“คุณพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนที่บาร์บนตึกหกสิบเหรอคะ?” เธอพูด
“เปล่าเลย” เขายิ้ม ดวงตาเขาหลุบต่ำมองริมฝีปากเธอ “ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร…ที่ไหนเลย”
ความเงียบปกคลุมเพียงชั่ววินาที ก่อนสายลมจะพัดอีกครั้ง กลีบดอกไม้แห้งจากแจกันบนบาร์ปลิวลอยผ่านระหว่างเขากับเธอ เขายื่นมือไปเก็บออกจากชายกระโปรงของเธอด้วยความสุภาพ แต่มือของเขาเฉียดขาเรียวที่โผล่จากรอยแหวกของชุดเดรสยาวอย่างแผ่วเบา สายตาของเขาสบกับเธออีกครั้ง
เขายังคงยิ้มบาง ดวงตาคมคู่นั้นไม่วอกแวกแม้เพียงเสี้ยววินาที เขารู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้า…รู้ตัวทุกอย่าง และยิ่งเธอรู้ว่าเขากำลังสนใจ เธอก็ยิ่งเปล่งประกายราวเพชรในเงามืด
“คุณมักมาคนเดียวหรือเปล่าครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบ แต่ทุ้มลึกอย่างตั้งใจ น้ำผึ้งยกแก้วเนโกรนี่ขึ้นจิบอีกครั้งทังที่บาร์เทนเดอร์เสิร์ฟแก้วใหม่ให้เธอ เธอไม่ได้ตอบทันที ปลายนิ้วเธอลูบขอบแก้วบางเบา ดวงตากวาดมองไปยังแสงไฟเมืองเบื้องล่างเหมือนเธอไม่ได้ใส่ใจคำถามนั้น
“ไม่จำเป็นต้องมีคนไปกับฉันทุกครั้งค่ะ บางที่…ก็อยากมาเงียบ ๆ คนเดียว” เธอเอ่ยช้าๆ แล้วหันกลับมาสบตาเขา “แต่คืนนี้…เหมือนโชคชะตาจะอยากให้มีใครมานั่งข้างๆ ฉัน”
คำพูดของเธอทำให้เขาหัวเราะเบา ๆ ริมฝีปากโค้งขึ้นเพียงเล็กน้อย
“โชคชะตา…หรือคุณอนุญาต?” คำพูดของเขาไม่หวือหวา แต่กระตุกหัวใจเธออย่างไม่น่าเชื่อ น้ำผึ้งเอนหลังพิงพนักบาร์ ไหล่เนียนเปลือยภายใต้เดรสเกาะอกแสงสะท้อนเทียนวับวาว เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เล่นเกมพวกนี้บ่อยนัก…แต่ถ้าเขาเริ่ม เธอก็ไม่คิดจะถอย
“ฉันยังไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร…แต่ถ้าคุณคิดจะชนะเกมนี้ คุณต้องเก่งมากพอที่จะทำให้ฉันลืมว่าเคยเจ็บยังไง” น้ำเสียงเธอไม่แสดงความอ่อนแอ มีเพียงความจริง และความมั่นคงในตัวเองที่ไม่ต้องการการปกป้อง เธอเป็นผู้หญิงที่ถูกหักหลัง แต่ไม่เคยแตกสลาย เขาหยิบแก้วของเขาขึ้นมาจิบ ดวงตายังจับจ้องใบหน้าเธออย่างระมัดระวัง ไม่รีบร้อน ไม่เร่งเร้า
“ผมไม่คิดจะแข่งอะไรกับใคร…โดยเฉพาะคนที่เคยทำร้ายคุณ แต่ผมก็ไม่กลัวที่จะทำให้คุณเปลี่ยนใจ…จากคนคนนั้น” เขาพูดเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง น้ำผึ้งนิ่งไปชั่วครู่ คำพูดนั้นไม่หวาน ไม่เยิ่นเย้อ แต่เหมือนหยอดยาพิษเล็ก ๆ เข้าในหัวใจที่เธอคิดว่าชาชิน ใจของเธอกลับเต้นดังขึ้น
“ถ้าคุณเป็นไฟ…ฉันคงจะยืนใกล้คุณได้ไม่นานนัก”
“แล้วถ้าผมเป็นเงา…ที่คอยอยู่ข้างคุณแม้ในวันที่แสงหมดไปล่ะครับ”
เธอยกคิ้วเล็กน้อย หัวเราะเบา ๆ
“งั้นเรามาดูกันค่ะ ว่าคุณเป็นอะไรกันแน่”
เธอดื่มเนโกรนี่ไปแล้วไม่ต่ำกว่าสามแก้ว และต่อด้วยอีกแก้วที่เขาสั่งให้ Old Fashioned ที่มีกลิ่นหอมของออเรนจ์ผสมเบอร์เบิน เธอชอบมันอย่างน่าประหลาด…หรืออาจจะเป็นเพราะเขานั่งอยู่ข้างเธอ
เมื่อเธอลุกขึ้นยืน ร่างกายกลับไม่เชื่อฟัง
“อืม…” เสียงในลำคอเบา ๆ ขณะเธอเซไปด้านข้าง และในเสี้ยววินาที ร่างสูงของภัทรพลก็ขยับเข้ามาทันที แขนแกร่งของเขารับน้ำหนักของเธอไว้ก่อนที่เธอจะเสียหลักไปจริง ๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำหอมที่เขาใช้ คล้ายกลิ่นไม้ผสมเปลือกส้ม อบอุ่นแต่เย้ายวน เธอเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เห็นใบหน้าเขาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจ
“ผมว่า…คุณไม่ควรขับรถคืนนี้นะครับ” เสียงเขาทุ้มนุ่ม ดวงตาคู่นั้นจริงจังแต่ไม่ล้ำเส้น
“ฉันมีบ้าน…ไม่ได้พักโรงแรมค่ะ” น้ำผึ้งพึมพำ ยืดตัวกลับขึ้นมาเต็มความสูง พยายามไม่พิงเขา
“งั้นผมไปส่งคุณที่บ้านเองครับ” ประโยคนั้นไม่ได้เร่งเร้า ไม่มีคำถามซ้ำซากอย่าง ‘อยู่แถวไหนครับ?’ เป็นคำบอกเล่า…เหมือนเขาตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้เธอกลับเอง เธอมองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แบบคนที่เริ่มเหนื่อย มือเรียวเอื้อมไปคว้ากระเป๋าและวางเงินสดจำนวนหนึ่งไว้บนโต๊ะ เคียงข้างแก้วเปล่า ภัทรพลเลิกคิ้วเมื่อเห็นเงินสดปึกนั้น ไม่ใช่แค่พอจ่ายค่าเครื่องดื่ม แต่มากพอสำหรับค่าบาร์ทั้งชั้นคืนนี้
“เยอะไปหรือเปล่าครับ?” เขาถามเธอ
“ฉันไม่ชอบความวุ่นวายตอนเช้า…คิดซะว่าเป็นค่าความเงียบที่ฉันซื้อไว้ล่วงหน้า” เธอตอบเสียงเรียบ แล้วหยิบคลัตช์ขึ้นก่อนจะขยับตัวอีกครั้ง คราวนี้ข้อเท้ากลับอ่อนแรงจนเธอเสียการทรงตัวจริง ๆ
“อ๊ะ…” เธออุทานแผ่วเบา
“ระวังครับ” เขาพุ่งเข้าประคองก่อนที่เธอจะเซล้ม ร่างเธอแนบกับอกเขาเต็มแรงครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้นแรงจนรู้สึกได้ เขาแนบใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมเพียงนิด…แต่ไม่ได้จูบ ไม่ได้แตะต้องเธอเกินความจำเป็น เขาเพียงแค่อยู่ตรงนั้น มั่นคงและอบอุ่นเหมือนกำแพงหินในคืนลมแรง
“พาฉันกลับบ้านทีค่ะ” เสียงเธอแผ่วเบา เหมือนหลุดออกมาพร้อมลมหายใจ
“ด้วยความยินดีครับ คุณ… “เขาหยุดนิดหนึ่งเพื่อรอชื่อของเธอ เธอมองเขา ยิ้มเล็กน้อย
“น้ำผึ้ง”
“พลครับ” เขายิ้มตอบ แล้วยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟด้านข้าง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พาเธอเดินผ่านประตูกระจก ออกไปสู่ลิฟต์ลอยฟ้าที่จะพาเธอลงจากสวรรค์ชั้นหกสิบ คืนนี้ยังอีกยาวไกลและการเริ่มต้นระหว่างพวกเขา…เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น