อันลี่ซินมองภาพดอกเหมยที่พึ่งถูกชื่นชมจากเว่ยอ๋องเมื่อวานนี้มาที่ศาลาวาดภาพอีกครั้ง นางกางภาพออกมาเพื่อจะวาดต่อให้เสร็จ ไม่นานสาวใช้ก็เดินถือกล่องของขวัญมาหลายชิ้น
“คุณหนูเจ้าคะ เว่ยอ๋องส่งของขวัญมาให้เจ้าค่ะ”
“ของขวัญจากเว่ยอ๋องงั้นหรือ”
อันลี่ซินหันมาให้ความสนใจในทันที กล่องของขวัญหลายกล่องถูกวางเอาไว้พร้อมกับสาวใช้ที่จวนเว่ยอ๋อง
“ทั้งหมดนี้เป็นของขวัญที่ท่านอ๋องทรงมอบให้กับคุณหนูอันเจ้าค่ะ ท่านอ๋องทรงตรัสว่าเรื่องภาพวาดไม่ต้องรีบร้อน เพราะพระองค์อยากจะให้คุณหนูอันมีสมาธิ หวังว่าของขวัญที่มอบให้จะถูกใจคุณหนู ท่านอ๋องฝากจดหมายมากับข้าน้อยนำมามอบให้ท่านเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก ลำบากแล้ว”
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลาเจ้าค่ะ”
สาวใช้และคนที่ตำหนักท่านอ๋องเดินกลับออกไปแล้ว ลี่ซินจึงเริ่มเปิดกล่องของขวัญที่ท่านอ๋องทรงมอบให้ ทั้งหมดเป็นที่ฝนหมึกชั้นดี กระดาษและพู่กันอีกหลายขนาดซึ่งล้วนเป็นสิ่งของเลอค่าและหาได้ยาก
“คุณหนูเจ้าคะท่านอ๋องทรงใส่พระทัยท่านยิ่งนัก ถึงกับส่งพู่กันที่งดงามและเลอค่าชุดนี้มาให้ ท่านดูแท่นฝนหมึกอันนี้สิเจ้าคะ ยังมีแท่นอุ่นหมึกที่เข้าคู่กันด้วยยอดไปเลย”
ลี่ซินยิ้มให้กับของขวัญอันเลอค่านี้เมื่อนางค่อย ๆ ลูบนิ้ววาดผ่านปลายด้ามพู่กันที่ทำจากไม้หายากในกล่องหรูหรา กระดาษที่เลือกมาก็เป็นกระดาษชั้นดีแต่ที่ลี่ซินถือเอาไว้แน่นคือจดหมายที่สาวใช้พึ่งมอบให้
“เจ้ารีบนำไปเก็บเถอะ วันนี้ยังไม่วาดข้าจะไปพักผ่อนแล้ว”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
อาหรูรู้ใจคุณหนูของนางดีว่าคงจะรีบไปเปิดจดหมายของท่านอ๋องอ่านในห้อง ดังนั้นจึงไม่ไปรบกวนนางและจัดเก็บทุกอย่างให้ตามคำสั่ง
ห้องของลี่ซิน
“ข้าส่งมอบของที่เจ้าอาจจะได้ใช้มาให้ อยู่ที่ตำหนักข้ามิได้ใช้งานคงจะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายหากว่าถูกวางทิ้งไว้เฉย ๆ หวังว่าเจ้าคงจะชอบและรับเอาไว้ ถือเป็นไมตรีจากข้า….”
“เว่ยซ่างเจวี๋ย”
ลี่ซินอ่านถ้อยคำในจดหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้นว่าข้อความนั้นจะสั้นเพียงไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้นางยิ้มได้ถึงสามวันจนวันที่สี่ที่นางออกมาที่ตลาดตามคำสั่งของท่านแม่เพื่อจะมาซื้อผ้าผืนใหม่สำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึง
“นาน ๆ จะได้ออกมาครั้งหนึ่ง ซินเอ๋อร์แม่ว่าเจ้าเองก็ต้องตัดชุดใหม่เสียหน่อยนะ”
“ท่านแม่ จะมีงานหรือเจ้าคะ”
“เด็กคนนี้ แม้นจะมีหรือไม่มีก็ต้องตัดเตรียมเอาไว้มิใช่หรือ อีกหน่อยเจ้าก็จะต้องเตรียมตัวออกเรือนแล้ว เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์หมอนผ้าห่มอีกทั้งเรื่องในจวนทั้งหมดเจ้าก็ต้องเรียนรู้เอาไว้ ที่แม่พาเจ้าออกมาก็เพื่อให้รู้ว่าควรจัดหาซื้อสิ่งของที่ใดบ้าง มาเถอะมาเลือกผ้าสักพับหนึ่งเอาไว้ตัดเย็บผ้าห่มในหน้าหนาว อ้อจริงสิยังมีถุงมือและ…”
ลี่ซินเชื่อฟังฮูหยินและเดินตามมารดาอย่างว่าง่าย นางจดจำทุกอย่างได้จนหมดสิ้น แม้ว่าอันลี่ซินจะเป็นสตรีที่อยู่แต่ในจวนก็มิใช่ว่านางจะไม่มีความรู้ อีกอย่างสิ่งที่นางชื่นชอบมากที่สุดนั่นคือการฝึกอาวุธลับอย่างเข็มและยาพิษต่าง ๆ ที่อาจารย์ผู้สอนวิชาศาสตร์แห่งสมุนไพรเคยสอนนางเอาไว้เมื่อครั้งยังวัยเยาว์
“ผ้านี้งามนัก ลูกอยากได้เอาไว้…ปักถุงหอมเจ้าค่ะ”
“อืมนับว่างดงามไม่เลว เอาพับนี้ด้วยเอาทั้งสองสี อ้อ แล้วยังมีผ้าสำหรับคาดอก อันนั้นด้วย”
วันนี้นับว่าอันฮูหยินซื้อของไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากที่ทั้งคู่เดินออกจากร้านขายผ้าและแวะที่ร้านเครื่องประทินโฉมเพื่อเลือกเครื่องประดับ ก็พบกับเฟิ่งฮูหยินและเฟิ่งถงหลินเข้าพอดี
“คารวะอันฮูหยิน วันนี้ท่านก็มาเลือกซื้อเครื่องประดับหรือเจ้าคะ”
“เฟิ่งฮูหยินบังเอิญจริง ใช่แล้วล่ะวันนี้ข้ามาเลือกเครื่องประดับชุดใหม่ให้กับซินเอ๋อร์สักหน่อยน่ะ”
“ข้าได้ข่าวว่าวันนี้มีเครื่องประดับชุดใหม่ พี่หญิงเหตุใดท่านจึงไม่ลองไปเลือกกับข้าทางโน้นเล่าเจ้าคะ ปล่อยให้สาว ๆ ยืนชมเครื่องประดับตรงนี้เถิดเจ้าค่ะ หลินเอ๋อร์เดี๋ยวแม่มานะ”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
“เดี๋ยวแม่มานะ เจ้าก็ค่อย ๆ เลือกหากว่าชอบชิ้นไหนก็บอกเถ้าแก่”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
มารดาของนางถูกเฟิ่งฮูหยินพาไปแล้ว ลี่ซินที่ทักทายกับถงหลินไปก็เริ่มเลือกเครื่องประดับ เมื่อนางเอื้อมไปหยิบกำไลหยกสีแดงเฟิ่งถงหลินเองก็เอื้อมไปหยิบเช่นเดียวกัน
“อุ้ย น้องหญิงอันดูเหมือนว่าพวกเราจะใจตรงกันนะ ข้าเองก็ชอบหยกแดงชิ้นนั้นเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็เชิญพี่หญิงก่อนเถิด ข้ามิได้นึกชื่นชอบมันสักเท่าใดเพียงแค่เห็นว่ามันแปลกตาจึงใคร่อยากจะหยิบดูก็เพียงเท่านั้น”
“เช่นนั้นเองหรือ ข้าต้องขออภัยที่เข้าใจผิด”
ลี่ซินยิ้มให้ก่อนจะหันไปเดินเลือกเครื่องประดับที่อื่น นางไม่นึกอยากสนทนาด้วยบุตรีแม่ทัพใหญ่ผู้นี้เท่าใดนัก แต่ก็มิวายที่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยนางและเดินตามมา
“ข้ายินดีกับน้องหญิงด้วยเรื่องราชโองการหมั้นหมาย”
“เช่นกัน ข้าเองก็ยินดีด้วย”
“น้องหญิงเหตุใดจึงทำเมินเฉยกับข้าเช่นนี้ หรือว่าเจ้ามิยินดีที่จะร่วมสนทนากับข้าหรอกหรือ”
“เอ่อ มิใช่เช่นนั้นพี่หญิงท่านคิดมากไปแล้ว”
“เช่นนั้นมานั่งดื่มชาไปและสนทนากันไป แล้วให้พวกนางเลือกเครื่องประดับมาให้ดีหรือไม่”
“เอ่อ...”
“มาเถอะ ข้าเองก็ใคร่อยากจะคุยกับเจ้ามานาน แล้วเพียงแต่ไม่เคยพบปะเจ้าสักเท่าใดนัก”
ดูเหมือนอันลี่ซินจะหาทางเลี่ยงมิได้เสียแล้วเมื่อเฟิ่งถงหลินดึงนางมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับสั่งชาในร้านขายเครื่องประดับนั้นมาวางตรงหน้า เดิมทีโต๊ะสำหรับแขกคนสำคัญก็มีอยู่ด้านในนี้อยู่แล้ว พวกนางจึงมานั่งระหว่างรอเลือกสินค้า
“จริงสิ ข้าเองก็ใคร่รู้ว่าเหตุใดวันนั้นเจ้าจึงอยู่กับเว่ยอ๋องที่สวนเล่า”
เมื่อนั่งลงและอยู่ในห้องที่ลับตาคน เฟิ่งถงหลินก็เริ่มถามถึงเว่ยอ๋องทันทีตามที่นางคิด
“วันนั้นดูเหมือนว่าท่านอ๋องเกรงว่าข้าจะตกใจ จึงได้ชวนออกมาเพื่อเดินเล่นเท่านั้นพี่หญิงคิดมากไปแล้ว”
“งั้นหรือ แล้วเรื่องราชโองการนั่นตกลงเจ้ารับปากไปหรือไม่ เว่ยอ๋องเป็นแม่ทัพบูรพาที่ยิ่งใหญ่ หลายคนเกรงว่าเขาอาจจะก่อเรื่องที่ไม่สมควรขึ้นได้และหากเป็นเช่นนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอาจจะเดือดร้อนได้เจ้าคิดว่าเช่นไร”
พูดแล้วถงหลินก็ยกชาขึ้นมาจิบ ลี่ซินมองและลอบคิดในใจ นางคิดเอามิผิดว่าสตรีตระกูลแม่ทัพเช่นถงหลินย่อมต้องใคร่รู้เป็นแน่ว่านางรู้สึกเช่นไรกับท่านอ๋อง อีกอย่างหากนางมิได้มีใจชอบพอในตัวเว่ยอ๋องคงมิได้บังเอิญพบนางและมารดาที่นี่เป็นแน่
“เรื่องนั้นข้าเองก็มิทราบ ตัวข้าเป็นเพียงบุตรีของราชครูไม่รู้เรื่องในราชสำนัก และไม่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องที่มิใช่ธุระของสตรี ก็อย่างที่พี่หญิงทราบข้าสนใจเพียงการวาดภาพบทกวีและชีวิตที่สงบสุข การแต่งงานเป็นเรื่องที่บิดามารดาจัดสรรให้ อีกอย่างเรื่องนี้ก็กะทันหันอย่างที่ท่านมาว่าก็จริง แต่เว่ยอ๋องก็ทรงตรัสว่าขออย่าให้ข้าตกใจมากเกินไป จากนี้ก็ทำตัวตามสบายกับพระองค์เหมือนเดิมก็พอ”
“แค่นั้นหรือ!”
ลี่ซินยกชาขึ้นมาดื่มพร้อมกับลอบยิ้มเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกด้วยท่าทางอย่างชัดเจนว่าสนใจเรื่องของเว่ยอ๋องกับนาง ที่เรียกมานั่งดื่มชาที่นี่ก็เพียงอยากทราบว่าเว่ยอ๋องจะทรงเปลี่ยนพระทัยหรือไม่เท่านั้น
“เหตุใดพี่หญิงจึงตกใจเช่นนั้น คิดว่าเว่ยอ๋องจะปฏิเสธงานหมั้นกับข้า หรือท่านคิดว่าท่านอ๋องทรงมีสตรีในดวงใจแล้วจึงได้… ตกใจที่ท่านอ๋องมิได้ปฏิเสธและยกเลิกงานหมั้นหมาย”