“ใช่ลูกถ้าเขาไปปองดองกับตระกูลอื่นก่อน ตระกูลของเราก็จะไม่เหลืออะไรเลย เพราะจะให้เราทำธุรกิจเพียงตระกูลเดียวก็คงไปไม่รอด เพราะทุกๆตระกูลเขาต่างก็จับมือกันหมดแล้ว แล้วการค้าขายเขาก็จะบีบตระกูลเราให้ไม่มีที่ยืนในวงการมาเฟียอีกต่อไป“
ฉันหันหน้าไปมองแม่ พร้อมขมวดคิ้วลงเล็กน้อย นี่แม่ก็รู้เรื่องนี้ด้วยแล้วหรอเนี่ย ฉันไม่อยากจะเชื่อ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
”แต่เราไม่จำเป็นที่จะต้อง อยู่ในตระกูลมาเฟียก็ได้นี่คะ เราใช้ชีวิตของเราปกติก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย“
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมป๊าต้องหวงแหน ตระกูลของมาเฟียขนาดขนาดนั้นด้วย ถึงขนาดที่จะให้ฉันไปแต่งงานกับตระกูลบ้าบออะไรนั่น
”ถ้าป๊าไม่ได้ยืนอยู่ในวงการมาเฟียแล้ว ป๊าก็จะต้องถูกกำจัดไม่เว้นแม้แต่แม่และตัวของลูกเอง ลูกก็รู้ว่าวงการนี้เข้าแล้วออกไม่ได้“
เสียงป๊าพูดขึ้นมาอีกเพื่อพยายามให้ฉันเข้าใจ พร้อมทั้งสายตาที่ดูกังวนอยู่ไม่น้อย ฉันเองก็รับรู้ได้ แต่ฉันก็ยังไม่พร้อมที่จะต้องมีชีวิตครอบครัวในตอนนี้
”แล้วถ้าหนูมีแฟนแล้วละคะ ตระกูลนั้นเขาจะยังแต่งงานกับหนูอยู่มั้ยคะ“
ฉันเอ่ยถามเพื่อหาทางออกให้กับชีวิตของตัวเอง ด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเช่นเดียวกัน
”ยูมิ“
แม่บีบแขนของฉัน เพื่อไม่ให้ฉันพูดออกไปแบบนั้น พร้อมทั้งส่ายหัวไปมาเบา ๆ ในตาคู่นั้นของแม่จ้องมองมาที่ฉัน เพื่อส่งสัญญาณว่าเราไม่สามารถเขาปฏิเสธได้
“แล้วทำไมเราต้องเลือกที่จะเป็นตระกูลของมาเฟียด้วยคะ หนูว่าเราอยู่ได้โดยไม่ต้องอยู่ในวงการมาเฟียก็ได้ค่ะป๊า เราย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ได้ค่ะ”
คนตัวเล็กพูดพร้อมมองไปที่หน้าป๊า ด้วยสายตาที่จริงจังอย่างไม่เข้าใจ
“ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หรือต่อต้านได้ ถ้าเราไม่ทำแบบนี้มาเฟียกลุ่มที่ทำ ธุรกิจสีดำเขาก็จะมาเอาธุรกิจของเราที่ถูกกฎหมาย ให้ไปเป็นธุรกิจสีดำทั้งหมดของเค้า แล้วถ้าถึงตอนนั้นเราก็ต้องทำธุรกิจสีดำกับพวกเขาด้วย โดยที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ ลูกเข้าใจพ่อบ้างสิ”
เสียงเข้มไม่มีท่าทีแสดงความเห็นใจ ผู้เป็นลูกสาวเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้คือทำใจยอมรับกับโชคชตา
“แม่คะแม่ช่วยพูดกับป๊าให้หนูหน่อยไม่ได้หรอคะ หนูยังไม่อยากแต่งค่ะแม่”
สาวน้อยวัยเพี้ยง 19 ปี หันหน้าไปอ้อนวอนผู้เป็นแม่ เธอเขย่าแขนผู้เป็นแม่เบา ๆ แววตานั้นหน้าสงสาร
“ยูมิลูก เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้เพื่อธุรกิจของป๊าเขาจะได้ไม่มีปัญหานะลูก แม่กับป๊ามีลูกสาวแค่หนูคนเดียว แม่กับป๊าก็อยากให้ลูกแต่งงานกับตระกูล ที่มั่งคั่งเพื่ออนาคตของลูกจะได้ไม่ลำบาก”
นิภาดาพูดพร้อมยกมือขึ้นมาลูบหัวลูก ที่กำลังเติบโตเป็นสาว ที่เธอเองเพิ่งจะมองดูลูกเติมโตได้เพียงไม่กี่ปี เธอกอดลูกเพื่อเป็นการปลอบใจ พร้อมสายตาที่เห็นใจลูกสาวคนเดียวอย่างเป็นที่สุด
“แล้วถ้าหนูมีแฟนละคะ หนูจะต้องแต่งงานอยู่ไหม”
อีกครั้งกับคำถามนี้ เธอยังคิดหาทางออกที่ดีให้กับตัวเอง พร้อมตาโตขึ้นเอ่ยปากถามอย่างมีความหวัง
”แต่ลูกยังไม่มีแฟนนิยูมิ”
แม่พูดเสียงเรียบ มองใบหน้าเธออย่างสงใส
“แล้วถ้าหนูมีละคะแม่”
“ถ้าลูกมีแฟนป๊าก็ไม่บังคับ แต่ตอนนี้ลูกไม่ได้มีแฟน เพราะฉะนั้น ยังไงลูกก็ต้องแต่งงานกับลูกชายของตระกูลศุภเตชะกูลเท่านั้น“
ป๊ามองหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
”แต่ป๊าคะหนูจะแต่งงานกับผู้ชายที่หนูไม่รู้จักได้ยังไงกัน นี่มันยุคสมัยไหนแล้วคะ เขาไม่มีแล้วค่ะคลุมถุงชนไร้สาระแบบนี้อ่ะ”
“แต่นี่มันเป็นเรื่องละหว่างตระกูลมาเฟียอย่างเรา ไม่เกี่ยวกับยุคสมัยอะไรทั้งนั้น“
เสียงดุดันของป๊าดังขึ้น จนฉันตกใจและถ้าเดาไม่ผิด แม่เองก็ตกใจไม่แพ้ฉัน เพราะร่างของแม่สดุ้งขึ้นพร้อม ๆ กับฉันอย่างไม่ได้ตั้งตัว
”เขาเป็นตระกูลที่มั่งคั่งนะลูก ลูกของแม่จะไม่ลำบากแน่นอน เชื่อแม่นะ“
แม่เอ่ยพร้อมมองใบหน้าลูกสาวตัวน้อย ๆ ที่ก้มลงมากอดผู้เป็นแม่ในอ้อมอก ก่อนจะลุกขึ้นมาถามสิ่งที่เธออยากจะรู้
”แล้วลูกชายของตระกูลนั้น เขาเป็นคนดีแค่ไหนคะแม่ถึงมั่นใจว่าหนูจะมีความสุขได้ขนาดนั้น เขาอาจจะเป็นคนชั่วก็ได้ค่ะแม่”
”ยูมิพูดอะไรออกมาแบบนั้นลูก เขาจะยังไงเราก็ไม่สามารถไปโต้ตอบเขา หรือกำหนดได้เพราะตระกูลเราไม่มีสิทธิ์เลือกได้”
”แต่ว่าแม่คะ“
เสียงนั้นออดอ้อน
”ไม่รู้แหละยังไงลูกก็ต้องแต่งนี่เป็นคำสั่ง“
ผู้เป็นป๊าเอ่ยขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ ก้าวขาเดินตงไปที่ประตู ก่อนจะเปิดประตูหันหลังเดินออกไปนอกห้องทันที พร้อมหักห้ามใจตัวเองไม่ให้สงสารลูก ที่เป็นเพียงลูกสาวคนเดียวของตระกูล พรางคิดว่าถ้าเขาไม่เข้าวงการนี้ซะตั้งแต่แรก ลูกสาวคนเดียวของเขาก็ไม่ต้องมารับผิดชอบ ในสิ่งที่เขาเป็นคนก่อแบบนี้แต่ถ้าจะให้เขาออกจาก วงการของมาเฟียในตอนนี้คนที่จะลำบากในภายภาคหน้า ก็คือลูกสาวคนเดียวของเขา เขาจึงเลือกที่จะตัดสินใจแบบนี้
”แม่หนูยังไม่อยากแต่งงานค่ะ“
ฉันหันหน้ามองตามป๊าไป จนกระทั่งป๊าเดินหายออกไปนอกห้อง ก่อนจะหันกลับมาจับมือแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ข้าง ๆ ฉัน
”ยูมิลูก“
พร้อมยกมือขึ้นมาจับที่ไหล่ลูกเบา ๆ ด้วยสายตาที่ละห้อยด้วยความสงสาร ก่อนจะดึงร่างเล็กเข้าไปกอดไว้แน่นพร้อมน้ำตาคลอ นิภาดาเงยหน้าขึ้นมองเพดานเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เธอสงสารลูกจับใจ
เย็นของวันนั้น
ร่างเล็กนั่งอยู่ภายในห้องนอนของตัวเอง โดยไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เลยเวลาอาหารมื้อเย็นมาแล้ว 2 ชั่วโมง ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะปรูตูดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก !!
”ยูมิลูก..ลูกออกมากินข้าวได้แล้วลูก เย็นนี้ลูกยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะยูมิ“
เสียงของแม่ที่ดูเป็นห่วงฉัน ดังขึ้นมาจากด้านหน้าประตูห้องนอน
”คุณหนูจะเป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณผู้หญิง“
ตามด้วยเสียงของป้าหวาย ผู้ที่เลี้ยงดูฉันช่วยแม่มาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้
”ยูมิลูก”
“เฮื้อ !!!!!!“
ยูมิเธอถอนหายใจลึก ๆ และยาว ๆ ออกจนตัวโยก ด้วยเธอคิดไม่ตกเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น พรางคิดว่าทำไมป๊าต้องเป็นมาเฟีย ทำไมเธอต้องแต่งงานกันคนที่เธอไม่ได้รัก แล้วทำไม โชคชตาของเธอต้องเป็นแบบนี้ เธอหยิบมือถือขึ้นมาเขี่ยดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย โดยที่พยายามจะไม่สนใจกับเสียงเรียกของแม่ที่อยู่หน้าห้องในตอนนี้
”ยูมิ“
ปัง ปัง ปัง !!!!!!!
จากเสียงเคาะของแม่ เปลี่ยนเป็นเสียงทุบลงที่ประตูอย่างแรง
”คุณผู้หญิงคะ เดี๋ยวป้าหวายไปตามผู้ชายขึ้นมาช่วยงัดห้องให้ค่ะ“
“จ๊ะป้ารีบ ๆ เลยนะ”
เสียงของแม่และป้าหวาย ที่เล็ดรอดเข้ามาภายในห้อง จนฉันอดที่จะขำในลำคอเบา ๆ ไม่ได้ นี่แม่และป้าหวายเป็นห่วงฉันขนาดนี้เลยหรอเนี่ย ฉันอดที่จะใจฟูกับสิ่งที่ได้ยินไม่ได้เลยจริง ๆ จนฉันเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฉันวางโทรศัพท์ลงบนที่นอน ก่อนจะหันมองไปยังประตูห้อง
”งัดเลย งัดให้เปิดออกให้ได้“
เสียงของแม่ฉันดังขึ้น จากที่ฉันฟังดูแม่หน้าจะตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นฉันเงียบไม่โต้ตอบ หรือเอ่ยใด ๆ ออกไปจากภายในห้อง
“เดี๋ยว ๆ ป้าลองเรียกดูอีกทีนะคะ”
ฉันอดที่จะยิ้มขำออกมาไม่ได้เลยจริง ๆ
“คุณหนูยูมิคะ เปิดประตูให้ป้าหน่อยค่ะ / คุณหนูยูมิ”
ปัง ปัง ปัง !!!!!
เสียงทุบประตูดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมเสียงเรียกของป้าหวายที่ดังขึ้นพร้อม ๆ กัน
“หึ หึ”
ฉันขำขึ้นอีกครั้ง พร้อมก้าวขาเดินตรงไปที่ประตูห้อง
“งัดเลย งัดให้ออกตอนนี้เลย”
แม่ออกคำสั่ง ถ้าฉันเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นลูกน้องของพ่อนั่นแหละที่ป้าหวายวิ่งไปตามขึ้นมา
ก๊อกแก๊ก พึบ !!
ฉันเปิดประตูออกไป ก่อนจะสาดสายตามองภาพตรงหน้าที่แม่มองมาที่ฉันอย่างหน้าเสีย ป้าหวายหน้าตาตื่นตกใจ และผู้ชายที่ฉันเดาว่าเป็นลูกน้องของป๊า ก็ใช่อย่างที่ฉันคิดไม่มีผิด พร้อมในมือถือเหล็กสำหลับเตรียมมางัดลงที่ห้องของฉัน
“ยูมิลูก”
แม่เดินเข้ามากอดฉัน พร้อมน้ำตาที่ไหลพรากลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง ฉันกอดแม่พร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ หลังจากที่ฉันนั่งอืดอัดมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็น
“คุณหนู“
ป้าหวายเองก็ยืนเช็ดน้ำตา พร้อมมองมาที่ฉันและแม่ ฉันจึงยกแขนขึ้น เพื่อให้ป้าหวายได้เข้ามาในอ้อมกอดของฉัน ป้าหวายไม่รอช้า รีบเดินเข้ามาหาฉันในทันที ฉันกอดแม่และป้าหวาย ไปพร้อมกันนั่นทำให้ฉันรู้สึกขึ้นดีขึ้นได้อย่างหน้าประหลาดใจ ทั้งที่ไม่ได้มีคำ ปลอบโยนใด ๆ มีเพียงน้ำตาของคนทั้งสองที่ฉันมองเห็น แต่ฉันกลับรู้สึกได้ถึงความรัก และความห่วงใยที่มีต่อฉันอย่างที่ฉันไม่เคยได้รับจากที่ไหน