“ไปรายงานตัวก่อน เดี๋ยวมา”
“เออ มาเร็วๆ”
หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะเดินหายออกไปจากจุดที่บิดาของเธอกับเพื่อนๆของเขานั่งกันอยู่
วันนี้เป็นวันที่หญิงสาวรับปริญญา และเธอเป็นหลานคนแรกของกลุ่ม บรรดาเพื่อนของบิดาจึงพากันมาถ่ายรูปร่วมยินดีกับเธอด้วย
พ้นหลังหทัยชนกไป ได้มีร่างสูงเดินเข้ามาบริเวณนั้นพร้อมกับดอกไม้สดช่อใหญ่และช่อดอกไม้เงินสดที่มูลค่าไม่น้อย มือหนาอบอุ่นหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดโทรออกหาเจ้าของช่อดอกไม้ที่เขาตั้งใจนำมาให้
“คิว อยู่นี่”
แต่ยังไม่ทันที่ปลายสายจะกดรับก็มีเสียงเรียกเขาดังขึ้นไม่ไกล เมื่อเขามองหาทางที่มาของเสียง ก็เจอกับกลุ่มเพื่อนนักดนตรีของเขาที่นั่งโบกมือเรียกกันอยู่ พร้อมกับโทรศัพท์ของเจ้าของช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือบิดาของเธอ จึงเดินเข้าไปหาด้วยก้าวย่างที่มั่นคง
“รถติดเหรอ”
“นิดหน่อยพี่นุ มาช้าเพราะแวะไปเอาดอกไม้มา เจ้าเฟิร์นล่ะ”
“ไปรายงานตัว เดี๋ยวก็มา”
วชิรวิษพยักหน้ารับก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงเก้าอี้ฝั่งที่ว่างอยู่เพื่อรอให้เจ้าของช่อดอกไม้มารับมันไป
“ร้อนมากอะ ขนาดยังเช้าอยู่เลยนะ อ้าวพี่คิว สวัสดีค่ะ”
“ครับผม”
“ทำไมสภาพเป็นแบบนั้น” อนุชิตถามบุตรสาวเมื่อเห็นสภาพเหน็ดเหนื่อยของเธอถึงแม้เธอจะยิ้มอยู่ก็ตาม
“ไปถ่ายรูปมานะสิ แวะถ่ายมาตลอดทางเลย”
หทัยชนกเริ่มได้รับบทบาทนางเอกตั้งแต่เธออายุ 16-17 ปี อาจจะเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาและการแสดงของเธอที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงได้รับบทบาทนางเอกเร็ว แต่ถ้าเทียบกับความพยายามและอายุการทำงานในวงการของเธอก็ไม่ถือว่าเร็ว
“ถึงคิวพี่หรือยัง” ชายหนุ่มถามเธอด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“อุ้ย ขอบคุณค่ะ”
มืออบอุ่นส่งช่อดอกไม้ทั้งสองช่อให้กับหญิงสาวที่รับมากอดเอาไว้ ก่อนจะชวนกันถ่ายรูปกับเขาและกับคนอื่นเพราะเดี๋ยวเธอต้องถ่ายรูปกับกลุ่มแฟนคลับของเธอที่มาเพื่อเธอในวันนี้
หลังจากหญิงสาวเข้าหอประชุมไปคนอื่นก็พากันกลับก่อน รวมทั้งอนุชิตที่กลับไปเตรียมตัวที่บ้าน ปล่อยให้วชิรวิษอยู่รอพาหญิงสาวกลับบ้าน
ไม่นานมานี้หทัยชนกเพิ่งปลูกบ้านหลังใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของวชิรวิษมากนัก อันที่จริงหญิงสาวบังเอิญได้คุยกับบิดาเรื่องการขยับขยายออกจากบ้านเดิมเพราะเธอโตมากขึ้น จึงตั้งใจว่าจะปลูกบ้านบนที่ดินมรดกที่มารดาของเธอเคยทำเอาไว้ให้เมื่อเธอมีอายุครบ 20 ปี จนเมื่อได้เริ่มมาดูที่ดินผืนดังกล่าวก็พบว่ามันอยู่ใกล้บ้านของวชิรวิษมาก ห่างกันเพียงไม่กี่ซอยเท่านั้น
“อ้าว ทำไมอยู่คนเดียวล่ะคะ” เสียงหวานใสเอ่ยทัก เมื่อเดินมาถึงโต๊ะแล้วพบว่ามีเพียงวชิรวิษนั่งอยู่คนเดียว
“กลับไปรอที่บ้านกันแล้วล่ะ ไปซื้อของขวัญกันด้วยมั้ง” ชายหนุ่มบอกเธอในสิ่งที่เขาคาดเดา
“ของขวัญ?” หญิงสาวเอียงศีรษะเล็กน้อยพลางทำหน้าสงสัย
“ก็วันนี้พวกเราบางคนจะได้ไปบ้านเฟิร์นครั้งแรกไง รวมทั้งพี่ด้วย” เขาอมยิ้ม มองเธอสายตาเอ็นดู
“พี่ไม่เคยไปบ้านเฟิร์นเหรอ นึกว่าเคยมาหาป๊าแล้วซะอีก” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย
“ว่างไม่ตรงกันอะสิ ถ่ายรูปต่อไหม หรือจะกลับเลย”
“กลับเลยก็ได้ค่ะ ถ่ายรูปไปเยอะแล้ว กลับไปพักดีกว่า เราค่อยหาวันไปถ่ายนอกรอบนะคะ” คนตัวเล็กกว่าแอบทำเสียงอ่อย เธอเริ่มเหนื่อยจนอยากนอนพักมากกว่า
“ไม่มีปัญหาจ้ะ งั้นเปลี่ยนรองเท้าเลย เดี๋ยวพี่ถือให้” ชายหนุ่มเอื้อมหยิบกล่องรองเท้าที่หญิงสาวเปลี่ยนรองเท้าแล้ววางเอาไว้ก่อนหน้านี้ มาเปิด แล้วหยิบรองเท้าแตะมาวางให้เธอเปลี่ยน
“ไม่เป็นไรค่ะ ให้พี่ฝนถือให้ก็ได้ค่ะ”
“พี่ถือให้ดีกว่า”
หทัยชนกเปลี่ยนใส่รองเท้าแตะหลังจากที่เธอมีอาการรองเท้ากัดแล้ววชิรวิษสังเกตเห็น หญิงสาวเก็บรองเท้าส้นสูงใส่กล่องแล้วเอาใส่ถุง โดยมีผู้จัดการของเธอคอยดูแลความเรียบร้อยให้
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ร่างสูงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือหนาหยิบกระเป๋าสะพายของหญิงสาวมาสะพายเสียเอง หอบเอาช่อดอกไม้พร้อมกับหยิบถุงใส่กล่องรองเท้ามาถือไว้ ปล่อยให้ผู้จัดการส่วนตัวของหทัยชนกเป็นคนถือช่อดอกไม้จากบรรดาแฟนคลับเอง แล้วพยักหน้าเป็นเชิงส่งสัญญาณว่าเขาพร้อมที่จะออกเดินทาง
ระหว่างทางเดินกลับไปขึ้นรถตู้ หทัยชนกแวะถ่ายรูปไปตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงรถ บรรดาแฟนคลับที่สนิทกันรวมทั้งผู้จัดการส่วนตัวของเธอก็ช่วยกันเอาช่อดอกไม้กับของขวัญขึ้นไปเก็บบนรถ
“เต็มรถเลย ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ฝนกลับกับน้าแก้วก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเฟิร์นกลับกับพี่คิว”
“โอเค คุณคิวจอดรถที่ไหนคะ”
“ด้านนู้นครับ”
“งั้นเอาอย่างนี้ เดี๋ยวให้น้าแก้วขับรถพาคุณคิวไปเอารถ แล้วคุณคิวค่อยวนกลับมารับน้องเฟิร์น พี่ก็จะได้กลับกับน้าแก้วพอดี”
“ครับผม ระวังตัวกันด้วยนะทั้งสองคน คนเยอะมาก”
“ค่ะ”
หลังจากที่ตกลงกันเสร็จเรียบร้อย วชิรวิษก็ขึ้นรถที่นั่งข้างคนขับ ชายวัยกลางคนขับออกไปหลังจากที่เขาคาดเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว หทัยชนกยังถ่ายรูปกับแฟนคลับและรับของขวัญไปเรื่อยๆระหว่างรอ
จนกระทั่งสักพักใหญ่วชิรวิษถึงขับรถเข้ามาจอดรับ จึงช่วยกันเอาของขวัญส่วนหนึ่งขึ้นรถ รอจนแก้วขับรถตู้เข้ามาจอดก็ช่วยกันขนอีกส่วนขึ้นเก็บบนรถตู้ ก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นรถแล้วเคลื่อนตัวออกไป
ที่บ้านของหทัยชนก หลังจากพนักงานจัดโต๊ะและข้าวของสำหรับกินเลี้ยงเสร็จก็ทยอยนั่งพัก โดยมีอนุชิตและกลุ่มเพื่อนๆของเขาลองเสียงและปรับจูนเสียงเครื่องดนตรีอยู่ในมุมหนึ่งของงาน
ไม่นานรถตู้ของที่บ้านก็ขับมาจอดบริเวณที่จอดรถพร้อมกับรถของวชิรวิษที่ตามมาติดๆ ร่างบอบบางของหทัยชนกลงรถมาก่อนก่อนที่วชิรวิษจะลงมา ตามหลังด้วยผู้จัดการส่วนตัวของหญิงสาวอย่างน้ำฝน และปิดท้ายด้วยแก้ว คนขับรถประจำบ้าน
“พี่ฝนเอาช่อดอกไม้แห้งไปเก็บที่ห้องแฟนคลับได้เลยนะคะ ช่อดอกไม้สดเฟิร์นจะเอามาจัดใส่แจกัน พวกของขวัญเดี๋ยวเฟิร์นแกะเองค่ะ ส่วนช่อดอกไม้เงินเดี๋ยวเฟิร์นเอาไปไว้ในห้องนอนค่ะ” หญิงสาวบอกหลังจากที่ช่วยกันขนช่อดอกไม้กับของขวัญทั้งหมดเข้ามาไว้ในบ้าน
“ห้องแฟนคลับ?” เสียงทุ้มพูดทวนประโยคด้วยความไม่แน่ใจ
“ค่ะ ข้างๆห้องทำงานของเฟิร์นมีห้องแฟนคลับอยู่ เอาไว้เก็บดอกไม้กับของขวัญที่แฟนคลับให้มาค่ะ”
“อ๋อ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ไปดูได้นะคะ เดี๋ยวเฟิร์นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“ไม่รอถ่ายรูปก่อนเหรอเฟิร์น พี่ว่ารอถ่ายรูปก่อนดีกว่านะ” น้ำฝนรีบเบรกหญิงสาว หล่อนคิดว่าอาจจะต้องถ่ายรูปอีก
“ไม่เป็นไรค่ะ เฟิร์นยังไม่ได้ลบเครื่องสำอาง เฟิร์นไปนะ เหนียวตัว” หญิงสาวพูดจบก็หันหลังเดินขึ้นบันไดไป
คืนนั้นหญิงสาวลงมาหลังจากได้พักผ่อนเพียงพอ ก็เป็นเวลาที่แขกมากันพร้อม เธอจึงมาร่วมถ่ายรูปและพูดคุยกับคนอื่นอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งเริ่มดึกจึงขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับลงมาอีกครั้งในชุดสบายๆพร้อมกับใบหน้าที่ลบเครื่องสำอางออกจนหมด ซึ่งคนที่ยังเหลืออยู่ในงานเกือบทั้งหมดคือเพื่อนนักดนตรีของอนุชิต
“เวลามันผ่านไปเร็วนะ เห็นเจ้าเฟิร์นมาตั้งแต่เกิด ตอนนี้เรียนจบแล้ว แถมยังเป็นดาราดังอีก” อู๊ดดี้พูดพลางมองหลานสาวด้วยสายตาภูมิใจ
“อีกไม่นานก็คงเข้าสู่วัยที่จะมีแฟน มีครอบครัว” พจน์พูดขึ้นบ้าง เขาเองก็ภูมิใจไม่น้อย เขามองหลานสาวเป็นดั่งลูก เพราะเขากับภรรยาไม่มีลูกเป็นของตัวเอง
“อย่าเพิ่งได้ไหม ยังไม่ได้เตรียมใจ” อนุชิตขัดขึ้นเบาๆ
“ลูกมึงเรียนจบแล้วนะ มีอาชีพจนหาเงินมาปลูกบ้านด้วยตัวเองได้ ให้เขามีความสุขบ้าง อีกอย่างนะ กูว่าไม่ต้องกลัวได้ใครก็ไม่รู้มาเป็นลูกเขยหรอก มึงดูนู่นเถอะ ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน มึงเห็นคิวมันออกห่างจากเจ้าเฟิร์นบ้างหรือยัง” อู๊ดดี้บอกให้อนุชิตมองอย่างคนช่างสังเกต ถ้าหากวชิรวิษจะจีบหลานของเขา เขากับพจน์ก็ไม่ติดขัดอะไร เพราะวชิรวิษเองก็ดีพร้อมทุกด้าน และพวกเขาก็เห็นวชิรวิษมาตั้งแต่ชายหนุ่มยังเป็นวัยรุ่น
“เออ พอรู้สึกอยู่ แต่ยังไงก็ใจหายนี่หว่า”
“ไอ้บ้า ทำอย่างกับเฟิร์นมันจะแต่งงานวันนี้พรุ่งนี้เลยนะมึง”
“ยังทำใจไม่ได้โว้ย”
พจน์กับอู๊ดดี้ส่ายหน้ากับความกวนประสาทของอนุชิต พวกเขารู้ดีว่าหากเป็นวชิรวิษ อนุชิตเองก็ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขเช่นเดียวกันกับพวกเขา
“หิวไหม กินอะไรไหม” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างกายหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่บนพื้น ระหว่างที่เธอกำลังแกะกล่องของขวัญอยู่
“กินไม่ไหวแล้วค่ะ เหนื่อยมากเลย” หญิงสาวตอบกลับโดยไม่ได้หันไปมอง
“เดี๋ยวพี่ไปเอาอะไรมาให้รองท้อง” มือหนาจับศีรษะทุยโยกเบาๆก่อนจะลุกออกไป
วชิรวิษเดินออกไปจากห้องรับแขกโดยมีหทัยชนกมองตาม หญิงสาวกำลังนั่งแกะของขวัญจากแฟนคลับของเธอ โดยมีน้ำฝนและวชิรวิษคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ เมื่อเขาเห็นว่าหญิงสาวนั่งอยู่นานและยังไม่ได้กินอะไรจึงอาสาไปหาของกินมาให้เธอ
“เฟิร์น พี่ว่าคิวชอบเฟิร์น” น้ำฝนรอจนชายหนุ่มเดินออกไปไกลจึงพูดเบาๆกับหทัยชนก
“เฟิร์นรู้ แต่เฟิร์นแค่รอพี่คิวพูดออกมาเอง” หญิงสาวพยักหน้ารับ พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ
“พี่ว่าก็ไม่มีอะไรเสียหายนะ โตๆกันแล้ว หน้าที่การงานก็ดีทั้งคู่”
“เฟิร์นกับพี่คิวรู้จักกันตั้งแต่เฟิร์นยังเด็ก มันเลยจุดที่จะต้องมาทำความรู้จักกันแล้วล่ะพี่ฝน”
“ก็ใช่ไง แล้วเฟิร์นอายุ 22 แล้ว การจะมีใครสักคนเคียงข้างก็ไม่แปลกนะ”
“ไม่รู้สิ เฟิร์นว่าปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตจะดีกว่า ไม่แน่สักวันพี่คิวอาจจะขอเฟิร์นแต่งงานทั้งที่ไม่ได้คบกันก็ได้นะ”
“บ้า ไม่ขนาดนั้นมั้ง”
“เอ้า ใครจะไปรู้ล่ะพี่”
หทัยชนกพูดทีเล่นทีจริงกับผู้จัดการส่วนตัวของเธออย่างอารมณ์ดี หญิงสาวนั่งแกะของขวัญไปหลายชิ้นจนเริ่มเหนื่อย จึงละมือจากกองของขวัญตรงหน้าแล้วลุกขึ้นมาทิ้งตัวนอนบนหงายโซฟา
“มาแล้วจ้ะ พี่ฝน ผมเอามาให้ด้วย พักกันก่อน” ร่างสูงเดินเข้ามาพร้อมกับของกิน 2 จานใหญ่
“พี่ออกไปกินข้างนอกดีกว่า 2 คนกินกันไปนะ.....”
“.....”
“.....กินข้าวกันไปนะ” น้ำฝนนึกได้ก็สะดุ้งก่อนจะพูดใหม่แก้เก้อ เมื่อทั้งหทัยชนกและวชิรวิษพร้อมใจกันหันมามองเธอ
หลังจากน้ำฝนเดินออกไปจากห้อง หทัยชนกก็ลุกขึ้นจากโซฟาด้วยแรงดึงจากร่างสูงที่ช่วยดึงเธอให้ลุกขึ้นมานั่งกินข้าว หญิงสาวมองเขาออกว่าเขาสนใจเธอมานานมากแล้ว เธอมั่นใจตั้งแต่วันที่เขาถามเธอว่าเธออายุเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเขาแค่รอเวลาให้เธอโตพอเท่านั้น เพราะตัวเขาเองไม่เคยขาดการติดต่อกับเธอเลยแม้แต่วันเดียว