ตอนที่ 2 ว่าที่คู่หมั้น

1423 คำ
อันลี่ซินหันไปมององค์ชายรองในทันที ซึ่งตอนนี้เขามิได้พูดหรือแสดงสีพักตร์อื่น ๆ เพียงแค่มองจอกชาของตนเองเท่านั้น และแม้ว่าอันลี่ซินจะตกใจแต่ก็ไม่เท่ากับสิ่งที่นางได้ยินที่ศาลา พวกเขาคุยกันไม่กี่ประโยคก็เดินออกมาซึ่งนางก็ไม่ได้มั่นใจนักแต่ดูจากสีหน้าและรอยยิ้มของ “เฟิ่งถงหลิน” ก็ต้องบอกได้ว่านางยินดีที่จะหมั้นหมายกับองค์ชายใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย “เป็นไปได้เช่นไร เช่นนี้ก็เท่ากับว่าองค์ชายใหญ่มีสิทธิ์ในตำแหน่งรัชทายาทน่ะสิ” “เงียบก่อนเถอะ” เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในห้องโถง เสียงวิจารณ์ต่าง ๆ นานาที่เริ่มดังขึ้น หากบุตรีท่านแม่ทัพหลวงสมรสกับอวี้อ๋อง นั่นไม่เท่ากับว่าองค์ชายใหญ่เข้าใกล้ตำแหน่งรัชทายาทไปเกินครึ่งงั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่ผลงานในครั้งนี้กองทัพบูรพานั้นได้ดินแดนมากกว่ากองทัพของอวี้อ๋องถึงสามส่วน “พระราชโองการฉบับที่สอง องค์ชายรองเว่ยซ่างเจวี๋ยรับราชโองการ” “เว่ยซ่างเจวี๋ย” ลุกจากที่นั่งและเดินเข้ามา “องค์ชายรองเว่ยซ่างเจวี๋ย แห่งดินแดนบูรพาสร้างความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่กับแผ่นดิน สามารถรวบรวมดินแดนเหนือและตะวันออกได้โดยใช้ไพร่พลน้อยถือว่าสร้างความชอบใหญ่หลวง ในนามโอรสสวรรค์ขอเลื่อนยศให้เป็น “เว่ยอ๋องแห่งดินแดนบูรพา” ปกครองสามดินแดนอาคเนย์ บูรพาและอุดร ประทานป้ายทองสั่งการสามกองทัพและองครักษ์เกราะเงิน ทองหนึ่งหมื่นชั่ง ม้าศึกสามพันตัว เงินสามหมื่นตำลึงทองและประทานงานหมั้นหมายเว่ยอ๋องกับ…. บุตรีท่านราชครูอันหย่งชุน นามว่า “อันลี่ซิน” หาฤกษ์ดีจัดพิธีอภิเษกสมรส รับราชโองการ" ทุกคนในห้องโถงต่างตกใจไม่น้อยเมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยประทานงานหมั้นเว่ยอ๋องกับอันลี่ซิน แม้ว่าท่านราชครูจะมิได้มีอิทธิพลทางด้านกองทัพแต่ราชครูอันเป็นขุนนางข้างพระวรกายของฝ่าบาท ซึ่งสำคัญมากกว่าเสนาบดีเสียอีก อีกทั้งรางวัลที่ฝ่าบาทประทานให้เว่ยอ๋องยังดูมากกว่าที่ให้กับองค์ชายใหญ่จนเสียงวิจารณ์เริ่มแตกเป็นสองฝ่าย “ลี่ซิน! เร็วเข้ารีบเดินออกไปรับราชโองการกับท่านอ๋อง” เว่ยซ่างเจวี๋ยหันมาที่นางและเดินมารับลี่ซินที่โต๊ะ เพื่อพานางไปหน้าที่ประทับของฝ่าบาท “เจ้าได้ยินสิ่งใด” “หม่อมฉัน…” “เสร็จงานนี้แล้วค่อยคุยเถอะ” “แต่ว่าหม่อมฉันไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะเพคะคือว่า…” “อย่าพึ่งพูดอะไรเลย รีบรับราชโองการเสียก่อนเถอะ” ทั้งคู่คุกเข่าลงก่อนจะขอบพระทัยฝ่าบาท เว่ยอ๋องจึงพานางเดินกลับไปที่โต๊ะ “เลิกงานแล้วอย่าพึ่งกลับ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” “คือ…” ลี่ซินเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าเช่นไรเมื่อหันไปมองที่เฟิ่งถงหลินก็ต้องแปลกใจ เพราะนางดูตกใจมากกว่าตอนที่ได้รับเลือกให้หมั้นหมายกับองค์ชายใหญ่เสียอีก อีกทั้งสายตาของนางมองมาที่ท่านอ๋องเว่ยด้วยความรู้สึกที่ลี่ซินก็เดาไม่ออกว่านางโกรธ เสียใจหรือว่าเสียดายกันแน่ “ซินเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพี่เหตุใดท่านไม่บอกพวกเราก่อนเล่าเจ้าคะ” “ข้าหาได้รู้ไม่ว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้ ซินเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้างยังไหวอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านแม่แต่ว่าเมื่อครู่นี้เหตุใดจึงเป็นข้าเล่าเจ้าคะ แม้แต่ท่านพ่อก็ยังมิทราบมาก่อนเลยหรือเจ้าคะ” “เรื่องนี้เอาไว้พ่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทอีกครั้งจะรีบมาบอกเจ้านะ ว่าแต่เจ้าไม่ขัดข้องใช่หรือไม่” “ท่านราชครู อันฮูหยิน” “ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” “อย่ามากพิธีเช่นนี้เลย อาจารย์ข้าขอคุยกับ…น้องลี่ซินสักครู่ได้หรือไม่ขอรับ” ลี่ซินหันมามองบิดาและมารดา ทั้งสองพยักหน้าให้เป็นคำตอบนางจึงได้หันกลับไปตอบท่านอ๋องที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อรอคำตอบ “เพคะ” อันลี่ซินจะขัดข้องได้เช่นไร ในเมื่อในหัวใจแทบจะกระโดดออกมาได้อยู่แล้ว นางดีใจจนแทบหยุดหายใจเมื่อรู้ว่าจะได้หมั้นหมายกับชายอันเป็นที่รัก นางชื่นชมเว่ยอ๋องมาตั้งแต่พบเขาในวังครั้งแรกในวัยเยาว์ เขามอบขนมให้นางตอนที่นางทำของตัวเองตกพื้นก่อนจะยิ้มให้และวิ่งกลับเข้าไปเรียนในหอตำรา ครั้งนั้นนางจึงจดจำชื่อและรอยยิ้มนั้นเอาไว้ได้ “อันลี่ซิน! ข้าพูดกับเจ้าอยู่” ลี่ซินตกใจจนสะดุ้งเมื่อนางเดินตามท่านอ๋องออกมาด้านนอกหลังงานเลี้ยงเลิกแล้ว เขาพาเดินมาที่ศาลาในสวนอีกครั้งซึ่งก่อนหน้านี้นางแอบอยู่หลังโขดหินนั่นฟังเขาและเฟิ่งถงหลินคุยกัน “เมื่อครู่นี้เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่แอบฟังข้ากับเฟิ่งถงหลินคุยกันที่นี่” “หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ เพียงแค่มาเดินเล่นเท่านั้นและเมื่อได้ยินเสียงจึงรีบจะหาทางเดินออกไป แต่เห็นขบวนเสด็จของพระสนมจึงได้รีบหลบ ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องที่ไม่สมควร” “เรื่องที่ไม่สมควรงั้นหรือ นี่มิใช่แผนการของสกุลอันหรอกหรือ” “อะไรนะเพคะ” ลี่ซินเสียงแข็งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้นจากเขา แม้จะชื่นชมเขาเพียงใดแต่คงยอมไม่ได้หากว่าเว่ยอ๋องคิดว่านี่เป็นแผนการของนางและสกุลอัน “เปล่า คือข้าอาจจะคิดมากเกินไป เอาเป็นว่าในเมื่อรับราชโองการมาแล้วเช่นนั้นจากนี้พวกเราก็…” “ท่านอ๋องเพคะ” เฟิ่งถงหลินเดินมายังศาลาที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าทำเอาสีพระพักตร์ท่านอ๋องทรงเปลี่ยนไปเป็นห่วงนางเล็กน้อย พร้อมกับหันไปถามแต่ยังยืนอยู่ที่เดิม “ถงหลิน เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” “ขอบังอาจเสียมารยาทแต่หากว่าพระองค์พอจะมีเวลา หม่อมฉันขอเวลาคุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัวสักครู่ได้หรือไม่เพคะ” ลี่ซินไม่คิดเลยว่าเฟิ่งถงหลินจะกล้าเดินเข้ามาพูดแทรกระหว่างที่นางกับท่านอ๋องคุยกันเช่นนี้ นางเองก็เป็นบุตรขุนนางเช่นกันเหตุใดถึงได้ไม่รู้มารยาทเช่นนี้ “แม่นางเฟิ่ง ข้ากับท่านอ๋อง…” “ได้สิ” อันลี่ซินหันไปมองพักตร์ท่านอ๋องที่หันไปตอบเฟิ่งถงหลินที่ยืนก้มหน้าทำสายตาเศร้ารออยู่ แม้นว่าอันลี่ซินจะมิได้เป็นแบบอย่างของสตรีชั้นสูงแต่นางก็มีศักดิ์ศรี เมือเว่ยอ๋องไม่ให้เกียรตินางเช่นนี้นางเองก็ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติผู้ใด “ท่านอ๋อง” เว่ยอ๋องหันมามองหน้าอันลี่ซินที่เริ่มทำสีหน้าโกรธเขาอยู่ แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามีเรื่องต้องคุยกันต่อก็ตาม “ถงหลิน ไม่สิตอนนี้เจ้าเป็นว่าที่คู่หมั้นของอวี้อ๋องแล้ว แม่นางเฟิ่งรบกวนรอข้าสักครู่ ข้าขอไปส่งว่าที่คู่หมั้นของข้าก่อนแล้วจะกลับมาคุยกับเจ้า” “แต่ว่า…หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญที่จะทูลต่อท่านอ๋องจริง ๆ มิเช่นนั้นคงไม่เสียมารยาทเช่นนี้” “ดูแล้วแม่นางเฟิ่งคงจะมีเรื่องในใจที่อยากจะคุยกับพระองค์ เช่นนั้นไม่ต้องเสียเวลาไปส่งหม่อมฉันแล้วเพคะ ทูลลาตรงนี้เลยก็แล้วกัน” “เดี๋ยวก่อนลี่ซิน ทำไมเจ้า…” ลี่ซินหันไปมองหน้าเว่ยอ๋องอีกครั้ง นางชื่นชมเขาหนักหนาแต่หากในใจเขามีสตรีอื่น หรือสตรีอื่นยังมิอาจหักห้ามใจได้เช่นนี้ นางก็ขอเลือกที่จะไม่เข้าไปวุ่นวายกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเสียจะดีกว่า อีกอย่างเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันเอาไว้ก่อนหน้านี้คงต้องได้ข้อยุติเสียที “หม่อมฉันเดินกลับไปเองได้ไม่รบกวนท่านอ๋องไปส่ง ทูลลาเพคะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม