เมื่อใกล้ค่ำชายหนุ่มก็ไปหาปลาด้วยอุปกรณ์ที่ติดมากับเรือเล็ก ส่วนหญิงสาวกับลูกก็ตามไปหลังจากที่เธอสามารถหาท่อนไม้แห้งขนาดใหญ่มากันไฟไม่ให้ดับสนิท
“ตามมาทำไมเดี๋ยวไฟก็ดับหรอก”
“ก็ลูกอยากมาดูคุณจับปลา แต่ไม่ต้องห่วงฉันหาขอนไม้ใหญ่ไปใส่กองไฟแล้ว รับรองไฟไม่ดับชัวร์”
“ตามใจ”
“คุณพ่อได้ปลากี่ตัวแล้วคะ”เด็กหญิงชะเง้อมองดูผู้เป็นพ่อหาปลาด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ยังไม่ได้เลยค่ะ”ชายหนุ่มนั่งรอเหยื่อติดเบ็ดอยู่ตรงซอกหินใหญ่อย่างมีความหวัง
“คุณใช้อะไรเป็นเหยื่อ”
“ก็ไส้เดือนดินที่เพิ่งไปหามาได้”
“ตอนไปหาขอนไม้ฉันเจอหนอนด้วงที่มันกินไม้คุณลองใช้มันเป็นเหยื่อสิ”
“คุณกล้าไปจับมาให้ผมหรอ?”
“ไม่กล้า”หญิงสาวส่ายหน้าเมื่อนึกถึงหนอนตอนที่มันดิ้นไปมา
“งั้นพาผมไปจับหน่อย”
“มันอยู่ในขอนไม้ที่ฉันเพิ่งเผาในกองไฟไม่รู้ป่านนี้มันโดนเผาไหม้ไปรึยัง”
“โอเค งั้นคุณมาแทนที่ผมแป๊บ”ชายหนุ่มลุกให้หญิงสาวมานั่งตกปลาแทน ส่วนตัวเขานั้นกลับไปหาเหยื่อจากขอนไม้ตามที่หญิงสาวแนะนำ และไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมหนอนด้วงที่ใส่ไว้ในขวดพลาสติก
“เอาไปไกลๆฉันนะ น่ากลัว”หญิงสาวแสดงท่าทีขยะแขยงตัวหนอนที่ดิ้นไปมาอยู่ในขวดพลาสติก
“กลัวทำไม มันกินได้ ถ้าเราโชคร้ายไม่มีเบ็ดนี่ผมว่าจะพาคุณหากินเจ้าด้วงนี่แหละ”
“หยี๋ ถ้าให้กินเจ้าด้วงนี่ฉันยอมอดตายดีกว่าแหวะ แค่คิดก็ขนลุก”
“ถ้าขยะแขยงมันมากก็ไปไกลๆเดี๋ยวผมจะจับมันเกี่ยวเบ็ด”
“คุณพ่อคะ หนูไม่กลัว หนูว่ามันน่ารักดีออก”เด็กหญิงเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นพ่อแล้วนั่งดูเจ้าหนอนด้วงที่ดิ้นไปมาอยู่ในขวด
“งั้นช่วยถือขวดให้พ่อหน่อยได้มั้ยคะ พ่อกลัวลมจะพัดมันปลิว”
“ได้ค่ะ”เด็กหญิงนั่งถือขวดอยู่เคียงข้างผู้เป็นพ่อที่กำลังรอปลามาติดเบ็ดอย่างใจจดใจจ่อ
“อย่างเสียงดังนะเดี๋ยวปลามันจะกลัวแล้วไม่กล้ามาว่ายน้ำแถวนี้”
“ค่ะ หนูจะนั่งเงียบๆไม่รบกวนคุณพ่อ”
“ได้แล้ว! เราได้ปลามาแล้ว”ชายหนุ่มรีบดึงคันเบ็ดขึ้นเมื่อมีปลามาติดเบ็ดจากนั้นเขาก็นำปลาไปทิ้งไว้บนชายหาด
“คุณพ่อเก่งที่สุดเลย”เมื่อเด็กหญิงเห็นปลาตัวใหญ่ติดเบ็ดก็แสดงท่าทีดีอกดีใจ
“คุณช่วยจัดการมันหน่อยนะเดี๋ยวผมจะตกปลาต่อ ”
ชายหนุ่มใช้เวลาตกปลาตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงค่ำ จากนั้นเขากลับไปยังที่พักพิงพร้อมกับปลาตัวเล็กตัวใหญ่
“เมื่อไหร่จะได้กินคะ หนูหิ้วหิว”เด็กหญิงนั่งจ้องปลาที่กำลังถูกย่างด้วยถ่านไฟร้อนแล้วกลืนน้ำลายลงคอ
“รอสักแป๊บนะคะ มันใกล้จะสุกแล้ว”
“เราต้องกินปลาอีกกี่วันคะคุณแม่”
“ก็จนกว่าจะได้ออกจากเกาะนี้”
“เฮ้อออ”เด็กหญิงถอนหายใจยาว
“อย่าน้อยเราก็มีอะไรให้กินนะ ดีกว่าอดตาย”
“ถ้าออกจากเกาะนี้ไปได้หนูจะกินทุกอย่างเลย”
“แล้วห้ามกินทิ้งกินขว้างด้วยเข้าใจมั้ย”
“ค่ะ หนูจะไม่กินทิ้งกินขว้างอีก”เด็กหญิงเผยใบหน้าเศร้าเมื่อนึกถึงอาหารอร่อยๆที่เคยกินแบบทิ้งๆขว้างๆ
“ปลากสุกพอดี มาเดี๋ยวแม่ป้อน”
“กินเองไม่ได้หรอคะ เราจะได้กินพร้อมกัน”
“ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวก้านคิดคอ”
“งั้นคุณแม่กินไปด้วยป้อนหนูไปด้วยได้มั้ยคะ หนูอยากกินพร้อมคุณพ่อคุณแม่”
“ถ้าอยากกินพร้อมกันต้องรอปลาของคุณพ่อสุกก่อนนะคะ”
“ปลาของผมสุกพอดี”
“งั้นเรามากินพร้อมกันนะคะ”
สามคนพ่อแม่ลูกนั่งแกะเนื้อปลากินในค่ำคืนที่พระจันทร์เกือบเต็มดวงซึ่งมันส่องแสงสว่างไม่น้อยไปกว่าคืนที่พระจันทร์เต็มดวง แม้ปลาจะเป็นอาหารที่หากินง่ายและราคาถูกแสนถูกเมื่อตอนที่อยู่ในเมือง แต่ ณ ตอนนี้มันกลับมีค่ามากสำหรับพวกเขา เมื่อทั้งสามกินอิ่มกันแล้ว ชายหนุ่มกับหญิงสาวก็แบ่งกันดื่มน้ำมะพร้าวอย่างประหยัด
“ยังไม่อิ่มอีกหรอคะ”หญิงสาวให้นมลูกสาวในขณะที่นั่งพิงไฟอุ่นๆ
“เหลือไว้ให้พ่อกินบ้างนะ อย่ากินหมด”ชายหนุ่มแซวลูกสาวที่กำลังนอนดูดนมอยู่บนตักผู้เป็นแม่
“ทะลึ่ง! หันหน้าไปทางอื่นเลยไม่เห็นรึไงว่าฉันให้นมลูกอยู่
“เห็นกันมาหมดแล้วยังจะอายอีกหรอ”
“ถ้าคุณไม่หันหน้าไปทางอื่นฉันจะเอาไฟนี่จี้นะ”หญิงสาวหยิบฟืนที่ติดไฟแล้วชี้ไปยังชายหนุ่ม
“โอเคๆ ผมหันไปทางอื่นก็ได้ เสร็จแล้วบอกละกัน”พูดจบชายหนุ่มก็หันหน้าออกไปทางทะเล
“คุณช่วยอุ้มลูกเข้านอนหน่อย”หญิงสาวให้นมลูกจนกระทั่งเด็กหญิงหลับคาเต้า แต่ด้วยความที่เธอกลัวว่าถ้าลุกแล้วอาจทำให้เด็กหญิงตื่นจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่ม
“คุณไม่นอนพร้อมลูกหรอ?”เมื่อชายหนุ่มอุ้มลูกสาวเข้านอนเสร็จก็กลับมานั่งผิงไฟต่อ
“คำถามนี้ฉันควรถามคุณมากกว่า”
“ถ้าผมนอนแล้วใครจะเฝ้าเวร”
“ก็ฉันนี่ไง”
“ไม่ต้องเดี๋ยวผมเฝ้าเอง”
“แต่คุณไม่ได้หลับตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะเดี๋ยวก็น็อคตายพอดี”
“ผมไหว”ชายหนุ่มพูดทั้งที่ตาแทบปิดสนิท
“คุณต้องดูแลฉันกับลูกนะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาฉันกับลูกจะอยู่ยังไง คุณหลับเถอะเดี๋ยวฉันเฝ้าเวรเอง”
“คุณไหวหรอ?”
“แค่คืนเดียวสบายมาก อีกอย่างค่อยไปนอนกลางวันเอา”
“งั้นผมนอนละนะ ถ้าไม่ไหวก็มาสะกิดได้”พูดจบเขาก็ล้มตัวนอนข้างลูกสาวและไม่นานเสียงกรนก็ดังขึ้น ส่วนหญิงสาวก็ล้มตัวนอนเช่นกันแต่ยังคงเบิกตากว้าง หญิงสาวนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักจากนั้นก็ลุกกลับมานั่งผิงไฟตรงที่เดิม
“คุณร้องไห้หรอ”ชายหนุ่มตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วพบว่าหญิงสาวกำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้
“เปล่า”หญิงสาวรีบปัดน้ำตาออกแล้วลุกขึ้นยืนจากนั้นก็เดินไปยังบริเวณที่มีต้นมะพร้าว
“ระวังมะพร้าวหล่นใส่หัวนะ”
“คุณเดินตามฉันมาทำไม กลับไปนอนเถอะไม่ต้องมาห่วงฉัน”
“ผมนอนอิ่มแล้ว”
“แต่เมื่อคืนคุณไม่ได้หลับ ดังนั้นคุณควรนอนเยอะๆ”
“ก็ผมตื่นแล้ว และไม่ง่วงด้วยจะให้นอนไปทำไม นอนไปก็ไม่หลับหรอก ว่าแต่คุณเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมร้องไห้”
“ฉันไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย”
“แต่ผมเห็นคุณร้องไห้ตอนที่นั่งผิงไฟอยู่คนเดียว”
“บอกไม่ไร้องก็คือไม่ร้อง จะเซ้าซี้ทำไม”หญิงสาวปฏิเสธทั้งที่เสียงสั่นคลอและมีน้ำตาไหลอาบแก้ม
“บอกผมมาว่าคุณเป็นอะไร”ชายหนุมที่เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปสวมกอดร่างบางด้วยความเป็นห่วง
“ปล่อยฉันนะ”หญิงสาวพยายามแกะมือชายหนุ่มออกแต่เขากลับสวมกอดเธอแน่นกว่าเดิม
“บอกได้มั้ยว่าเป็นอะไรไป”ชายหนุ่มสวมกอดหญิงสาวจากด้านหลังแล้วยื่นใบหน้าซบไหล่เธอไว้
“ขอร้องอย่าทำแบบนี้เลย”การกระทำของเขายิ่งทำให้หญิงสาวร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงร้องไห้ แต่ผมอยากจะปลอบคุณ”
“ถ้าอยากปลอบจริงๆก็ปล่อยฉันไป”
ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็คลายมือออกจากนั้นเขาก็ค่อยๆถอยห่างจากเธอ
“ฉันกลัวเราจะตายกันที่นี่”หญิงสาวหันกลับมาทางชายหนุ่มจากนั้นเธอก็เข้าไปสวมกอดเขาพร้อมกับปล่อยโฮ
“นึกว่าเป็นอะไรที่แท้ก็กลัวตาย”ชายหนุ่มลูบหัวหญิงสาวเบาๆเป็นการปลอบ
“ฉันกลัวพวกเขาตามหาเราไม่เจอ ถ้ามันเป็นแบบนั้นอีกไม่นานเราก็คงตายที่นี่ ฉันกลัวที่ต้องเห็นลูกจากไป และกลัวที่ต้องจากลูกไปด้วย
“แล้วคุณไม่กลัวผมจากไปหรอ”ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ไม่เอาอย่าพูดแบบนั้น ฉันไม่อยากให้ใครจากไปทั้งนั้น คุณอย่าจากฉันไปไหนนะ”หญิงสาวกอดชายหนุ่มไว้แน่นพร้อมกับปล่อยโฮ
“ไม่ ผมจะไม่จากคุณไปไหน เราจะออกจากที่นี่ไปพร้อมกัน”
“สัญญาได้มั้ย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคุณจะไม่ทิ้งฉันกับลูกไป”
“ผมสัญญาจะไม่ทิ้งคุณกับลูก”
“ถ้าคุณทิ้งฉันกับลูกไว้ ฉันจะตามไปบีบคอคุณในนรก”
“ถ้าไปตามในนรกคุณคงไม่เจอผมหรอก เพราะผมจะขึ้นสวรรค์”ชายหนุ่มพูดติดตลกจนหญิงสาวเผลอหลุดขำ
“คนบาปหนาอย่างคุณคงไม่ได้ขึ้นสวรรค์กับเขาหรอก”
“บาปหนาอะไรผมไม่เคยทำบาปกับใครไว้สักหน่อย”
“ก็ทำบาปกับลูกไว้ไง”
“ไม่ใช่เพราะคุณหรอกหรอที่ทำให้ผมต้องกลายเป็นคนแบบนั้น”
“ฉันไปทำอะไรให้คุณ บอกไปแล้วเรื่องยานั่นฉันไม่ได้ตั้งใจ แล้วคุณก็ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้อธิบาย”
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้วผมเองก็ไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นมากหรอก”
“คุณหมายความว่าไง”
“ผมขอถามอะไรหน่อยนะ ทำไมคุณถึงยอมแต่งงานกับผม”
“เพราะฉันโดนพ่อบังคับ”
“คุณโดนบังคับ?”
“ใช่ คิดว่าฉันแต่งงานเพราะพิศวาสคุณรึไง”
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ผมคิดว่าคุณแต่งงานเพราะต้องการหาผลประโยชน์จากผม”
“ไหนหล่าผลประโยชน์ที่ฉันได้รับ ฉันได้อะไรบ้างตั้งแต่แต่งงานกับคุณ”
“ก็สินสอดนั่นไง”
“สินสอดเป็นสิ่งที่ครอบครัวคุณเสนอมาเอง”
“แล้วคุณช่วยอธิบายหน่อยว่าทำไมถึงพยายามอยากมีลูกเพื่อที่จะได้สินสอดอีกครึ่งหนึ่ง”
“ที่ฉันอยากมีลูกกับคุณเพราะเห็นใจแม่คุณต่างหาก”
“อย่าเอาแม่ผมมาอ้างหน่อยเลย ผมไปสืบมาแล้วว่าพ่อคุณนำเงินค่าสินสอดที่เหลืออีกครึ่งไปใช้หนี้ คุณกับพ่อก็เป็นอย่างที่พี่สาวคุณพูดแหละ”
“พี่พายเกี่ยวอะไรด้วย เธอพูดอะไรกับคุณ?”
“ไม่ต้องสนใจหรอก เอาเป็นว่าเรื่องมันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป”
“ถ้าคุณไม่พูดเท่ากับคุณไม่เปิดโอกาสให้ฉันแต่แก้ต่าง งั้นฉันถามหน่อยถ้าคุณเข้าใจตั้งแต่แรกว่าฉันแต่งกับคุณเพราะหวังผลประโยชน์แล้วทำไมถึงไม่ยกเลิกงานแต่ง แล้วคุณแต่งกับฉันทำไมตั้งแต่แรก”
“อยากรู้มั้ยว่าทำไมผมถึงแต่งกับคุณ เพราะผมรักคุณยังไงหล่า”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบหญิงสาวก็ยืนอึ้งอยู่สักพัก
“คุณบอกว่าคุณรักฉัน?”
“ใช่ ผมรักคุณ”
“ตั้งแต่ตอนไหน”
“ตั้งแต่จูบแรกของเรา”
“จูบแรก?”
“ก็ตอนที่เราทั้งสองยังเด็ก เราเล่นแต่งงานกันแล้วคุณก็เป็นฝ่ายจูบผมก่อน”
เมื่อหญิงสาวได้ยินดังนั้นก็นึกย้อนกลับไปในอดีตซึ่งเธอเองก็จำรายละเอียดได้ไม่หมด และเมื่อเธอนึกได้ว่าเคยทำเรื่องโง่ๆอย่างที่เขาพูดก็ถึงกับอยากจะมุดแผ่นดินหนี
“คือตอนนั้นฉันยังเด็กมากแล้วก็ชอบดูการ์ตูนเจ้าหญิงก็เลยทำตามโดยที่ไม่ได้คิดอะไร”
“คุณไม่คิดแต่ผมคิด แล้วผมก็รู้สึกผิดที่ผลักคุณในตอนนั้น มันเหมือนกับผมปฏิเสธคุณทำคุณเสียหน้าและเสียใจ”
“นี่คุณผลักฉันด้วยหรอตอนนั้น”หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างต้องการเอาเรื่อง
“ใช่ผมผลักคุณ แล้วตั้งแต่นั้นมาคุณก็ไม่มาเล่นบ้านผมอีกเลย”
“ที่ฉันไม่ไปเล่นบ้านคุณเพราะแม่คุณกับแม่ฉันมีเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่พวกเขาก็กลับมาคืนดีกันภายหลัง อันนี้ฉันเพิ่งมารู้ตอนโต”
“แต่ผมไม่รู้เรื่องที่แม่ของเรามีปัญหากัน ตอนนั้นผมถามถึงคุณบ่อยๆแต่ท่านปฏิเสธที่จะตอบ ผมพอดูออกว่าแม่ไม่อยากพูดถึงครอบครัวคุณผมเลยเลิกถาม พอโตขึ้นแม่พูดถึงครอบครัวคุณอีกครั้งแต่เป็นแค่เรื่องที่คุณย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ในตอนนั้นผมก็คิดว่าจะไม่ได้เจอคุณอีกจนกระทั่งเรากลับมาพบกันอีกครั้งในวันที่ครอบครัวคุณมาที่บ้านผม ตอนนั้นผมกลัวคุณจะหายไปอีก กลัวคุณจะย้ายกลับไปอยู่ต่างประเทศเลยไม่ลังเลที่จะขอคุณแต่งงาน ผมตั้งใจรักคุณอยากแต่งงานกับคุณอีกครั้งเหมือนกันกับที่เราเคยแต่งเล่นๆเมื่อครั้งที่เรายังเด็ก แต่ในวันแต่งงานผมเจอกับพี่สาวคุณและพี่สาวคุณก็พูดบางสิ่งบางอย่างกับผม”พูดจบเขาก็นึกย้อนกลับไปในคืนงานแต่งของทั้งสอง
“พายไม่เข้าไปในงานหรอ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“พี่โปรดคิดดีแล้วใช่มั้ยที่เลือกแต่งงานกับยัยแพท”
“พายพูดแบบนี้หมายความว่าไง นั่นน้องสาวนะ”
“ก็เพราะยัยแพทเป็นน้องสาวไง พายเลยต้องมาอยู่ในจุดนี้ วันนั้นเกิดอะไรขึ้นทำไมพี่โปรดถึงตัดใจเลือกแต่งกับยัยแพท”
“พี่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้พาย เอาเป็นว่าพี่เลือกที่จะแต่งกับแพทแล้วพายก็ควรเคารพการตัดสินใจพี่ เคารพการตัดสินใจของทุกคน”
“วันนั้นที่บ้านพี่ พายเห็นยัยแพทเดินตัวเปียกออกจากสระว่ายน้ำ เธอจงใจลงไปในสระน้ำเพื่อยั่วพี่โปรด”
“ไม่จริง พี่เป็นคนผลักแพทลงไปเอง”
“ไม่จริง พายไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ อีกอย่างที่พี่อยากบอกพายตรงๆคือ ต่อให้ไม่มีแพทพี่ก็ไม่มีวันแต่งงานกับพาย”
“แต่พายรักพี่โปรดและนักมานานแล้วด้วย”
“พี่เองรักแพทและรักมานานแล้วด้วย”
“แต่ยัยแพทไม่ได้รักพี่ พ่อกับยัยแพทรุมหัวกันจะเอาสินสอดร้อยล้านให้ได้ ในข้อตกลงคือครอบครัวพี่จะจ่ายค่าสินสอดให้ครึ่งหนึ่งในวันแต่งงาน ส่วนอีกครึ่งที่เหลือจะให้ก็ต่อเมื่อยัยแพทมีทายาทให้ เชื่อเถอะว่ายัยแพทไม่ยอมปล่อยให้เงินห้าสิบล้านหลุดเงินไปง่ายๆ คนหน้าเงินอย่างยัยแพทต้องหาทางทำทุกอย่างเพื่อที่จะมีลูก ถ้าไม่เชื่อพี่ก็ลองไม่นอนกับยัยแพทสิ รอดูว่ายัยแพทจะอยู่เฉยๆหรือจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินห้าสิบล้านที่เหลือ
“พายหยุดพูดเพ้อเจ้อสักทีเถอะ อย่าทำตัวอิจฉาน้องสาว ต่อให้ชีวิตคู่ของพี่กับแพทอาจจะเริ่มต้นจากความรักของพี่ฝ่ายเดียวแต่พี่เชื่อเสมอว่าพี่สามารถทำให้แพทรักพี่ได้ไม่ยากเผลอๆแพทก็อาจจะรักพี่อยู่เหมือนกัน อีกอย่างพี่เชื่อว่าแพทไม่ใช่คนเห็นแก่เงินอย่างที่พายพยายามจะใส่ร้าย”
“ถ้าพี่โปรดคิดว่าพายใส่ร้ายน้องตัวเอง ก็ลองพิสูจน์ก่อนสิคะ ถึงตอนนั้นค่อยมาว่าพาย”