ตอนที่ 9

1954 คำ
เมฆาไม่ได้ตรงกลับบ้านอย่างที่บอกกับเนตรดาว ชายหนุ่มเดินทางมาที่สถานีตำรวจที่กรวิทย์ถูกส่งตัวมา ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาก็พบกับกองทัพนักข่าว และเสียงโหวกเหวกโวยวายของกรวิทย์ที่อยู่ในห้องขัง ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอย่างสาสมใจที่ได้เห็นมันอยู่ในนั้น และแน่นอนว่ามันไม่ได้รับการประกันตัว แม้จะมีพ่อเป็นถึงนักการเมืองใหญ่โตก็ตาม ดังคำสุภาษิตที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เขาบอกแล้วว่าจะใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อเล่นงานมัน เริ่มจากการที่มันไม่ได้รับการประกันตัวต้องทุรนทุรายอยู่ในห้องขังนี้เป็นต้น ทนายความที่บิดาเขาส่งมาเดินออกมาจากห้องของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ประจำสถานีพอดี ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นสองสามีภรรยาซึ่งก็คือบิดามารดาของกรวิทย์นั่นเอง ฝ่ายภรรยาก้มหน้าร้องไห้เงียบๆ โดยยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาเป็นระยะ ส่วนคนเป็นสามีใบหน้าเครียดจัด ขนาบข้างด้วยชายชุดดำผู้ติดตามสองคนที่ยืนคุมเชิงและคอยกันนักข่าวที่พยายามจะเข้าไปขอสัมภาษณ์ เมื่อเห็นเขาสองสามีภรรยามีอาการอึกอักนิดหน่อย ก่อนคนเป็นภรรยาจะโผเข้ามาเกาะแขนเขาแล้วร้องไห้โฮ “คุณมาร์ค อาขอโทษแทนลูกชายด้วยนะคะ อายินดีรับผิดชอบทุกอย่างที่ลูกชายอาทำลงไป แต่ได้โปรดให้อภัยและช่วยให้ลูกชายอาได้ประกันตัวด้วยเถอะนะคะ อาทนเห็นเขาต้องอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้จริงๆ” คุณนิตยาร่ำไห้อย่างน่าสงสาร เขานึกเห็นใจมารดาอย่างคุณนิตยาที่มีลูกชายสารเลวอย่างกรวิทย์ แต่การกระทำของมันเกินกว่าที่เขาจะให้อภัยได้ โทษทัณฑ์ของมันคือรับกรรมในคุกเท่านั้น “คุณมาร์ค” คุณเกรียงไกรที่นั่งหน้าเครียดอยู่นานลุกมายืนเคียงข้างภรรยา และทำท่าจะเอ่ยขอร้องเขาอีกคน เมฆาขี้เกียจจะฟังจึงยกมือขึ้นห้ามทันที “ผมรู้ครับว่าคุณอาจะพูดอะไร แต่ต้องขอโทษด้วยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย คนผิดต้องได้รับโทษ” “อาขอร้องเถอะคุณมาร์ค ถือว่าช่วยอาสักครั้ง ถ้าคุณมาร์คช่วย อาสัญญาว่าจะส่งมันไปอยู่เมืองนอกไม่ให้กลับมาเมืองไทยอีก” “แบบนั้นคนผิดก็ลอยนวลไปง่ายๆ น่ะสิครับ อย่าลืมนะครับว่าลูกชายของคุณอาจะฆ่าผม แถมก่อนหน้านี้ยังบงการวางเพลิงอู่ของผมอีก หมอนั่นจ้องทำลายจองล้างจองผลาญผม ทั้งที่ผมมั่นใจว่าไม่เคยทำอะไรให้มันสักนิดเดียว คนแบบนี้ปล่อยออกมาก็เป็นอันตรายต่อคนอื่น ให้มันอยู่ในนั้นชดใช้กรรมนั่นแหละดีแล้วครับ เผื่อว่ามันจะสำนึกกลับตัวกลับใจได้บ้าง” คำตอบอย่างหนักแน่นของเมฆาทำให้คุณนิตยาปล่อยโฮออกมาอีกรอบ เพราะรู้ว่าหมดหนทางที่จะนำตัวลูกชายออกมาจากห้องขังได้ และต่อไปก็จะถูกส่งไปยังเรือนจำเพราะข้อหาที่ก่อนั้นหนักหนาไม่น้อย คุณเกียงไกรเองก็หน้าซีดเพราะไม่สามารถช่วยลูกชายออกมาได้ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักท่านก็โทรหาหมดแล้ว แต่ไม่มีใครกล้างัดกับตระกูลสุริยาพิทักษ์เลยแม้แต่คนเดียว นั่นเพราะการช่วยลูกชายที่แสนจะไม่เอาถ่านของเขานั้น ไม่คุ้มเลยสักนิดกับการที่จะต้องงัดข้อกับตระกูลแสนมั่งคั่งที่มีทั้งอำนาจเงินและบารมี แม้เขาจะโกรธแสนโกรธกับสิ่งที่ลูกชายได้กระทำลงไป แต่ยังไงลูกก็คือลูก เขาไม่สามารถตัดขาดได้จริงๆ เขารู้ดีว่าสาเหตุที่ลูกชายไม่ได้ประกันตัวนั้นคืออะไร แต่ก็จนปัญญาที่จะต่อสู้เพื่อนำลูกชายของตัวเองออกมากจากห้องขัง “นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมว่าคุณอาทั้งสองกลับไปเถอะครับ นั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แถมจะเป็นเป้าให้นักข่าวเปล่าๆ” เมฆาหว่านล้อมให้สองสามีภรรยาเดินทางกลับ เพราะเขาอยากจะเข้าไป ‘เยี่ยม’ กรวิทย์โดยไม่มีสองสามีภรรยาอยู่ตรงนี้ คุณเกรียงไกรและคุณนิตยามองหน้ากันก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปก็ได้ยินเสียงกรวิทย์ร้องเรียกขึ้นมาเสียก่อน “คุณพ่อ คุณแม่ ช่วยผมด้วย เอาผมออกไปจากที่นี่ที ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ เหม็นก็เหม็นร้อนก็ร้อน คุณแม่ช่วยผมด้วย” ได้ยินดังนั้นคุณนิตยาก็ซบหน้าลงกับไหล่สามีร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะสงสารลูกชายจับใจ แต่เมฆารู้สึกสะใจเป็นที่สุด คุณนิตยาเดินไปเกาะลูกกรงที่มีประตูกั้นอีกชั้นเพราะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว จึงไม่สามารถเข้าไปหาลูกชายในห้องขังได้ “เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะรีบมาหาแต่เช้านะลูก อดทนนะ แม่จะหาทางช่วยลูกออกไปให้ได้” “ไม่เอา แม่อย่าทิ้งผม คุณพ่อล่ะ คุณพ่อต้องช่วยได้สิ คุณพ่อรู้จักคนตั้งมากมาย มีเส้นสายตั้งเยอะตั้งแยะ คดีที่ผ่านๆ มาคุณพ่อยังเคลียร์ให้ผมได้เลย คุณพ่อต้องช่วยผมนะ” ทุกถ้อยคำของกรวิทย์ถูกนักข่าวทั้งหมดบันทึกไว้อย่างดีทำให้คุณเกรียงไกรต้องรีบดึงภรรยาออกมาและเดินออกไปทันที ท่ามกลางเสียงตะโกนโวยวายของกรวิทย์ “เงียบๆ หน่อยคุณกรวิทย์ อย่าส่งเสียงรบกวนเจ้าหน้าที่ นี่มันดึกมากแล้วนะ” เจ้าหน้าที่ร้อยเวรส่งเสียงปราม กรวิทย์ที่ร้องโวยวาย แต่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่เชื่อฟังแล้วยังขู่ออกมาอีกด้วย “แกเป็นใคร รู้ไหมว่าฉันลูกใคร ให้ฉันออกไปได้ก่อนเถอะ แกเดือดร้อนแน่ ฉันจะเล่นงานให้หมดทั้งโรงพักเลย” ประโยคนั้นของกรวิทย์ทำให้เมฆาลอบยิ้มอย่างพอใจ เพราะไม่ต่างจากการประจานตัวเองให้ชาวบ้านเห็น เขามั่นใจว่าข้อความทั้งหมดจะต้องถูกถ่ายทอดออกไปเป็นข่าวอย่างแน่นอน หลังจากสองสามีภรรยากลับไป เขาก็ให้สัมภาษณ์นักข่าวเล็กน้อย ก่อนจะตบท้ายด้วยการยืนยันว่าขอให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อได้ข่าวจนพอใจบรรดานักข่าวก็สลายตัวเพราะดึกมากแล้ว ส่วนตัวเขานั้นหันไปพยักหน้ากับคนของบิดาที่ส่งมาก่อนหน้า แล้วเขาก็ทำตามสิ่งที่ตั้งใจมาที่นี่อย่างไม่รอช้า กรวิทย์เงยหน้าขึ้นมองอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงไขประตูห้องขังชั้นนอก เพราะคิดว่าบิดามารดากำลังจะมาพาตัวเองออกไป แต่เมื่อเห็นว่าใครที่ก้าวมายืนล้วงกระเป๋ามองเขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ยก็แทบคลั่ง “ไอ้มาร์ค มึง” “ไง ไอ้กาย อยู่ในนั้นสบายดีไหม ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าจะได้เห็นมึงในสภาพนี้” เมฆาแสร้งหัวเราะกวนประสาทคนในห้องขัง ซึ่งได้ผลชะงัดเพราะมันออกอาการคลุ้มคลั่งทันที “ไอ้เลว กูเกลียดมึง อย่าให้กูออกไปได้นะ กูจะฆ่ามึง” “พูดมาอีกสิ พูดออกมาเลย คุณทนายบันทึกหลักฐานไว้แล้วใช่ไหมครับ” “เรียบร้อยครับคุณมาร์ค” กรวิทย์หันไปมองทนายความที่กำลังถือโทรศัพท์บันทึกวีดีโอที่เขาขู่ฆ่าเมฆาเอาไว้ก็ยิ่งโกรธ “กูสาบานเลย ถ้ากูออกไปได้ กูจะฆ่ามึงให้ตายด้วยมือกูเอง” “หึหึ ก่อนจะขู่ฆ่าคนอื่น มึงเอาตัวมึงให้รอดก่อนเถอะ แต่กว่ามึงจะได้ออกมา ตอนนั้นยังจะมีแรงถือปืนอยู่หรือเปล่านะ ไหนจะข้อหาบงการวางเพลิง ไหนจะข้อหาพยายามฆ่า ไหนจะข้อหาพกพาอาวุธปืน แก่ตายในคุกเถอะมึง” “ไอ้มาร์ค มึงอย่ามาขู่กูหน่อยเลย เดี๋ยวพ่อกูก็เอากูออกไปได้ มึงเตรียมตัวไว้เถอะ” “มึงเลิกฝันหวานได้แล้วไอ้กาย ถ้าพ่อมึงช่วยมึงได้ เขาก็เอามึงกลับบ้านไปพร้อมเขาเมื่อกี้แล้ว ทุกครั้งมึงเคยต้องมานอนในห้องขังแบบนี้ไหมล่ะ แค่นี้มึงก็น่าจะรู้ชะตากรรมตัวเองแล้วนะ ไม่มีใครเขาอยากยื่นมือมาช่วยพ่อมึงหรอก เพราะมันไม่คุ้มกับการจะเอาชื่อเสียงมาแลกกับไอ้กุ๊ยแบบมึง” “ไม่จริง ไม่จริง” กรวิทย์คิดตามคำพูดของเมฆาและเริ่มหวั่นใจว่าบิดาจะไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีเรื่องขึ้นโรงพักสักกี่ครั้ง บิดาก็เคลียร์ให้หมด โดยที่เขาไม่เคยต้องเฉียดกายใกล้ห้องขังเลยสักครั้ง “จริงไม่จริงมึงก็ได้รู้แล้วนี่ ตอนนี้พ่อกับแม่มึงกลับไปแล้ว เพราะไม่สามารถประกันตัวมึงได้ เพราะอะไรมึงก็น่าจะรู้นะ” เมฆาส่งยิ้มเยาะเย้ยให้คนที่กำลังจะคลุ้มคลั่งเต็มที “มึงไอ้มาร์ค กูจะฆ่ามึง” “ก่อนคิดจะฆ่ากู มึงเตรียมคิดไว้ดีกว่าว่าจะใช้ชีวิตให้รอดพ้นจากขาใหญ่ในคุกได้ยังไง” เมฆาหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะเดินออกจากห้องขัง โดยมีเสียงอาละวาดของกรวิทย์ดังไล่หลังมา “ขอบคุณคุณทนายมากนะครับ ที่มาช่วยจัดการเรื่องยุ่งๆ นี่ให้” “เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ อีกอย่างท่านกำชับมาว่าให้ผมจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ผมเลยต้องมาด้วยตนเอง” เมฆาและทนายความประจำตระกูลสบตากันอย่างรู้ดีถึงนัยยะแห่งคำว่าเรียบร้อยนั่น ทนายท่านนี้ได้ชื่อว่าเป็นทนายเขี้ยวลากดินมีชื่อเสียงระดับประเทศ และเป็นทนายความที่คอยดูแลด้านกฎหมายให้กับครอบครัวของเขาด้วย หากเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกฝ่ายจะส่งลูกน้องในสำนักงานของตัวเองมา แต่ครั้งนี้ลงทุนมาด้วยตนเองคงเพราะบิดาเขาเป็นคนสั่งให้ดูแลคดีนี้เป็นพิเศษนั่นเอง “คุณเมฆาไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำให้มันอยู่ในคุกให้นานที่สุด ไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันง่ายๆ แน่” “ขอบคุณมากครับ ตอนนี้ดึกมากแล้วคุณทนายกลับไปพักผ่อนเถอะครับ” “ถ้างั้นผมลานะครับ” “สวัสดีครับ” หลังจาก ‘เยี่ยม’ กรวิทย์เสร็จเรียบร้อย เมฆาก็เดินกลับมาที่รถเพื่อกลับบ้านไปพักผ่อนเช่นกัน ระหว่างทางเขาอดคิดถึงคนที่อยู่ที่โรงพยาบาลไม่ได้ เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ เขาก็ยิ่งประทับใจในความกล้าหาญที่เธอเสียงชีวิตช่วยเขา ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเขาเป็นฝ่ายเข้าไปช่วยเธอจากการถูกลวนลามแท้ๆ เหตุการณ์นี้มันทำให้ความสนใจและประทับที่มีให้หญิงสาวตั้งแต่แรกพบที่ห้างสรรพสินค้าครั้งก่อนเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว “ผมจะไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ แน่พลอย” ภาพคนป่วยแสนงอนที่โรงพยาบาลที่เขาเผลอดุด้วยความเป็นห่วงผุดขึ้นมาอีกครั้ง เมฆายิ้มออกมาอย่างเอ็นดู เขารู้ว่าเธออายุมากกว่าเขาสามปี แต่กิริยาท่าทางตอนไม่พอใจที่โดนเขาดุนั้นไม่ต่างจากเด็กน้อยโดนผู้ปกครองดุเลยสักนิด ซึ่งเขามองว่ามัน ‘น่ารัก’ “พรุ่งนี้เจอกันคนแสนงอนของผม” เมฆาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเคลื่อนรถออกไป เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม