งานเลี้ยงในวังหลวง
“คุณหนูถึงแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อท่านแม่เข้าไปหรือยัง”
“นายท่านและฮูหยินรอคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ”
สตรีในชุดสีม่วงอ่อนประดับไหมสีทองถักทอบนผ้าไหมแก้วสุดหรูค่อย ๆ เดินออกจากรถม้าของจวนราชครู เพื่อร่วมงานฉลองกองทัพขององค์ชายทั้งสองพระองค์ที่พึ่งชนะศึกมาได้ร่วมสองเดือน บัดนี้สองกองทัพขององค์ชายทั้งสองก็เดินทางจนถึงเมืองหลวงแล้ว
“คุณหนูวันนี้ท่านงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“ขอบใจมากอาหรู นั่น….”
“คุณหนูเจ้าคะรถม้าตำหนักองค์ชายรองเจ้าค่ะ”
“อันลี่ซิน” ใช้มือกุมหัวใจเอาไว้แน่นเพียงแค่ได้เห็นตราประดับยศและตำแหน่งหน้ารถม้าที่ค่อย ๆ เคลื่อนเขามายังลานจอด นางที่พึ่งเดินลงมารู้สึกราวกับทุกสิ่งรอบกายหยุดหมุน
เมื่อบุรุษหนุ่มรูปร่างกำยำสวมฉลองพระองค์สีเข้มพิมพ์ดิ้นทองทั้งชุดเดินลงมา แม้ใบหน้าจะดูบึ้งตึงเย็นชาราวกับฉาบไปด้วยก้อนน้ำแข็งแต่ก็ทำให้หัวใจของสตรีเช่นอันลี่ซินเต้นผิดจังหวะ เพียงแค่สบเนตรที่หันมามองนาง
“อันลี่ซินถวายบังคมองค์ชายรองเพคะ”
“อันลี่ซิน ไม่ได้พบกันนานเจ้าเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่”
“มิกล้าเพคะ ยินดีกับองค์ชายที่ชนะศึกเมืองไป่เจียงด้วยเพคะ”
“ขอบใจนะเจ้าจะเดินเข้าไปในงานเลี้ยงหรือไม่”
“เพคะ หม่อมฉันมากับท่านพ่อ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน แล้วพบกันใหม่”
อันลี่ซินย่อคำนับเพื่อเป็นการส่งเสด็จองค์ชายรองก่อนที่จะเซจนสาวใช้ต้องรีบพยุงเอาไว้เพราะนางตื่นเต้นจนเกือบยืนไม่อยู่
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้า…เกือบจะหยุดหายใจเสียแล้วอาหรู พระองค์ช่างรูปงามและสุขุมเช่นเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย”
“ท่านชื่นชมองค์ชายรองมานาน เหตุใดครั้งนี้จึงไม่เดินเข้าไปในงานพร้อมกับพระองค์เล่าเจ้าคะ”
“เพราะว่ามันไม่งามน่ะสิ แม้นว่าข้ากับองค์ชายรองจะเคยรู้จักกันมาก่อนตอนที่เขาเคยร่ำเรียนกับท่านพ่อ แต่ข้าก็หาได้จะทำเช่นนั้นได้ไม่ ตอนนี้ข้ากับพระองค์ล้วนเติบโตขึ้นแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ในงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ซึ่งเดิมทีเอาไว้ต้อนรับแขกต่างแคว้น วันนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่องค์ชายทั้งสองกองทัพกลับเข้าเมืองหลวง ฝ่าบาทจึงสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
ในงานวันนี้เหล่าขุนนางต่างพาบุตรสาวของตนเองเข้ามาในงานกันอย่างพร้อมเพรียงเพราะโอกาสเช่นนี้หาได้มีมากไม่ ซึ่งฝ่าบาททรงต้องการให้เหล่าองค์ชายที่เหลือได้พบปะกับบรรดาสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง
“ยอดเยี่ยมมาก เอาล่ะขุนนางทุกท่านงานเลี้ยงนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะให้กับกองทัพขององค์ชายรองที่เอาชนะข้าศึกแดนพายัพ และ “องค์ชายใหญ่” ที่ชนะศึกแดนใต้มา มาทุกคนร่วมกันดื่มยินดีให้กับสองกองทัพที่สามารถปกป้องแผ่นดินต้าซ่งนี้เอาไว้ได้อีกครั้ง ดื่ม"
ทุกคนร่วมกันดื่มเพื่อฉลองให้กับเหล่ากองทัพ “อวี้ตงหลาน” องค์ชายใหญ่แห่งต้าซ่ง พระโอรสองค์โตของฝ่าบาทและฮองเฮาในตอนนี้ “อวี้หลินเซียง” ส่วน “เว่ยซ่างเจวี๋ย” เป็นพระโอรสองค์รองของฝ่าบาทกับอดีตฮองเฮา “เว่ยจินเยว่”
“ลูกแม่เจ้าชื่นชมองค์ชายรองมานาน เหตุใดจึงไม่เห็นพูดถึงพระองค์เลยเล่า”
“นั่นสิซินเอ๋อร์ พ่อเองก็นึกแปลกใจที่วันนี้เจ้าไม่เอ่ยปากถึงองค์ชายเลยหรือว่าเจ้าอายงั้นหรือ”
“ท่านพ่อเจ้าคะที่นี่คือวังหลวง อีกอย่างผู้คนมากมายลูกก็แค่ไม่อยากพูดเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“อืม นับว่าเจ้ารู้ความ เฮ้อ…เห็นว่าวันนี้ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะประทานงานหมั้นหมายให้กับองค์ชายทั้งสอง”
“จริงหรือเจ้าคะท่านพี่ แล้วเหตุใดจึงต้องประทานในวันนี้หรือว่า…”
“เหมือนกับเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าผู้ใดจะได้เป็นองค์รัชทายาทนั่นแหละ แม้ว่ากองทัพบูรพาของ "องค์ชายรอง" จะยิ่งใหญ่แต่พระองค์ก็เป็นพระโอรสของอดีตฮองเฮา”
“ท่านพ่อหมายถึง… วันนี้ฝ่าบาทจะ ประทานงานหมั้นให้องค์ชายหรือเจ้าคะ เช่นนั้น…”
“ซินเอ๋อร์แม่ว่าคงจะประทานให้กับองค์ชายใหญ่เท่านั้น เพราะพระองค์คือพระโอรสองค์โต”
“นั่นสินะเจ้าคะ”
หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะจนเกือบหายใจไม่ออก นางจึงขอออกมาเดินเล่นที่สวนด้านนอก เมื่อได้เดินมองดอกไม้ในสวนก็ทำให้จิตใจผ่อนคลายลงได้บ้าง นางเดินไปจนเกือบถึงศาลากลางสวนและได้ยินเสียงคนดังนั้นจึงได้แอบที่โขดหินเพื่อมิให้ผู้ใดเห็นและพยายามพาตัวเองเดินกลับออกไป
“อะไรนะเพคะ หมั้นหมายหรือเพคะ”
ลี่ซินรู้ว่าพลาดไปเสียแล้วที่มาได้ยินสิ่งที่ไม่ควรจากตรงนี้ นางกำลังจะเดินออกไปแต่กลับก้าวขาไม่ออก เมื่อสตรีคนเดิมเอ่ยขึ้น
“พี่ซ่างเจวี๋ยท่านล้อข้าเล่นหรือไม่ แม้นว่าข้าจะเป็นบุตรีท่านแม่ทัพและเราสองคนก็สนิทกันดุจสหายมาก่อน แต่เรื่องการหมั้นหมายนี้มิใช่ว่าต้องเป็นฝ่าบาทหรือฮองเฮาที่ทรงประทานอนุญาตมิใช่หรือเพคะ”
หัวใจของลี่ซินราวกับหยุดเต้นเมื่อรู้ว่าผู้ใดที่ยืนคุยกันอยู่ที่ศาลาในสวนนี้ นางพยายามเดินเลี่ยงออกไปแต่ขบวนสาวใช้กลับสวนเข้ามาจึงทำได้แค่แอบเข้าไปในซอกหินและนั่นทำให้นางได้ยินทุกอย่างชัดขึ้นกว่าเดิม
“ข้าก็แค่ถามดูเท่านั้น ในเมื่อถึงอย่างไรก็ต้องแต่งงานกับสตรีสักคนข้าก็อยากจะถามว่าเรื่องนี้บุตรแม่ทัพเช่นเจ้าคิดเช่นไร”
ทูลองค์ชายรอง ฝ่าบาททรงรับสั่งให้กลับเข้าไปในห้องโถงงานเลี้ยงพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ข้ารู้แล้วพวกเราไปกันเถอะ”
“เพคะ”
เสียงฝีเท้าเดินออกไปจากสวนแล้ว แม้ว่าเว่ยซ่างเจวี๋ยจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจหนัก ๆ ของคนและเห็นเพียงขอบชายกระโปรงสีม่วง แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ถึงแม้ว่าเรื่องที่เขาคุยกับ “เฟิ่งถงหลิน” บุตรสาวแม่ทัพใหญ่ “เฟิ่งฉวน” จะหลุดออกไปก็ตาม
ห้องโถง
“ลี่ซินเจ้าไปไหนมา เหตุใดจึงหน้าซีดเช่นนี้”
“เปล่าเจ้าค่ะท่านแม่”
“รีบนั่งลงเร็วเข้าฝาบาททรงรับสั่งจะประกาศราชโองการแล้ว”
อันลี่ซินรีบนั่งลงพร้อมกับซับเหงื่อไปด้วยเมื่อนางค่อย ๆ ยกชาขึ้นมาจิบก็เผลอหันไปสบตากับองค์ชายรองเข้า นางเกือบจะสำลักชาจนต้องรีบหันมาเช็ดปาก
“เจ้าเป็นอะไรน่ะ อย่าเสียมารยาทสิ”
“ขอโทษเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกแค่ไม่ทันคิดว่าชามันร้อนก็เลยลวกปาก”
ลี่ซินพยายามหลบสายตาที่จดจ้องมาที่นางและทำเป็นมองไปที่อื่น แม้จะรู้แล้วเช่นไรกันเล่า นางก็มิได้พูดเรื่องนี้กับผู้อื่นเสียหน่อยเขาจะมาเอาผิดได้เช่นไร
“ราชโองการฉบับแรก องค์ชายใหญ่อวี้ตงหลานรับราชโองการ”
“อวี้ตงหลาน” องค์ชายใหญ่ที่รูปร่างสูงกำยำกว่าองค์ชายรองเล็กน้อยเดินออกมาเพื่อรับราชโองการ
“ด้วยโองการแห่งฟ้า องค์ชายใหญ่อวี้ตงหลานสร้างคุณงามความดี เอาชนะศึกดินแดนใต้รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ข้าในนามโอรสสวรรค์เลื่อนยศให้เป็น “อวี้อ๋อง” ให้ปกครองดินแดนใต้รวมถึงทิศพายัพและดินแดนประจิม มอบทองและอาวุธให้กองทัพทักษิณ ทองเจ็ดพันช่าง เงินสามหมื่นตำลึงทอง ประทานงานหมั้นหมาย…. ระหว่างอวี้อ๋องกับบุตรีคนเล็กของแม่ทัพเฟิ่งฉวนนามว่า “เฟิ่งถงหลิน” รอฤกษ์ดีจัดงานอภิเษกสมรส รับราชโองการ"
“อะไรนะ! ประทานงานหมั้นหมายองค์ชายใหญ่ให้หมั้นหมายกับบุตรีท่านแม่ทัพเฟิ่งงั้นหรือ”