาก็คงบอกว่ามาแล้ว ที่ตอบว่าคิดก่อน ก็คงเพื่อรักษามารยาทเท่านั้น แต่ก็ช่างมันเถอะ บอกแล้วไงว่าฉันเต๊าะไปงั้นแหละ ได้ก็เอา ไม่ได้ก็ไม่เอา