“อะไรนะเพคะ เรื่องนั้น…”
“ข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อหลังจากที่งานเลี้ยงเลิกแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมิได้เกี่ยวข้องกับท่านราชครู แม้แต่ฮองเฮาเองก็มิได้ทรงทราบข้าจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้คงเกิดจากความคิดของเสด็จพ่อข้าแต่เพียงพระองค์เดียว”
“เช่นนั้น…”
“ลี่ซิน เจ้ามิได้พอใจกับงานหมั้นหมายนี้หรือ”
“เรื่องนั้น เหตุใดพระองค์จึงได้ตรัสถามเพคะ”
“ข้าแค่อยากถามความคิดเห็นของเจ้า ราชโองการแม้นมิอาจขัดแต่ข้าเองก็มิได้อยากจะฝืนใจ หากเจ้ามิได้ยินยอมข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”
“เรื่องนี้ถึงจะกะทันหัน แต่หม่อมฉันมิได้ขัดข้องเพคะ”
สีหน้าที่แดงเลือดฝาดของนางทำเอาเขาลอบยิ้มออกมาได้ แม้นว่าในความทรงจำของเขาตอนที่นางยังเยาว์ก็งดงามและเรียบร้อยเช่นนี้อยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าล่วงเลยผ่านกาลเวลาไปไม่ถึงห้าปี นางจะเติบโตขึ้นมางดงามเพียบพร้อมเช่นนี้
“ลี่ซินข้าเองต้องยอมรับว่าค่อนข้างตกใจเล็กน้อยที่เสด็จพ่อประทานงานหมั้นระหว่างพวกเรา แต่ข้ารับปากว่าจะให้เกียรติเจ้าในฐานะคู่หมั้นอย่างเต็มที่ จะไม่ทำผิดต่อเจ้าที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อพูดเรื่องนี้”
ลี่ซินเอาแต่ก้มหน้าและลอบมองท่านอ๋องเป็นพัก ๆ แม้นว่าจะดูน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่สำหรับเว่ยอ๋องแล้วคิดว่านางน่ารำคาญน้อยที่สุดในบรรดาสตรีที่เขาเคยรู้จักมา
เขาอยู่คุยอยู่พักใหญ่จึงได้รู้ว่าอันลี่ซินเป็นสตรีในเรือนที่แทบจะรักษาธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดจนน่าอึดอัด ส่วนเขาเป็นแม่ทัพที่กว่าครึ่งชีวิตอยู่แต่ในสนามรบ แม้นว่าจะดูไม่มีสิ่งใดที่เข้ากันได้เลยแต่อย่างน้อยนางก็พูดน้อยและไม่ขัดใจเขา อีกอย่างมีพระชายาเช่นลี่ซินซึ่งเป็นบุตรีขุนนางใหญ่ เรื่องการปกครองและดูและตำหนักอ๋องก็ไม่น่าห่วงอีกต่อไป
“เช่นนั้นข้ากลับดีกว่า นี่ก็จวนจะค่ำแล้วเจ้าจะได้รีบพักผ่อน”
“เพคะ”
“อ้อจริงสิลี่ซิน”
“เพคะ”
“อย่าลืมภาพวาดที่รับปากเอาไว้เล่า ข้าจะรอวันที่เจ้าวาดเสร็จและนำมามอบให้ข้าด้วยตนเอง”
ลี่ซินเงยหน้าและคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้กับเขา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาอดประทับใจมิได้ คิดไม่ถึงว่าเวลาที่อันลี่ซินยิ้มแล้วจะทำให้หัวใจของเขาเบิกบานได้ถึงเพียงนี้
“ในที่สุดเจ้าก็กล้าสบตากับข้าตรง ๆ ได้เสียที”
“หม่อมฉันเสียมารยาทแล้วเพคะ โปรดทรงอภัย”
“เหตุใดเจ้าต้องเคร่งครัดเรื่องมารยาทถึงเพียงนี้ ข้ามิใช่คนประเภทก้าวถวายเคารพสามก้าวโค้งขอบคุณ เจ้าไม่ต้องทำราวกับเราเป็นคนอื่นกันก็ได้นี่ น้องลี่ซิน”
อันลี่ซินยังคงก้มหน้าเพื่อหลบสายตาเขาก่อนที่ท่านอ๋องจะหยุดพูดหยอกนางเพราะเพียงเท่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก ท่านอ๋องขึ้นรถม้ากลับแล้วลี่ซินจึงเดินกลับเข้าไปด้านใน
บนรถม้า
“ท่านอ๋อง”
“พรุ่งนี้ให้คนเลือกหมึกและอุปกรณ์วาดภาพส่งมาให้ที่จวนราชครูสักสิบชุด อ้อ เอากระดาษและน้ำหมึกอย่างดีส่งมาพร้อมกันด้วย”
“ไม่คิดว่าพระองค์จะเอาใจว่าที่คู่หมั้นเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ เดิมทีคิดว่าแต่งงานกับบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ก็ไม่เลวเท่าไหร่ แต่ดูท่าทางของเฟิ่งถงหลินคงจะมากเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย อีกอย่างนางพูดมากเกินไป เรียกร้องมากเกินไปไม่เหมาะกับข้า”
“แล้วคุณหนูอัน…”
“นางเป็นคนนิ่ง สุขุมราวกับน้ำที่เรียบเย็นและสงบ ไม่พูดมากไม่เถียงและไม่ชอบออกนอกจวน อีกอย่างนางก็เป็นถึงบุตรีของท่านราชครู เสด็จพ่อคงไตร่ตรองมาถี่ถ้วนแล้วจึงได้ตัดสินพระทัยเช่นนี้”
“แต่เห็นว่าเมื่อวานนี้ตอนก่อนออกจากวัง อวี้อ๋องได้พบกับคุณหนูอันและยังมีท่าทีว่าจะสนพระทัยนางและยังได้พูดคุยกับคุณหนูอันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ รู้หรือไม่ว่าคุยสิ่งใดกัน”
“เห็นบอกว่าคุยกันตามปกติแม้ว่าคุณหนูอันจะมิได้อยากสนทนาด้วยอวี้อ๋อง แต่ดูเหมือนว่าอวี้อ๋องจะสนพระทัยนางอยู่ไม่น้อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ไม่แปลก หากจะว่าไปแล้วพี่ใหญ่ที่เฝ้ากองทัพอยู่ทางใต้และร่ำเรียนศาสตราวุธกับอาจารย์อี่ถัง ไม่เคยร่ำเรียนกับราชครูอันย่อมไม่เคยพบอันลี่ซินอยู่แล้ว หากมาพบเข้าในตอนนี้แน่นอนว่าต้องสะดุดตานางเป็นแน่”
“ท่านอ๋องกำลังชื่นชมคุณหนูอันว่างดงามกว่าคุณหนูเฟิ่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ความงามของสตรีไม่ต่างกับบุปผา น่าเสียดายที่นางจะได้แต่งงานกับคนเช่นข้าซึ่งมิได้ชื่นชมบุปผาเท่าใดนัก บุปผางามควรอยู่กับต้น แต่ดูท่าครานี้อันลี่ซินคงจะเป็นเพียงดอกเหมยที่อยู่ในแจกันทองเท่านั้น แม้จะดูมีค่าแต่นางอาจจะคาดหวังว่าจะให้ข้าหมั่นรดน้ำเพื่อให้งามตลอดเวลาหาได้ไม่”
“ท่านอ๋อง… พระองค์มิได้ชอบพอนางหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ชีวิตของข้าเติบโตมาพร้อมสงครามและดาบ แม้ว่าก่อนหน้านี้ ตอนนี้หรือวันข้างหน้าสิ่งที่ข้าให้ความสำคัญที่สุดก็คือแผ่นดินและราษฎร เจ้าอย่าลืมสิว่าเสด็จพี่ที่รักของข้ารักข้าจนอยากจะ "ฆ่า" ข้ามากเพียงใด"
“กระหม่อมคิดว่าอวี้อ๋องเพียงแค่อยากจะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทกับพระองค์ ไม่คิดว่าจะรวมถึงสตรีด้วย”
“แม้นว่าเสด็จพ่อจะเลือกบุตรสาวแม่ทัพเฟิ่งให้เขา ในตอนแรกพี่ใหญ่ก็รู้สึกราวกับว่าเป็นผู้ชนะอยู่ก็จริง แต่เมื่ออันลี่ซินปรากฏตัวเขาก็เปลี่ยนท่าทีไปสนใจนางทันที”
“หรือว่า… อวี้อ๋องจะ…”
“แม้ว่าลูกสาวแม่ทัพใหญ่จะดูได้เปรียบในด้านของกำลังพล แต่การแต่งงานกับบุตรีท่านราชครูที่เป็นขุนนางคู่พระทัย อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อขุนนางทั้งสองฝ่าย เจ้าว่าเรื่องนี้เสด็จพ่อมิได้ซ่อนกลเอาไว้ก่อนเช่นนั้นหรือ”
“หรือว่า…”
“ข้าจึงต้องรีบมาที่นี่เพื่อทำให้แน่ใจว่าอันลี่ซินจะไม่เปลี่ยนใจเรื่องการหมั้นหมาย"
“แล้วคุณหนูเฟิ่ง”
“เมื่อวานนี้ข้าแค่ลองหยั่งเชิงดู แม้นางเองก็มีใจเอนเอียงแต่เมื่อทราบว่าจะได้หมั้นหมายกับองค์ชายใหญ่ สีหน้าของนางก็ดูยินดีมากกว่าตอนที่ข้าถามนางเรื่องหมั้นหมาย นั่นแสดงว่าเฟิ่งถงหลินผู้นี้แต่งงานกับผู้ใดก็ได้ที่ทำให้นางได้ตำแหน่งบัลลังก์หงส์นั่น”
“คิดว่าจะมีเพียงบุรุษที่แย่งชิงอำนาจเสียอีก”
“ต้าอู๋เจ้าคิดผิดแล้ว เรื่องการแย่งชิงอำนาจน่ะสตรีน่ากลัวกว่าผู้ชายอย่างเรามากนัก”
“เช่นนั้นแล้วคุณหนูอันเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยซ่างเจวี๋ยนึกถึงรอยยิ้มที่อ่อนโยนและจริงใจของอันลี่ซินก่อนจะนิ่งไปและยิ้มออกมานิด ๆ รอยยิ้มนั้นคงตราตรึงใจเขาไปอีกนานแสนนาน ทั้งใบหน้าที่เอียงอายและรอยยิ้มที่งดงามนั้นยากที่จะลืมได้จริง ๆ
“นางมิใช่คนที่จะใฝ่ฝันถึงอำนาจ ข้าคิดว่านางเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะได้ขึ้นเป็น… สตรีที่สูงสุดในแผ่นดิน สกุลอันสั่งสอนบุตรให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรียนรู้วิชาปราชญ์และศาสตร์ทั้งสี่ อาจจะฟังน่าเบื่อแต่นางคือตัวอย่างของสตรีที่เหมาะสมจะเป็นยอดภรรยามากกว่าผู้อื่น”
“เช่นนั้นท่านอ๋อง…”
"ต่อให้ข้าต้องเสแสร้งว่าจะต้องเป็นสามีที่รักภรรยามากแค่ไหนก็ต้องทำ แต่ดูแล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วเพราะพี่ใหญ่ของข้าคงมิยอมให้ข้าได้อยู่อย่างสงบสุขเป็นแน่”