“เฟิร์น ป๊าจะไปซ้อมดนตรี ไปด้วยไหม”
“ไปที่ไหน ไปกับใคร”
“ไปห้องซ้อมแถวนี้แหละ ถามเยอะว่ะ จะไปไหม”
“ไป”
“แล้วถามทำไม”
“ก็ถามเฉยๆ ไปกี่โมง”
“บ่ายๆ กินข้าวเสร็จค่อยไป”
“เค”
หทัยชนก หรือ เฟิร์น สาวน้อยหน้าตาน่ารักพูดคุยเล่นกับบิดาของเธอ หนูน้อยเป็นเด็กกล้าแสดงออก พูดเก่ง ครอบครัวเธอจึงส่งเธอไปเรียนการแสดง และด้วยการแสดงออกที่น่ารักโดยธรรมชาติ และความหน้าตาดีของเธอจึงทำให้เธอได้มีผลงานการแสดงบ้างประปราย
วันนี้เป็นวันหยุดเธอจึงไม่ได้ไปโรงเรียน และไม่ได้เข้าไปที่โมเดลลิ่งเพราะเธอได้วันหยุดพักหลังจากที่ต้องไปถ่ายละครติดกันมาหลายวัน เมื่อบิดาชวนไปห้องซ้อมดนตรี เธอจึงตกลงไปด้วยโดยไม่ลังเล
เมื่อมาถึงที่ห้องซ้อมดนตรี สาวน้อยทักทายเพื่อนๆของบิดาเธอด้วยความสนิทสนม บิดาของเธอเล่นดนตรีมาตั้งแต่วัยรุ่น หลังจากที่มีเธอก็มักจะพาเธอไปด้วยเกือบทุกที่ อีกทั้งบิดาเธอก็ไม่ได้อายุมากเท่าไหร่ เพราะมีลูกตอนอายุยังน้อย ปีนี้หทัยชนกอายุ 10 ปี และอนุชิต บิดาของเธออายุเพียง 30 ปีเท่านั้น
“ไอ้นุ นี่น้องที่กูบอก ชื่อคิว อายุเพิ่ง 20 ปี” อู๊ดดี้ เพื่อนที่เป็นมือกีตาร์ควบตำแหน่งผู้จัดการของวงเอ่ยแนะนำสมาชิกคนใหม่ของวงกับอนุชิตเมื่อเขามาถึง
“สวัสดีครับ” วชิรวิษ ชายหนุ่มวัยรุ่นยกมือไหว้หลังจากได้รับการแนะนำ
“สวัสดีๆ ไอ้เฟิร์น ทักทายพี่เขาด้วย” อนุชิตรับไหว้อย่างเป็นกันเองก่อนจะบอกให้หทัยชนกทักทายเด็กหนุ่ม
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“อ้าว ไอ้เฟิร์นมาด้วยเหรอ ไม่เห็นนะเนี่ย” อู๊ดดี้แกล้งหลานสาวด้วยการทำเป็นเหมือนไม่เห็นเธอ
“เ**กอู๊ด เฟิร์นงอนนะ”
“ไม่งอนๆ เ**กเลี้ยงพิซซ่า”
“หายงอนละ”
“ว่าไป แล้วกินได้เหรอ ถ่ายละครจบหรือยัง”
“จบแล้ว บทเฟิร์นถ่ายครบหมดแล้ว แต่ถึงกินก็ไม่เป็นอะไร เฟิร์นยังเด็ก กินได้”
“จ้ะ แม่เด็กน้อย กินแต่ละทีเหมือนกับเอาไปทิ้ง กินน้อยทั้งถาด”
“กินน้อย…..ทั้งถาด” วชิรวิษที่ฟังอาหลานแซวกันเล่นถึงกับต้องพูดทวน เมื่อได้ยินว่าสาวน้อยตรงหน้ากินพิซซ่าคนเดียวทั้งถาด
“ล้อเล่นน่ะ แต่ก็กินครึ่งถาดอยู่นะ” อู๊ดดี้ตอบชายหนุ่มรุ่นน้องแต่ก็ยังไม่วายแซวสาวน้อยอยู่ดี
“มึงก็แกล้งหลาน” อนุชิตส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ
“เอาล่ะๆ ซ้อมมือกันหน่อยดีกว่า”
หลังจากทุกคนเข้าประจำตำแหน่ง ดนตรีก็เริ่มบรรเลง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หทัยชนกได้เจอกับวชิรวิษ เธอมากับบิดาเกือบทุกครั้งและสนิทกับเพื่อนๆในวงของบิดา เพราะแต่ละคนคบกันมาตั้งแต่วัยรุ่นและเห็นเธอมาตั้งแต่เกิด แต่กับวชิรวิษที่เพิ่งเข้ามาร่วมวง เธอและเขาจึงเพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรก
2 ปีต่อมา
“ไปเร็วป๊า เดี๋ยวรถติด”
“เออๆ รู้แล้วๆ”
“ช่อดอกไม้ล่ะ”
“ไปซื้อที่นู่นก็ได้ มีขายเยอะแยะ”
“โอ๊ย หล่อแล้ว”
หทัยชนกเร่งให้บิดาขึ้นรถ วันนี้เป็นวันที่วชิรวิษรับปริญญา คนในวงเลยนัดกันไปแสดงความยินดีกับเขา แต่นัดกันรอบเย็นเพื่อจะไปกินเลี้ยงกัน ซึ่งรอบกินเลี้ยงหทัยชนกไปด้วยไม่ได้เพราะชายหนุ่มไปจัดเลี้ยงที่ร้านเหล้า เธอจึงต้องไปแสดงความยินดีที่มหาวิทยาลัยแทน
“พี่คิว อยู่ตรงไหนคะ”
“มาถึงกันแล้วเหรอ พี่อยู่ตรงข้างสนามบอล ฝั่งที่มีเต๊นท์”
“เดี๋ยวเฟิร์นเดินไป”
“โอเค แล้วคนอื่นๆล่ะ”
“ยังไม่มีใครมาถึงเลยเหรอคะ”
“ยังนะ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกันค่ะ”
เมื่อมาถึงที่มหาวิทยาลัยอนุชิตก็ให้หทัยชนกเป็นคนโทรศัพท์หาวชิรวิษเพราะเขาต้องถือช่อดอกไม้ที่แวะซื้อกับของที่นำมาด้วย
หลังจากวางสายหทัยชนกก็เอาโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋าสะพายข้างใบเล็กของเธอ การที่สาวน้อยอายุเท่านี้แต่มีโทรศัพท์มือถือก็เพราะเธอต้องทำงาน และยามที่คนอื่นติดต่อบิดาของเธอไม่ได้ก็จะติดต่อกับเธอโดยตรง
“มาแล้วค่ะ”
“อ้าวเฟิร์น พี่นุ สวัสดีครับ”
“ครับ คนอื่นยังไม่มาเหรอ”
“โทรมาแล้วครับ บอกเอารถไปจอดที่ห้างแล้วเดี๋ยวนั่งแท็กซี่มา”
“แสดงว่าคงไปจอดที่เดียวกันนั่นแหละ”
หลังจากที่ยืนคุยกันสักพักคนอื่นๆก็ทยอยมาถึง เมื่อคนในวงมากันครบแล้วก็พากันถ่ายรูปและมอบช่อดอกไม้กับของขวัญแสดงความยินดี เมื่อชายหนุ่มได้เวลาเข้าหอประชุมทุกคนก็ขอตัวกลับ พอเขาออกมาจึงใช้ช่วงบ่ายเวลากับเพื่อนกลุ่มอื่นและรอเจอกับทุกคนที่งานเลี้ยงตอนเย็น
3 ปีต่อมา
“มาถึงแล้วค่ะ พี่คิวอยู่ไหนคะ” เสียงหวานพูดเจื้อยแจ้วมาตามสาย
“ข้างเต๊นท์ที่เดิมเลยจ้ะ”
“โอเค เดี๋ยวเจอกันค่ะ”
วชิรวิษหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายหลังจากที่เขามาถึงที่มหาวิทยาลัยไม่นาน วันนี้เขามาคนเดียวเพราะบิดามารดาของเขาเสียชีวิตหมดแล้ว จึงมีเพียงเพื่อนๆเท่านั้นที่มาแสดงความยินดี
“มาแล้วค่า” หทัยชนกส่งเสียงสดใสทักทายมาพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ปีนี้เด็กสาวอายุ 15 ปี เธอเติบโตขึ้นพร้อมกับการรับผิดชอบที่มากขึ้นเพราะเธอเริ่มรับงานในบทบาทที่โตขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
“ไง”
“สวัสดีครับพี่นุ”
“จบโทด้วยอายุเท่านี้ ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย”
“กว่าจะจบก็สาหัสเหมือนกันนะครับ”
อนุชิตไม่ตอบอะไร เขายิ้มให้หนุ่มรุ่นน้องด้วยสีหน้าและแววตาภาคภูมิใจ น้อยคนนักที่จะได้รู้จักกับเด็กหนุ่มที่เก่งแบบนี้
หลังจากพูดคุยกันไม่นาน คนอื่นๆก็ทยอยมาถึง หทัยชนกเป็นตากล้องมือสมัครเล่นให้กับพวกเขา เพื่อถ่ายรูปในโทรศัพท์ และมีตากล้องที่วชิรวิษจ้างมาคอยถ่ายรูปให้อย่างมืออาชีพ
“วันนี้เฟิร์นมาด้วยไหม พี่จัดเลี้ยงที่บ้าน” ชายหนุ่มหันไปถามหทัยชนกด้วยใจหวังให้ไปร่วมกินเลี้ยงด้วยกัน เพราะคราวก่อนเด็กสาวก็ไม่ได้ไป
“อยากไปนะคะ แต่ไม่ว่างเลยค่ะ นี่เดี๋ยวเฟิร์นกลับไปเข้ากองถ่ายต่อ” สาวน้อยตอบด้วยน้ำเสียงเสียดาย
“เป็นดาราดังใหญ่แล้ว”
“ไม่จริงเลยค่ะ ไม่เห็นมีใครจำเฟิร์นได้เลย”
“งั้นพี่ท้าถอดหน้ากากอนามัย”
สองหนุ่มสาวต่างวัยยืนคุยกันจนกระทั่งถึงคิวเด็กสาวถ่ายรูป เธอถอดหน้ากากอนามัยออกเพื่อถ่ายรูปคู่กับวชิรวิษ แต่เพียงไม่กี่นาทีเธอก็สวมมันไว้ตามเดิม
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็แยกย้ายกันกลับ อนุชิตแวะไปส่งบุตรสาวเข้ากองถ่าย ก่อนที่จะไปรวมตัวกับคนอื่นแล้วไปร่วมกินเลี้ยงกันที่บ้านของวชิรวิษ
กลางดึกคืนนั้น หลังจากที่ทุกคนเริ่มเมากันได้ที่ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่หทัยชนกทำงานเสร็จพอดี เธอจึงโทรศัพท์หาบิดา
“ป๊า เลิกกองแล้ว มารับเฟิร์นหน่อย”
“มีปัญหาแล้วล่ะ ป๊าดื่มเยอะไปหน่อย น่าจะขับรถไม่ได้ ให้คิวไปรับได้ไหม คิวไม่ค่อยได้ดื่ม”
“รบกวนพี่คิว งานเลี้ยงเขาจะให้เจ้าภาพออกจากงานมาได้ยังไง”
“เออน่า เดี๋ยวถามคิวมันก่อน”
หทัยชนกเงียบไปเมื่อได้ยินสิ่งที่บิดาบอก เธอนั่งรอคำตอบจากบิดาเงียบๆจนกระทั่งบิดาส่งโทรศัพท์ให้เธอเป็นคนคุยกับวชิรวิษเอง
“ว่าไงเฟิร์น”
“พี่คิว ป๊าเมาเหรอ”
“ก็เอาเรื่องอยู่นะ ทำไมอะ”
“เฟิร์นเลิกกองแล้วอะ จะให้ป๊ามารับ”
“อยู่ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวพี่ไปรับเอง”
เด็กสาวชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะบอกเขาไปแล้วก็เดินเข้าไปรวมตัวกับคนอื่นที่ยังไม่กลับเพื่อรอให้ชายหนุ่มมารับ
ทางด้านวชิรวิษ หลังจากได้คำตอบว่าเด็กสาวทำงานอยู่ที่ไหนเขาก็กลับเข้าไปในบ้าน หยิบเอากุญแจรถที่แขวนอยู่แล้วก็ออกจากบ้านไป
ไม่นานก็ขับรถมาถึงสถานที่ตามที่หทัยชนกบอกไว้ เขาโทรหาเด็กสาวว่าเขามาถึงแล้ว และเพียงไม่นานเธอก็เดินออกมาขึ้นรถ รอจนเด็กสาวคาดเข็มขัดเรียบร้อยเขาจึงขับออกไป
“สวัสดีค่ะ” หทัยชนกยกมือไหว้เขาด้วยความเคยชิน
“สวัสดีจ้ะ ให้พี่ไปส่งที่บ้านไหม พี่ว่าคืนนี้พี่นุน่าจะค้างที่บ้านพี่” เขารับไหว้แล้วถามเธอด้วยความเอ็นดู
“ได้ค่ะ เอาที่พี่คิวสะดวกเลย” มือเล็กยกขึ้นมาปิดปากหาวอย่างกลั้นไม่ไหว
“หรือจะไปที่บ้านพี่ มีห้องว่างอยู่นะ” ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นหทัยชนกไม่วางมาดแม้แต่น้อย
“ยังไงก็ได้ค่ะ เฟิร์นขอนอนสักพักนะ เหนื่อยมากกกก”
“แล้วพรุ่งนี้เช้าไปโรงเรียนไหม”
“เฟิร์นปิดเทอมแล้วค่ะ เพิ่งยื่นเอกสารเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนเดิม”
“ปีนี้เฟิร์นอายุเท่าไหร่แล้ว”
“15 ค่ะ”
“โตเร็วจัง”
“เจอกันตั้งแต่พี่คิวเรียนมหาวิทยาลัยนี่คะ จนตอนนี้พี่คิวจบโทแล้ว เฟิร์นจะไม่โตได้ยังไง”
“เออเนอะ”
เสียงพูดคุยเงียบไปสักพักในช่วงที่วชิรวิษต้องใช้สมาธิในการขับรถ เมื่อหันมาอีกที สาวน้อยหน้าหวานก็หลับไปแล้ว มือหนากดเบาเครื่องปรับอากาศภายในรถ ก่อนจะหันมาตั้งใจขับรถกลับบ้าน
ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงไม่นานก็ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของตัวเอง อันที่จริงเขาไปส่งเธอที่บ้านก็ได้ แต่เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กสาวที่ต้องอยู่คนเดียว
“เฟิร์น ตื่นได้แล้ว”
“ที่ไหนคะ”
“บ้านพี่ ไปเถอะ เดี๋ยวพี่พาไปส่งที่ห้อง วันนี้ใส่เสื้อผ้าพี่ไปก่อน”
“ค่ะ”
หทัยชนกลงจากรถด้วยสีหน้างัวเงียแต่ก็เดินตามร่างสูงเข้าไปในบ้าน เธอแวะทักทายกลุ่มเพื่อนๆของบิดาที่อยู่ในงานเพียงชั่วครู่ก็เดินขึ้นชั้นสองไปพร้อมกับวชิรวิษที่ยืนรออยู่
“เฟิร์นนอนห้องนี้แล้วกันเพราะห้องนี้มันมีห้องน้ำข้างใน จะได้เป็นส่วนตัวหน่อย ให้คนอื่นที่จะค้างนอนห้องฝั่งนู้น เดี๋ยวพี่ไปเอาเสื้อผ้ามาให้”
“ค่ะ”
เด็กสาววางกระเป๋าลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนจะหย่อนตัวนั่งลง ไม่กี่นาทีหลังจากที่วชิรวิษเดินออกไป เขากลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับเสื้อผ้าของเขากับผ้าขนหนูผืนใหม่
“อาบน้ำพักผ่อนได้แล้ว”
“ค่ะ”
“พี่ไปนะ ข้างล่างยังมีแขกอยู่ ถ้าหิวก็โทรบอกพี่”
“เฟิร์นกินที่กองมาแล้วค่ะ”
“จ้ะ”
ร่างสูงเดินออกจากห้องไปอีกครั้งโดยไม่ลืมกดล็อกประตูให้เด็กสาว เพราะเขาไม่มีเหตุให้ต้องกลับเข้ามาอีก หทัยชนกมองตามแผ่นหลังกว้างไปด้วยสายตาครุ่นคิดก่อนจะลุกจากเตียงเดินหายเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับเสื้อผ้าและผ้าขนหนูในมือ