แม้ตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อโทรศัพท์แจ้งข่าวทางบ้าน แต่เพราะฤทธิ์ยาและอากาศที่ทำให้หลับสบายก็ทำให้ทั้งคนป่วยและคนเฝ้าไข้หลับเพลินจนลืมเวลา จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของพลอยขวัญดังขึ้นรัวๆ ปลุกให้ทั้งสองตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย พลอยขวัญกดรับสายและทันทีที่รับก็ได้ยินเสียงพี่ชายถามอย่างร้อนใจ
“พลอย พี่เห็นข่าวว่าพลอยถูกยิง เป็นยังไงบ้าง แล้วทำไมถึงไม่ส่งข่าวบอกพ่อแม่กับพี่เลย ตอนนี้พลอยอยู่ที่ไหน” พลอยขวัญต้องรีบเบรกพี่ชายที่รัวคำถามมาเป็นชุด ไม่เว้นจังหวะให้เธอได้ชี้แจง
“พี่พัฒน์ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ ตอนนี้พลอยอยู่โรงพยาบาลแต่ไม่เป็นอะไรมาก กระสุนแค่ถากแขนเฉยๆ วันนี้ก็กลับบ้านได้แล้วค่ะ พลอยไม่อยากทำให้พ่อแม่ตกใจก็เลยรอที่จะบอกวันนี้ แต่พี่พัฒน์โทรมาซะก่อน” พลอยขวัญได้ยินเสียงพี่ชายถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากนั้นพ่อกับแม่ก็แย่งกันคุยกับเธอ พลอยขวัญจึงกดวางสายและวีโอคอลกลับไปแทนเพื่อให้ทุกคนสบายใจว่าเธอไม่เป็นอะไร
“แม่คะ พลอยไม่เป็นอะไร วันนี้หมอก็จะให้กลับบ้านแล้ว ไม่ต้องร้องนะคะ” พลอยขวัญปลอบมารดาที่ยืนเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ บิดาแล้วหมุนตัวโชว์กล้องว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
“แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหนกันคะ” พลอยขวัญที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าบิดามารดาและพี่ชายอยู่ในชุดเหมือนกำลังจะเดินทางเลยถามด้วยความสงสัย
“ก็เตรียมจะไปกรุงเทพนั่นแหละ พอรู้ข่าวพวกเราก็เตรียมตัวกันเลย กำลังจะออกเดินทาง พี่เลยโทรหาพลอยก่อนว่าอยู่โรงพยาบาลไหนและเป็นยังไงบ้าง”
“โถ่ ไม่ต้องมาหรอกค่ะ ตอนนี้ที่สวนกำลังยุ่งด้วยนี่คะ” พลอยขวัญรีบบอกให้ครอบครัวคลายกังวล เพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องลำบากเดินทางไกล อีกอย่างตอนนี้อยู่ในช่วงเก็บผลผลิตส่งขายและด้วยจำนวนหลายร้อยไร่ทำให้ทุกคนมีงานล้นมือเลยทีเดียว
“แต่แม่อยากไปเห็นกับตาว่าพลอยไม่เป็นอะไร มันอะไรกันนักกันหนานะลูก เรื่องร้ายๆ เพิ่งจะผ่านไปก็มีเรื่องใหม่มาอีกแล้ว แม่ว่าพลอยกลับมาอยู่บ้านกับพวกเราดีกว่าไหมลูก”
“นั่นสิลูก พ่อว่าหนูกลับมาอยู่บ้านเราดีไหม เดี๋ยวค่อยหาทำเลดีๆ ทำร้านดอกไม้ของลูกที่นี่ก็ได้ เราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”
“พ่อคะ แม่คะ เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนี่คะ พลอยรักร้านของพลอยมาก อีกอย่างพลอยยังสนุกกับชีวิตที่นี่ เอาไว้ถ้าพลอยเบื่อแล้ว พลอยจะกลับไปนะคะ”
“สรุปจะไม่ให้พ่อกับแม่ไปไปจริงๆ เหรอ” คุณยุพินถามย้ำลูกสาวอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะแม่ เดี๋ยวสายๆ คุณหมอน่าจะให้พลอยกลับไปพักที่บ้าน คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ พลอยมีเนตรอยู่เป็นเพื่อน เมื่อคืนเนตรก็มาเฝ้าพลอย”
“เอาไงพัฒน์” มารดาหันไปถามผู้เป็นพี่ชายของเธอเพื่อขอความเห็น
“แน่ใจเหรอพลอยว่าอยู่คนเดียวได้” พิพัฒน์ถามย้ำน้องสาว เพราะเขาเองก็ห่วงทั้งงานทางนี้ ห่วงทั้งน้องสาวเช่นกัน
“แน่ใจค่ะ แผลแค่นิดเดียวเอง แค่เจ็บนิดหน่อยแต่ช่วยเหลือตัวเองได้สบายมากค่ะ อีกอย่างช่วงนี้เนตรจะมาค้างเป็นเพื่อน พี่พัฒน์ พ่อ แม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” พลอยขวัญยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนที่ทั้งสามจะยอมทำตามความต้องการของเธอ
“แล้วพี่ถามหน่อยเถอะ เราไปโดนลูกหลงจากไอ้พวกลูกเศรษฐีทะเลาะกันได้ยังไง”
“เรื่องมันยาวน่ะพี่พัฒน์ เอาไว้พลอยกลับบ้านแล้วค่ำๆ จะโทรเล่าให้ฟังได้ไหม”
“ก็ได้ งั้นพี่จะได้เข้าสวนต่อ นี่พ่อกับแม่ก็ทิ้งร้านมากันเลยพอรู้ข่าว เรื่องเที่ยวกลางคืนก็เบาๆ ได้แล้วนะ หมดช่วงเวลาเฮิร์ตไปแล้วนี่ ไอ้ที่แบบนั้นมันไม่มีอะไรดีหรอก”
“ค่า ไม่ไปแล้วค่ะ พลอยแค่อยากไปเปิดหูเปิดตาฉลองความโสดเท่านั้นเอง เจอแบบนี้เข็ดแล้วค่ะ”
“ให้มันจริงเถอะ งั้นแค่นี้นะ เดี๋ยวพี่ไปส่งพ่อกับแม่ที่ร้านก่อน”
“โอเคค่ะ รักพ่อกับแม่และพี่พัฒน์นะคะ”
“รักเหมือนกัน”
“รักลูกนะจ๊ะ”
“พ่อก็รักลูกนะ รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ มีอะไรก็โทรหาพ่อกับแม่กับพี่เขานะ”
“ค่ะ” หลังจากนั้นพลอยขวัญก็กดวางสายพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ชีวิตแกนี่น่าอิจฉาจัง มีครอบครัวที่รักและอบอุ่นขนาดนี้ ถามจริงทำไมแกถึงไม่กลับไปอยู่กับพวกเขาล่ะ บ้านแกก็รวยจะตาย มีกิจการหลายอย่างให้เลือกทำได้เลย ไหนจะร้ายขายอุปกรณ์การเกษตรของพ่อ แกก็แค่ไปนั่งนับเงินเป็นคุณนาย ไหนจะร้านอาหารของแม่ แถมยังมีสวนผลไม้อีกหลายร้อยไร่ ถ้าเป็นฉันกลับไปอยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตานานแล้ว” เนตรดาวที่ลงทุนลางานอยู่เป็นเพื่อนถามด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้เธอรู้ดีว่าเพื่อนยอมอยู่ห่างครอบครัวเพราะอดีตแฟนหนุ่ม แต่ครั้งนี้พอเลิกกันแล้ว เธอจึงสงสัยว่าทำไมเพื่อนถึงเลือกอยู่ตัวคนเดียวในเมืองกรุงต่อไปอีก
“เพราะฉันรัก Flower Lover น่ะสิ” พลอยขวัญหมายถึงร้านดอกไม้ที่สร้างมาด้วยความชอบของตัวเอง
“ฉันสร้างมันมากับมือเลยนะแก ฉันทำใจปิดมันไม่ได้ ไหนจะลูกค้าประจำต่างๆ ฉันมีความสุขมากเวลาที่ได้ โพสต์รูปช่อดอกไม้สวยๆ ที่ฉันจัดลงในเพจแล้วมีลูกค้าเข้ามาคอมเมนต์ชื่นชม ในอนาคตฉันยังอยากรับจัดดอกไม้ตามงานต่างๆ ด้วยนะ อันที่จริงฉันเคยคิดจะทำนานแล้วแหละ แต่เพราะ…นั่นแหละ เขาเคยขอไว้ว่าไม่อยากให้ฉันทำงานจนไม่มีเวลาให้ แต่แล้วเป็นไงล่ะ ฉันว่าหลังจากหายดี ฉันจะขยายกิจการด้วยการรับจัดดอกไม้นอกสถานที่ด้วย รับพนักงานเพิ่มได้เงินเพิ่มด้วย”
“ก็ดีนะ ว่าแต่เหตุผลเดียวนี่เหรอที่ทำให้แกอยากอยู่ที่นี่ต่อ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกที่อกหัก ฉันมีคิดแวบๆ นะว่าจะย้ายกลับไปอยู่บ้าน แต่พอเวลาผ่านไปมันเหมือนมีอะไรบางอย่างบอกฉันว่าให้อยู่ต่อ เหมือนกับว่ายังไม่ถึงเวลาที่ฉันจะกลับน่ะ อีกอย่างฉันชอบความสะดวกสบายของเมืองกรุงนะ อยู่ต่างจังหวัดคงไม่ได้มีอะไรสะดวกสบายเท่านี้ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยขออยู่ไปก่อนแล้วกัน”
“ก็จริงของแก ไม่แน่อาจจะอยู่รอเนื้อคู่ก็ได้”
“ไร้สาระน่า ฉันไม่คิดเรื่องนั้นในหัวเลยตอนนี้ ขอลุยงานดีกว่า”
“เออ ไม่คิดก็ไม่คิด”
“แล้วนี่แกลงทุนลางานมาอยู่เป็นเพื่อนฉันจริงๆ เหรอ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันอยู่ได้ เดี๋ยวกลับไปคอนโดก็นั่งๆ นอนๆ ไม่ได้ทำอะไร แกไม่ต้องลำบากหรอก”
“ไม่เป็นไร ฉันขี้เกียจด้วยแหละวันนี้ เมื่อคืนเจอเรื่องตื่นเต้นมากไปหน่อย ขอกลับไปนอนเสพย์ซีรีส์เกาหลีที่คอนโดแกเยียวยาหัวใจดีกว่า”
“งั้นก็ตามใจ” หลังจากนั้นคนป่วยและคนเฝ้าก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวและทานมื้อเช้า ขณะที่กำลังทานอาหารอยู่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เนตรดาวเดินไปเปิดพบว่าเป็นพนักงานส่งดอกไม้นำกุหลาบสีขาวช่อใหญ่มาส่ง
“โอ๊ะโอ ดูสิจ๊ะคนป่วยว่าใครส่งอะไรมา ต้องไม่ใช่เพื่อนฝูงแน่ๆ เพราะเขารู้ว่าแกเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ คงไม่ซื้อดอกไม้ร้านอื่นส่งมาให้แบบนี้” พลอยขวัญมองช่อดอกไม้ที่เพื่อนถือเข้ามาอย่างแปลกใจ แต่ก็รับมาไว้ในอ้อมกอดและก้มลงดมเบาๆ อย่างคนที่ชอบดอกไม้เป็นทุนเดิม
“เอ๊ะ มีการ์ดด้วย” พลอยขวัญหยิบการ์ดมาอ่านแล้วหน้าก็บึ้งขึ้นทันที
“อ้าว ทำไมอ่านการ์ดแล้วทำหน้าอย่างนั้น ขอดูหน่อยซิ” เนตรดาวรีบหยิบการ์ดมาอ่าน
‘กุหลาบขาวแทนคำขอโทษและขอให้หายไวไวนะครับ จาก…มาร์ค’
“โอ้วมายก็อต น้องมาร์คสุดที่รักของฉันส่งดอกไม้มาให้แกเหรอนี่”
“แกอยากได้ก็เอาไป ฉันให้” พลอยขวัญกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง ทำให้เนตรดาวต้องหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับพิรุธ
“เดี๋ยวนะ ไอ้อาการเหมือนงอนนี่คืออะไรจ๊ะเพื่อน แกงอนน้องมาร์คของฉันเหรอ งอนเรื่องอะไร”
“ไม่ได้งอน แค่ไม่ชอบที่เขามาดุฉัน ฉันอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตช่วยเขาไว้แท้ๆ แต่พอฉันฟื้นขึ้นมากลับมายืนกอดอกตีหน้ายักษ์ใส่ แถมมาว่าฉันว่าทำอะไรเสี่ยงอันตรายอีก มันน่าโกรธไหมล่ะ รู้แบบนี้ไม่ช่วยดีกว่า แทนที่จะขอบคุณกลับมาว่าฉันซะงั้น” พลอยขวัญพูดด้วยน้ำเสียงใส่อารมณ์เต็มที่ แต่เนตรดาวกลับอมยิ้ม
“อ้อ ที่แท้งอนเรื่องนี้เอง ฉันบอกแกแล้วไงว่าคุณมาร์คเขาทำไปเพราะห่วงแกนั่นแหละ ก็เหมือนที่แกห่วงเขาจนเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยไง”
“ฉันไม่ได้ห่วง ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย จะห่วงทำไม ฉันแค่ทนเห็นเขาถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาไม่ได้ เพราะเขาช่วยฉันไว้ต่างหาก เป็นใครก็ต้องทำแบบฉันทั้งนั้นแหละ จะปล่อยให้เขาถูกยิงตายต่อหน้าเลยหรือไง”
“ไม่หรอก ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำแบบนั้น ถ้าเป็นฉันคงไม่กล้าเสี่ยงทำแบบแกแน่ๆ แค่เห็นปืนฉันก็วิ่งสี่คูณร้อยแล้ว”
“แล้วนี่แกจะซักไซ้ให้ได้อะไรขึ้นมา จะให้ฉันเป็นห่วงน้องมาร์คของแกให้ได้เลยใช่ไหม”
“เปล๊า ก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้า เอาน่า แกก็อย่าโกรธจริงจังอะไรนักเลย รักกันไว้ดีกว่า”
“ใครรักใคร”
“ก็แกกับน้องมาร์คไง เอ๊ย…ฉันหมายถึงว่าเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันไว้ดีกว่า”
“ฮึ เหม็นขี้หน้า”
“จ้า เหม็นก็เหม็น รีบกินข้าวเถอะ เดี๋ยวคุณหมอมาตรวจจะได้กลับบ้านกัน” เนตรดาวคร้านที่จะเถียงกับเพื่อนจึงตัดบท แต่ลอบมองช่อดอกไม้ที่คนป่วยถือไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมวางแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย เธอว่างานนี้มีลุ้นเพราะเธอรู้สึกได้ว่าระหว่างสองคนนี้มีอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่นอน โอมเพี้ยง! สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าขาขอให้เป็นอย่างที่ลูกคิดด้วยเถอะ ถ้าสองคนนี้รักกันจริงๆ ลูกจะยอมลงทุนใส่ชุดนางรำไปรำถวายที่ศาลเจ้าพ่อหน้าคอนโดเลยเอ้า สาธุ เนตรดาวแอบติดสินบนสิ่งศักดิ์ในใจ เพราะอยากให้เพื่อนได้รักกับชายในฝันที่เธอแอบกรี๊ดมานาน เพราะตัวเธอเองรู้ดีว่าได้แค่ฝัน แต่ถ้าเขารักกับเพื่อนสนิทตัวเอง เธอก็จะได้เจอน้องมาร์คบ่อยๆ ได้แทะโลมเป็นอาหารตาไปนานๆ อิอิ จู่ๆ ก็มีลมเย็นวูบหนึ่งพัดมาใส่หน้าเนตรดาวลูบแขนเพราะรู้สึกขนลุกอย่างประหลาด ก่อนจะหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะที่ใช้บริการเดลิเวอรี่มาหลายอย่าง
หลังจากคุณหมอมาตรวจพลอยขวัญก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ สองสาวเก็บของเรียบร้อยกำลังจะเดินออกจากห้องประตูก็เปิดเข้ามาพอดี
“คุณมาร์ค” เนตรดาวเอ่ยเรียกอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเห็นสายตาของผู้มาใหม่ที่มองไปยังคนป่วย ที่ตอนนี้เปลี่ยนชุดพร้อมกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว แถมในอ้อมแขนยังมีช่อดอกไม้ที่คนตรงหน้าส่งมาให้ก็ลอบยิ้ม
“นี่ผมเกือบมาไม่ทันแล้วสินะครับ ขอโทษนะครับที่มาช้า พอดีผมแวะไปจัดการธุระเรื่องคดีที่สน.นิดหน่อย” คนป่วยยังทำเมินแต่เมฆาไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มเดินไปหาคนที่นั่งกอดช่อดอกไม้อยู่บนเตียง
“พลอยเป็นยังไงบ้างครับ ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” พลอยขวัญปรายตามองก่อนจะตอบอย่างเสียมิได้
“ไม่”
“ผมส่งดอกไม้มาง้อแล้วยังไม่หายโกรธกันอีกเหรอครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะดุพลอยซะหน่อย ผมแค่เป็นห่วงไม่อยากให้คุณทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนั้น แต่ผมซาบซึ้งมากที่คุณช่วยชีวิตผมเอาไว้ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกผมเป็นฝ่ายจะเข้าไปช่วยคุณแท้ๆ ผมขอโทษอย่างเป็นทางการนะครับ ดีกันนะ” เมฆายื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าคนป่วยที่พยายามกลั้นยิ้มด้วยความเขิน แต่ไม่รอดพ้นสายตาของเมฆาไปได้ เนตรดาวนั้นยืนบิดอยู่ข้างประตูและพยายามทำตัวให้เหมือนอากาศธาตุที่สุด
“ใครงอนคุณกัน เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นสักหน่อย”
“โอเคครับ ไม่งอนก็ไม่งอน ส่วนเรื่องไม่สนิท อีกหน่อยก็สนิทไปเอง แต่ผมดีใจนะที่พลอยชอบดอกไม้ที่ผมส่งมาให้”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบ” พลอยขวัญหลงกลหันหน้ามาสบตาคนที่มองอยู่อย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเจอเข้ากับรอยยิ้มละลายใจ จนเธอต้องก้มหน้าหลบสายตาอันแสนร้ายกาจนั้น
“ก็คุณกอดเอาไว้แน่นแบบนี้ ผมเลยถือโอกาสเข้าข้างตัวเองว่าคุณชอบ” พลอยขวัญมองใบหน้าหล่อเหลาและรอยยิ้มล้อเลียน ก่อนจะก้มลงมองช่อดอกไม้ที่เธอถือเอาไว้อย่างทะนุถนอม นั่นเพราะเธอเป็นคนชอบดอกไม้ต่างหาก หญิงสาวให้เหตุผลกับตัวเอง
“ฉันก็ชอบดอกไม้ทุกชนิดนั่นแหละ ฉันเป็นเจ้าของร้านดอกไม้จะไม่ชอบดอกไม้ได้ยังไงกันล่ะ” เมฆายิ้มกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ อย่างน้อยเขาก็รู้จักหญิงสาวที่ตนเองสนใจเพิ่มมาอีกข้อว่าเธอเป็นเจ้าของร้านดอกไม้
“โอเคครับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แค่คุณชอบผมก็ดีใจแล้ว”
“อะแฮ่ม” คนที่ทำตัวเป็นอากาศธาตุอยู่นานส่งสัญญานว่าเธอยังมีตัวตนอยู่ในห้องนี้ด้วยอีกคน
“เอ่อ คุณเนตรกับคุณพลอยกำลังจะกลับกันแล้วใช่ไหมครับ ให้ผมไปส่งนะ”
“ได้เลยค่ะ/ไม่เป็นไรค่ะ” เนตรดาวและพลอยขวัญตอบพร้อมกัน แต่ความหมายไปกันคนละทิศละทาง
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ขึ้นแท็กซี่ก็สะดวกดี”
“ได้ไงครับ ผมมีส่วนทำให้คุณเจ็บ ให้ผมได้แสดงความรับผิดชอบบ้างนะครับ อีกอย่างเรื่องค่ารักษาพยาบาล ผมขอรับผิดชอบเองนะครับ”
“อันนั้นไม่ทันแล้วค่ะ ยัยพลอยใช้ประกันสุขภาพของตัวเองจ่ายไปแล้วเรียบร้อย”
“เฮ้อ ได้ยินแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกแย่ เพราะผมไม่ได้ดูแลอะไรคุณพลอยเลย นะครับ ให้ผมไปส่งนะครับ” ยังไม่ทันที่พลอยขวัญจะตอบรับหรือปฏิเสธ โทรศัพท์ของเมฆาก็ดังขึ้น เมื่อกดรับก็ทราบว่าเป็นสายจากทนายความโทรมาแจ้งว่าตำรวจต้องการสอบปากคำพลอยขวัญ เขาคุยอยู่อีกสองสามประโยคก่อนจะวางสาย
“เห็นทีคุณพลอยจะปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะครับ ทนายความของผมโทรมาแจ้งว่าตำรวจต้องการสอบปากคำคุณพลอย”
“ก็ได้ค่ะ” คำตอบของพลอยขวัญทำให้คนสองคนในห้องยิ้มกว้างอย่างพอใจ จนหญิงสาวอดมองค้อนไม่ได้ ‘ยัยเพื่อนตัวดี ดีใจออกนอกหน้าเชียวนะที่จะได้นั่งรถหนุ่มในฝัน’ พลอยขวัญต่อว่าทางสายตา แต่นอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้ว เนตรดาวยังยิ้มหวานตอบกลับมาอีกต่างหาก
“ถ้างั้นเราไปกันเถอะครับ” หลังจากนั้นชายหนุ่มก็แย่งสัมภาระต่างๆ ไปถือไว้เอง โดยพลอยขวัญมีเพียงช่อดอกไม้ช่อโตที่กอดเอาไว้อย่างทะนุถนอมทำให้คนให้ลอบยิ้มอย่างพอใจ
เมื่อทั้งสามมาถึงสถานีตำรวจก็พบว่ามีกองทัพนักข่าวรออยู่ด้านหน้าจำนวนมาก เนื่องจากมีข่าวหลุดออกไปว่าผู้บาดเจ็บจากฝีมือของลูกนักการเมืองดัง จะเดินทางมาให้การในวันนี้หลังออกจากโรงพยาบาล เมฆาที่เตรียมการไว้อย่างดีได้ให้คนของเขาเข้ามารออยู่แล้ว ชายหนุ่มถือโอกาสจูงมือพลอยขวัญฝ่าดงนักข่าวขึ้นไปยังสถานีตำรวจ โดยมีคนของเขาช่วยกันนักข่าวให้ พลอยขวัญที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนทำตัวไม่ถูกและรู้สึกกลัวจนเมฆาสัมผัสได้ ชายหนุ่มจึงก้มลงมากระซิบปลอบคนที่เขาจับจูงอยู่
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะอยู่ข้างๆ คุณตรงนี้ไม่ไปไหน ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย คนที่ทำพลอยเจ็บมันจะต้องได้รับโทษอย่างสาสม” พลอยขวัญเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังพูดให้กำลังใจตัวเอง ไม่รู้ว่าเธอหูฝาดไปหรือเปล่าจึงรู้สึกว่าน้ำเสียงในประโยคท้ายๆ ของเขานั้นมันดูแฝงไปด้วยความอาฆาตจนน่ากลัว พลอยขวัญถูกนำตัวเข้ามายังห้องของพนักงานสอบสวน หลังจากนั้นกระบวนการสอบปากคำจึงเริ่มต้นขึ้น และเมฆาก็ทำอย่างที่พูดไว้จริง ๆ นั่นคือคอยอยู่เคียงข้างตลอดเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบปากคำเธอ ตามด้วยเนตรดาวที่อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน