“ควันไฟเยอะขนาดนี้ไม่มีคนเห็นเลยหรอ”ชายหนุ่มตัดพ้อด้วยใบหน้าที่ดูเหน็ดเหนื่อย เมื่อเขาใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการเผาเศษไม้จนเกาะทั้งเกาะเต็มไปด้วยควันไฟแต่ก็ไม่มีวี่แววจะได้รับความช่วยเหลือ
“นั่นสิ นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว”
“สงสัยเราคงต้องนอนที่นี่อีกคืน”
“เราขาดน้ำมาได้หนึ่งวันเต็มแล้ว ถ้าต้องติดอยู่บนเกาะนี้อีกสองสามวันโดยที่ไม่มีน้ำดื่มคงได้ตายกันแน่”
“งั้นเราคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะต้องติดอยู่บนเกาะนี้อีกนานแค่ไหน”ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าการติดอยู่บนเกาะโดยที่ไม่มีน้ำดื่มนั้นคือหายนะ
“นั่นคุณจะทำอะไร”เมื่อเหญิงสาวเห็นเขาเดินไปที่ต้นมะพร้าวเธอก็รีบตามไปพร้อมกับอุ้มลูกสาวไปด้วย
“เราต้องผ่าลูกมะพร้าวให้ได้”ชายหนุ่มเดินเก็บลูกมะพร้าวแก่ๆที่หล่นตามพื้น ส่วนหญิงสาวที่เห็นดังนั้นก็ช่วยเขาเก็บ และไม่นานพวกเขาก็กลับมายังที่พักพิงพร้อมกับลูกมะพร้าวที่เก็บมาได้ทั้งหมด
“แล้วจะผ่ามันยังไงในเมื่อเราไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย”
“เราต้องเอามะพร้าวนี่ไปเผาเพื่อให้เปลือกด้านนอกไหม้สักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ พอเปลือกด้านนอกไหม้ก็จะแกะออกง่ายจากนั้นก็ใช้ก้อนหินแข็งทุบให้มันแตก”ชายหนุ่มไม่เพียงอธิบายแต่เขาลงมือทำไปด้วย และแม้ความเป็นจริงการทำเช่นนั้นมันจะไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่เขาก็ใช้ความพยายามจนทำสำเร็จ
“คุณแม่คะอันนี้มันคืออะไร”
“มันคือจาวมะพร้าวค่ะ กินได้”
เมื่อเด็กหญิงได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ
“คุณแม่คะ มันอร่อยจังเลยกินแล้วสดชื่นสุดๆ”เด็กหญิงเผยรอยยิ้มเมื่อได้กินของอร่อย ส่วนผู้เป็นพ่อและแม่ที่เห็นดังนั้นก็เผลอยิ้มตาม
“เราต้องแบ่งมะพร้าวไว้บางส่วนเผื่อพรุ่งนี้ยังไม่ได้กลับ”ชายหนุ่มตุนมะพร้าวที่เหลืออีกครึ่งไว้ยามหิวน้ำในวันถัดไป
“ทำไมมันเปรี้ยวจังเลย”ด้วยความที่ลูกมะพร้าวที่พวกเขาได้มาส่วนใหญ่นั้นเป็นมะพร้าวแก่ที่หล่นเองทำให้รสชาติของมันค่อนข้างเปรี้ยวจนหญิงสาวถึงกับหน้าย่น
“ทนดื่มไปก่อนดีกว่าอดน้ำตาย”พูดจบชายหนุ่มก็ดื่มน้ำมะพร้าวซึ่งมีรสชาติค่อนข้างเปรี้ยวด้วยความกระหาย
“คุณแม่ หนูไม่ดื่ม”เมื่อเด็กหญิงได้ลิ้มลองรสชาติเปรี้ยวจากน้ำมะพร้าวก็คายทิ้งแล้วปฏิเสธที่จะกลืนมันเข้าไป
“เราจะทำยังไงกันดี”หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มด้วยความกลุ้มใจ
“คงต้องรอให้ได้จาวมะพร้าวก่อนเพราะในจาวมะพร้าวก็มีน้ำเหมือนกัน ไม่ถ้าลูกหิวน้ำมากๆก็กินนมไปก่อน”
“แล้วมันจะมีจาวมะพร้าวอีกหรอ”
“ดูจากลักษณะมะพร้าวแล้วน่าจะมีอีกสองสามลูก”ชายหนุ่มกล่าวอย่างมีความหวัง ส่วนหญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้ม
“คุณแม่คะ หนูอยากไปเดินเล่นตรงโน้น”เด็กหญิงชี้ไปยังจุดที่มีหญ้าและดอกไม้ซึ่งมีสีสันสะดุดตา
“คุณพาลูกไปเดินเล่นเถอะ เดี๋ยวผมจะเฝ้ากองไฟนี้เอง”ด้วยความที่เขาก่อไฟด้วยความยากลำบากและกว่ามันจะติด ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องคอยเฝ้าไม่ให้กองไฟนั้นดับเพราะไม่เช่นนั้นต้องก่อไฟใหม่อีกรอบซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะติดหรือไม่ติด
…
“คุณพ่อช่วยใส่มงกุฎให้หนูหน่อยได้มั้ยคะ”เด็กหญิงเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อพร้อมกับยื่นมงกุฎดอกหญ้าซึ่งใช้เวลาทำกว่าครึ่งชั่วโมง
“น้องปิ่นทำเองหรอคะ”
“คุณแม่เป็นคนทำค่ะ ส่วนหนูช่วยคุณแม่เด็ดดอกไม้กับหญ้า”
เมื่อชายหนุ่มเห็นมงกุฎดอกหญ้าที่อยู่ในมือของลูกสาวก็ทำให้เขานึกย้อนกลับไปในอดีต
“แพทมีอะไรจะให้พี่โปรด”เด็กหญิงเดินเข้าไปหาเด็กชายด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย
“แพทมีอะไรจะให้พี่หรอ”เด็กชายสงสัยเมื่อเห็นเด็กหญิงซ่อนบางสิ่งไว้ข้างหลัง
“อ่ะ แพทให้พี่โปรดนะ”เด็กหญิงรวบรวมความกล้ายื่นมงกุฎดอกหญ้าซึ่งทำเองกับมือให้กับเด็กชายที่เธอแอบชอบ
“ให้พี่ทำไม พี่ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”
“พี่โปรดช่วยสวมให้แพทหน่อย”เด็กหญิงยื่นมงกุฎดอกหญ้าให้เด็กชายอีกครั้ง
“ก็ได้ เดี๋ยวพี่สวมให้”เด็กชายถอนหายใจแต่ก็ปฏิบัติตามคำขอของเด็กหญิง
“พี่โปรดแบมือหน่อย”
“อะไรอีก”เด็กชายแบมือด้วยท่าทีรำคาญเด็กหญิง
“ใส่ให้แพทหน่อย”เด็กหญิงนำแหวนปลอมที่พกมาด้วยวางบนมือของเด็กชาย
“แพทจะทำอะไรบอกพี่ก่อน”
“เรากำลังแต่งงานกัน”
“แต่งงาน!”เด็กชายอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ใช่ค่ะ เรากำลังแต่งงานกันเดี๋ยวพี่โปรดใส่แหวนตรงนิ้วนางข้างซ้ายให้แพทนะคะ เดี๋ยวแพทจะสวมใส่พี่โปรดคืน”
“อ่ะๆแต่งก็แต่ง”ด้วยความที่เด็กชายอยากกลับเข้าไปเล่นในบ้านกับเพื่อนคนอื่นๆจึงรีบสวมแหวนให้เด็กหญิงซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนแม่
“มาเดี๋ยวแพทสวมแหวนให้พี่โปรดคืน”เด็กหญิงสวมแหวนให้เด็กชายด้วยสีหน้าจริงจัง
“เสร็จแล้วพี่ไปได้รึยัง?”
“พิธียังไม่จบ”พูดจบเด็กหญิงก็เขย่งเท้าแล้วจูบเด็กชายซึ่งตัวสูงกว่า
“ทำอะไรของแพทเนี่ย!”เด็กชายผลักเด็กหญิงออกด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน เดิมทีเด็กชายตั้งใจจะกลับไปเล่นกับเพื่อนต่อแต่พอเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ตัดสินใจกลับเข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง เมื่อเด็กชายถึงห้องก็รีบล็อคประตู จากนั้นก็ไปยืนอยู่หน้ากระจกแล้วเอามือสัมผัสกับริมฝีปาก เมื่อเด็กชายยืนมองตัวเองผ่านกระจกก็พบว่าแก้มทั้งสองข้างแดงเป็นลูกตำลึง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเด็กหญิงก็ไม่มาเล่นที่บ้านอีกเลยจนกระทั่งเวลาผ่านไปพ่อของเด็กชายประสบความสำเร็จในธุรกิจนั่นจึงทำให้เขาต้องย้ายถิ่นฐานไปยังตัวเมืองที่มีแต่ความวุ่นวาย แม้เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเขาอายุได้เพียงสิบขวบแต่มันก็ทำให้เขาจดจำไม่เคยลืม
“คุณพ่อเป็นอะไรคะ?”เมื่อเด็กหญิงเห็นผู้เป็นพ่อยืนเหม่ออยู่นานจึงเดินเข้าไปสกิด
“ว่าไงนะคะ?”เมื่อชายหนุ่มได้สติก็รับมงกุฎที่ทำจากดอกหญ้า
“หนูถามว่าคุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าเห็นยืนเหม่ออยู่ตั้งนาน”
“พ่อไม่เป็นอะไรค่ะ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“คุณพ่อสวมมงกุฎให้หนูได้รึยังคะ”
“มาๆเดี๋ยวพ่อสวมให้”ผู้เป็นพ่อนั่งคุกเข่าแล้วสวมมงกุฎที่ทำจากดอกไม้ใบหญ้าให้ลูกสาวพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น