เฟิ่งถงหลินตกใจไปเล็กน้อยแต่กิริยาที่ล่อกแล่กของนางมิอาจรอดพ้นสายตาของอันลี่ซินไปได้ เดิมทีคิดอยากจะหลอกถามแต่กลับถูกลี่ซินตีกลับจนนางแทบจะคิดหาคำพูดอื่นมาตอบมิได้
“คือข้าแค่ใคร่รู้เท่านั้น เพราะว่าเจ้ากับท่านอ๋องไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่เหตุใด…”
“เรื่องการแต่งงานพ่อแม่เป็นผู้จัดหา อีกอย่างเรื่องการหมั้นหมายในครั้งนี้ทั่วทั้งต้าซ่งก็ทราบว่าเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท หากว่าพี่หญิงมีข้อสงสัย คงจะต้อง…. กราบทูลถามฝ่าบาทดีกว่านะเจ้าคะ"
“มิใช่เช่นนั้นน้องหญิงอย่าเข้าใจข้าผิด ข้าก็แค่ถามเจ้าเพราะด้วยความเป็นห่วงเห็นว่าเจ้าเองก็เป็นสตรีและอยู่แต่ในเรือน อาจจะยังมิทราบเรื่องของเว่ยอ๋องดีมากพอ พ่อข้าอยู่ในกองทัพและร่วมสู้ศึกกับเขามานับครั้งไม่ถ้วนดังนั้นจึงรู้จักท่านอ๋องดีกว่าเจ้า ข้าก็แค่อยากเตือนเจ้าในฐานะ… สหายเท่านั้น”
ลี่ซินวางจอกชาลงก่อนจะหันไปมองมารดาที่กำลังเลือกสินค้าอยู่อีกด้านหนึ่งของร้าน เมื่อหันมายิ้มให้คู่สนทนาตรงหน้าซึ่งกำลังพยายามหยั่งเชิงนางอยู่
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพี่หญิงแล้ว ตัวข้านั้นมิได้มีปัญหาในเรื่องการหมั้นหมายแต่อย่างใด เพราะหากเห็นว่าไม่เหมาะสมก็คงจะขัดพระประสงค์ของฮ่องเต้แล้ว หรือว่าพี่หญิงคิดว่าไม่จริง”
“ข้า! เอ่อ น้องหญิงกล่าวเกินไปแล้วข้าหรือจะกล้า”
“นั่นสิพี่หญิงเช่นนั้นเราก็อย่าได้คุยเรื่องนี้อีกเลย ข้าใคร่อยากจะไปเลือกเครื่องประดับสักชุด ท่านแม่บอกว่าคงต้องจัดเตรียมเอาไว้เผื่อว่าวันข้างหน้าอาจจะได้ใช้บ่อย ๆ ขอตัวก่อนแล้วพบกันใหม่”
“แล้ว แล้วพบกันใหม่”
ลี่ซินยิ้มและโค้งให้เฟิ่งถงหลินอย่างนอบน้อมและเดินเลี่ยงออกมาทันทีพร้อมกับเดินไปหามารดาที่ยืนเลือกอยู่
“อ้าวซินเอ๋อร์เลือกไม่ได้หรอกหรือ ไม่ถูกใจชิ้นไหนเลยงั้นหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ เครื่องประดับร้านนี้ไม่ถูกใจข้า คิดว่าคงจะมีร้านที่ดีกว่านี้เราไปกันเถิดเจ้าค่ะท่านแม่"
“อ้อ เช่นนั้นเฟิ่งฮูหยินข้าคงต้องขอตัวก่อนเอาไว้พบกันใหม่นะ”
"แล้วพบกันใหม่เจ้าค่ะ”
ลี่ซินคำนับให้เฟิ่งฮูหยินก่อนจะเดินออกมาจากร้าน นางมิได้พูดถึงเฟิ่งถงหลินให้มารดาฟัง เพียงแค่อยากออกมาจากร้านนั้นเท่านั้นเพื่อลดความอึดอัด สวนเครื่องประดับมิได้จำเป็นเร่งด่วนเพราะปกติก่อน ที่จะออกงานสำคัญมารดาของนางก็มักจะเรียกให้เถ้าแก่จากหอการค้านำไปให้เลือกที่จวนอยู่แล้ว
“ซินเอ๋อร์มีอะไรหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะข้าแค่กระหายน้ำ ท่านแม่พวกเราแวะดื่มชาสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม ก็ดีเหมือนกัน”
แต่เมื่อถึงโรงน้ำชา มารดาของนางก็ได้พบกับสหายที่พึ่งเดินทางกลับมาจากต่างเมืองดังนั้นจึงได้แวะไปสนทนาอีกห้องหนึ่ง เพราะมารดาของนางเองก็มิได้ออกมานอกจวนบ่อย ๆ เช่นกัน ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงนางและอาหรูที่นั่งจิบชามองดูผู้คนด้านนอกร้าน และไม่คิดว่าจะพบกับผู้ที่เหนือความคาดหมาย
“คุณหนูอัน ไม่คิดว่าจะพบเจ้าที่นี่”
“ถวายบังคมอวี้อ๋องเพคะ”
อวี้ตงหลานจะเอื้อมมือไปประคองแต่ลี่ซินนั้นถอยได้ทันการเขาถึงดึงมือกลับมาเช่นเดิม อวี้ตงหลานลืมนึกไปว่านางมิใช่สตรีทั่วไปแต่เป็นบุตรสาวขุนนางใหญ่ในราชสำนัก
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่งั้นหรืออันลี่ซิน”
“หม่อมฉันมาทำธุระกับท่านแม่ แวะดื่มชาเพียงจอกเดียวเท่านั้นบัดนี้ก็จวนบ่ายคล้อยแล้วคงไม่รบกวนช่วงเวลาสำคัญของท่านอ๋อง…”
“เดี๋ยวก่อนสิข้ายังมิทันได้เอ่ยอันใดเหตุใดเจ้าจะเดินหนีอีกแล้ว ไม่นั่งดื่มชากับข้าสักจอกก่อนแล้วค่อยไปหรือ พอเห็นข้าก็รีบเดินหนีเช่นนี้ข้ารู้สึกว่าเจ้ารังเกียจข้านะอันลี่ซิน”
“หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้น แต่ในตอนนี้ทั้งหม่อมฉันและท่านอ๋องไม่สมควรที่จะมานั่งดื่มชาตามลำพังมันไม่งามเท่าใดนัก หากมีผู้พบเห็นอาจจะนำไปนินทาลับหลังได้เพคะ”
“ไม่เห็นต้องสนใจสิ่งใด อ้อข้าลืมไปเพราะว่าเจ้าเป็นถึงว่าที่คู่หมั้นของน้องชายข้าสินะถึงได้กลัวนัก ไม่เอาน่าลี่ซินเจ้ายังมิได้หมั้นหมายกับเขาเลยนี่ เหตุใดจึงได้กลัวเว่ยซ่างเจวี๋ยขนาดนั้น”
“หม่อมฉันไม่สะดวกจริง ๆ เพคะ ขอทรงอภัย”
“แต่ข้า…”
“ลี่ซิน!”
เสียงหนึ่งที่เรียกชื่อนางจากด้านหลัง แม้ว่าอวี้ตงหลานจะไม่หันไปก็จดจำได้ดีว่าคือผู้ใด เขาค่อย ๆ หันมาและรับคำนับจากเว่ยซ่างเจวี๋ย
“พี่ใหญ่ ไม่คิดว่าจะพบท่านที่นี่บังเอิญจริง ท่านก็ชอบดื่มชาที่เหลาหรูอี้ด้วยงั้นหรือ”
“น้องรองเจ้าช่างมาได้จังหวะพอดีเลยนะ หรือว่าเจ้า…”
เมื่ออวี้อ๋องเอ่ยถาม เว่ยอ๋องก็ถือโอกาสเดินไปอยู่ข้าง ๆ อันลี่ซินและรู้สึกได้ทันทีว่าลี่ซินยืนตัวสั่นเพราะความกลัว เขาจึงค่อย ๆ ดึงตัวนางเข้ามาใกล้ นางตกใจจนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าไปหาลี่ซินที่จวนแต่สาวใช้บอกว่านางออกมาซื้อของกับท่านแม่ข้าก็เลยเร่งตามมา ตกลงว่าซื้อของครบแล้วหรือไม่”
“เอ่อ…”
เขากระชับอ้อมกอดเข้ามาเพื่อเป็นสัญญาณลี่ซินจึงได้รีบตอบรับและพยายามตั้งสติเพื่อพูดออกมาให้ปกติที่สุด
“ของที่ต้องจัดซื้อได้ครบเรียบร้อยแล้วเพคะ เหลือแค่ดื่มชาจอกนี้เสร็จก็จะกลับจวนแล้ว”
“พี่ใหญ่เช่นนั้นแล้วข้าขอตัวรับลี่ซินกลับจวนเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่รบกวนเวลาสุนทรีย์ของท่านแล้ว”
“น่าเสียดายจริง ๆ ที่มิได้ดื่มชากับเจ้า อันลี่ซินเช่นนั้นเอาไว้โอกาสหน้าเราค่อยมาดื่มชาด้วยกัน ดีหรือไม่”
ลี่ซินตัวสั่นแต่ก็พยายามตั้งสติเพราะมีเว่ยอ๋องอยู่ข้าง ๆ นางมิได้กลัวแต่รังเกียจกิริยาเช่นนี้ของอวี้อ๋องจนไม่อยากจะสนทนาพาทีกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว ซ่างเจวี๋ยเห็นท่าทางของนางจึงรีบหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย
“ได้สิพี่ใหญ่ เอาไว้โอกาสหน้าข้ากับลี่ซินจะเชิญท่านมาร่วมดื่มชากับ "พวกเรา" แต่วันนี้ลี่ซินคงเหนื่อยมากแล้วข้าคงต้องขอตัวพานางกลับไปส่งที่จวนก่อน"
“เจ้าเหนื่อยหรอกหรือ ข้านึกว่าเจ้ารังเกียจข้าเสียอีกอันลี่ซิน”
อันลี่ซินตัดสินใจในช่วงเวลาสุดท้ายนี้เองที่จะเงยหน้าและเผชิญหน้ากับอวี้อ๋องที่เสียมารยาทกับนางไม่เลิก ตอนนี้ข้างกายนางมีเว่ยอ๋องอยู่จึงรู้สึกลดความกลัวลง
“ขออภัยเพคะอวี้อ๋อง หม่อมฉันเพียงแค่ไม่อยากให้พระองค์เป็นที่ครหาว่าแอบมาพบปะสตรีที่มิใช่คู่หมั้นเท่านั้นมิได้มีเจตนาอื่น อีกทั้งยังต้องให้เกียรติเว่ยอ๋องคู่หมั้นของหม่อมฉันจึงมิอาจตอบรับคำเชิญ ต้องขอประทานอภัยอีกครั้งเพคะ ท่านอ๋องหม่อมฉันอยากกลับจวนแล้วเพคะ”
“ได้สิ เช่นนั้นข้าจะพาไปส่ง”
ทั้งคู่หันมามองหน้าอวี้อ๋องอีกครั้งก่อนที่จะขอตัวลาและรีบเดินออกมานอกร้านทันที
“ช่างมาได้จังหวะเสียจริงนะ นี่ขนาดยังมิได้หมั้นหมายยังตามติดไม่ห่างเช่นนี้ น้องรองเอาใจใส่คู่หมั้นดีจริง ๆ ดูแล้วช่างเป็นคู่ที่น่าอิจฉายิ่งนัก”
เว่ยซ่างเจวี๋ยที่ประคองลี่ซินออกมาก็หันมองอวี้อ๋องก่อนจะยิ้มกลับไปให้โดยมิได้แสดงอาการโกรธแต่อย่างใด
“เป็นตามที่ท่านว่าพ่ะย่ะค่ะ คู่หมั้นของข้าทั้งคนข้าก็ต้องเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องเอาใจใส่นางอยู่แล้ว จริงสิพี่ใหญ่ข้าได้ยินว่าแม่นางเฟิ่งเองก็มาซื้อเครื่องประดับอยู่ที่ร้านทางตะวันออกเผื่อท่านอยากจะตามไป "ดูแล" นางสักหน่อยในฐานะคู่หมั้นที่ดี ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ"