ชนิตราที่เงียบอยู่นานละสายตาจากนับหนึ่ง ที่เอาแต่ยืนมองคาร์เตอร์ด้วยสายตาเคียดแค้น ไปยังผู้หญิงที่ลูกชายของเธออ้างว่าคือผู้หญิงที่ทำตั้งครรภ์ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าจริงจัง
“เธอได้ท้องกับลูกชายฉันไหม?” เมรี พีอาร์สาวที่คาร์เตอร์พามา นั่งตัวแข็งทื่อเพราะตอนนี้ชีวิตของเธอไม่ต่างจากแขวนอยู่บนเส้นด้าย ระหว่างความเป็นและความตาย พอช้อนตาขึ้นเห็นคาร์เตอร์มองด้วยสายดุดัน คล้ายกับบังคับไม่ให้เธอพูดความจริง เมรีจึงรีบก้มหน้าลงเช่นเดิมขณะขอบตานั้นร้อนผ่าวมือชุ่มด้วยเหงื่อ
แต่พอได้ยินชนิตราถามย้ำเสียงดุ...
“ว่าไง!” เธอจึงช้อนตาขึ้นมองเห็นชายหญิงวัยกลางคน มองเธอด้วยสายตาไม่แตกต่างจากลูกชายของพวกเขา ทำเอาเมรีหวาดกลัวจึงพูดความจริงออกไป
“ไม่ค่ะ หนูไม่ได้ท้อง”
สิ้นประโยคดังกล่าวคาร์เตอร์ก็ถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ เมื่อวันนี้โชคไม่เข้าข้างตนเลย ในขณะที่นับหนึ่งยืนเบะปากมองด้วยความสะใจ ที่ฟ้าดินไม่เข้าข้างคนเห็นแก่ตัวอย่างเขา ส่วนไพศาลและชนิตราเมื่อรับรู้ว่าลูกชายตัวดี จ้างผู้หญิงคนอื่นมาโกหกก็โมโหไม่น้อย แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกไว้ในใจ ไม่อยากดุด่าลูกชายตัวเองต่อหน้าคนอื่น ด้วยคาร์เตอร์ก็ไม่ใช่เด็กอายุน้อยจึงให้เกียรติ
จากนั้นชนิตราก็เอ่ยบอกเมรีด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เธอกลับไปได้แล้ว” เมรีไม่รอช้ารีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง จากนั้นก็เดินออกไปโดยที่ไม่มองหน้าคาร์เตอร์เลย
เมื่อเมรีเดินออกไปแล้ว มิวที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่นานก็ขยับไปกระซิบข้างหูนับหนึ่ง
“โคตรเหี้ยเลยมึง ถึงกับจ้างผู้หญิงคนอื่นมาเป็นมึง มึงต้องทำให้มันรับผิดชอบให้ได้นะหนึ่ง”
“เธอมานั่งนี่” นับหนึ่งยังไม่ได้ตอบมิว เพราะชนิตราเอ่ยบอกพร้อมกับชี้นิ้วยังโซฟาข้างคาร์เตอร์ก่อน เธอจึงเดินไปนั่งลงยังโซฟาพร้อมกับยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ตามมารยาทที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก
“สวัสดีค่ะ” โดยมีสายตาคมกริบมองหน้าเขม็ง ทว่านับหนึ่งกลับไม่สนใจ ส่วนมิวก็ขยับไปยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ เพราะไม่ใช่เรื่องของเธอ
ทางด้านชนิตราเมื่อนับหนึ่งนั่งลงเรียบร้อยก็หันไปทางสามีครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามนับหนึ่งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“ชื่ออะไร?” ขณะสายตาคอยสังเกตท่าทีของเธอว่ามีพิรุธมาหลอกลวงหรือเปล่า
“นับหนึ่งค่ะ” ซึ่งนับหนึ่งก็ตอบด้วยถ้อยคำฉาดฉานไม่อ้อมแอ้ม ทำให้ชนิตรามั่นใจว่าเธอไม่ได้โกหก ทางคาร์เตอร์เมื่อเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองแล้ว จึงเอ่ยบอกแม่ด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
“แม่อยากคุยกับยายนี่ก็คุยไปนะ ผมจะออกไปดื่ม” ขณะกำลังจะลุกขึ้นจากโซฟา ทว่าโดนคนเป็นแม่พูดดักเสียก่อน
“เตอร์ต้องอยู่ด้วย เพราะมันเป็นเรื่องของเตอร์”
“เกี่ยวอะไรกับผม” คาร์เตอร์ตอบกลับอย่างหัวเสีย ส่วนนับหนึ่งที่นั่งฟังอยู่ทนไม่ไหวจึงพูดแทรกออกไป
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงในเมื่อนายทำฉันท้อง”
“ไหนหลักฐานวะ ว่าฉันทำเธอท้อง” คาร์เตอร์หันไปพูดกระแทกใส่หน้านับหนึ่งเสียงดังลั่น ขณะใบหน้านั้นกรุ่นโกรธมากที่เธอเอาเรื่องปวดหัวมาให้ ทั้งที่มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำ ส่วนนับหนึ่งเห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอม นิ้วเรียวยาวชี้ยังท้องของเธอพร้อมกับตอบกระแทกหน้าคาร์เตอร์กลับไป
“นี่ไงหลักฐาน อยู่ในท้องฉันนี่ไง”
“เอากับคนอื่นแล้วโยนให้ฉันรับมากกว่า”
“ถ้าฉันท้องกับคนอื่น ไม่โผล่หัวมาให้นายรับผิดชอบหรอก นิสัยมักง่ายใจเสาะยิ่งกว่าหมาขนาดนี้” นับหนึ่งกับคาร์เตอร์เถียงกันฉอด ๆ โดยไม่มีใครยอมใคร ดวงตาจ้องกันราวกับจะฟาดฟันให้ตายไปข้าง
ขณะชนิตราและไพศาลนั่งฟังเงียบ ๆ และคอยจับใจความกับเรื่องราวที่ได้ยิน
“ก็กลับไปดิแล้วมาเรียกร้องให้รับทำห่าอะไร” นับหนึ่งกำหมัดแน่นกับความเห็นแก่ตัวของอีกคน ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“ถามจริงนายเป็นลูกผู้ชายจริงไหม พ่อแม่สั่งสอนหรือเปล่า ทำไมทำอะไรแล้วไม่รู้จักรับผิดชอบ” ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมานั้น ไม่ใช่เพียงเจ้าของเรื่องเท่านั้นที่ได้ยินแล้วจุก แต่รวมถึงคนเป็นพ่อและแม่ที่นั่งหัวโด่อยู่ก็ทำเอาสะดุ้งไปด้วย
ชนิตราจึงพูดเอ่ยบอกนับหนึ่ง...
“นี่เธอ พูดจาดี ๆ หน่อย” นับหนึ่งได้สติก็รีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองพร้อมกับ
“ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณทั้งสอง แต่ที่หนูพูดทั้งหมดคือเรื่องจริง ถ้าหากพวกคุณไม่เชื่อที่หนูพูด หนูยินดีให้ตรวจดีเอ็นเอ ถ้าหากไม่ใช่ลูกของผู้ชายคนนี้ก็จับหนูเข้าคุกได้เลย” นับหนึ่งพูดพร้อมกับวางใบรับรองการตั้งครรภ์ลงยังโต๊ะกลางโซฟา ชนิตราจึงเลื่อนมือไปหยิบผลตรวจดู ขณะที่หูนั้นฟังในสิ่งที่ลูกชายของเธอพูด
“หึ! งั้นก็เข้าคุกเลยไม่ต้องรอตรวจหรอก เพราะไม่ใช่ลูกของฉันแน่นอน” คาร์เตอร์พูดด้วยใบหน้าเย้ยหยันพร้อมกับเบะปากให้นับหนึ่ง คนตัวเล็กเห็นเช่นนั้นก็มองนิ่ง ๆ ก่อนที่จะตอบกลับด้วยถ้อยคำที่ทำเอาอีกคนร้อน ๆ หนาว ๆ
“งั้นถ้าเป็นลูกของนาย นายยอมติดคุกไหม?”
มิวได้ยินเช่นนั้นก็ตบมือหนึ่งป้าบด้วยท่าทีชอบใจยิ่งกว่าเชียร์มวย แต่พอไพศาลและชนิตราเบี่ยงสายตามองเธอ จึงรีบเก็บมือลงที่เดิมแล้วยืนสงบเสงี่ยม ส่วนคาร์เตอร์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่กล้าตอบอะไรกลับไป นอกจากนั่งมองนับหนึ่งเขม็ง แม้จะมั่นใจว่าไม่ใช่ลูกตัวเองเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ทว่าก็ไม่กล้าเอาหนึ่งเปอร์เซ็นต์ไปแลก
เพราะถ้าหากหนึ่งเปอร์เซ็นต์ดันเป็นลูกของตนจริง ๆ ก็กลัวหมา ถ้าไม่ทำตามที่พูด…
ทางชนิตราและไพศาลกลัวเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้ จึงรีบจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
หลังจากฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น และเห็นท่าทีของนับหนึ่งที่ดูมั่นใจมาก สองชายหญิงวัยกลางคนก็เชื่อเธอไปแล้วครั้งหนึ่ง อีกครึ่งเหลือไว้ตอนผลตรวจดีเอ็นเอออก แม้นับหนึ่งจะดูจริงจังคล้ายกลับไม่ได้หลอกลวงเหมือนที่ลูกชายบอก ทว่าก็เชื่อใจไม่ได้เพราะดูแล้วเธอน่าจะไม่ธรรมดาเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าบุกมาเอาเรื่องคาร์เตอร์ถึงบ้านเช่นนี้
ชนิตราจึงเอ่ยออกไปด้วยท่าทีวางมาด…
“ถ้าเธอมั่นใจว่าลูกชายฉันเป็นพ่อของเด็ก ฉันก็จะรับผิดชอบเธอจนกว่าจะรู้ผลตรวจดีเอ็นเอ”
“แล้วหนูจะรู้ได้ยังไงว่าพวกคุณไม่ได้โกหก”
“งั้นระหว่างรอตรวจเธอก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ และไม่ต้องกลัวฉันไม่รับผิดชอบ หากเป็นหลานของฉันจริง ฉันจะให้ลูกชายรับผิดชอบเธอเอง”
“แม่!”
“ทำไม? ถ้าเป็นลูกของแกจริง ๆ แกจะไม่เป็นลูกผู้ชายรับผิดชอบหรือไง?” ไพศาลเห็นท่าทีตกใจของคาร์เตอร์ก็อดพูดไม่ได้ ร่างสูงได้ยินคำพูดเย้ยหยันของพ่อจึงรีบแก้ตัว
“เปล่า! ผมแค่เรียกแม่เฉย ๆ” แล้วพูดพึมพำคนเดียว
“ไม่ได้รัก แล้วจะให้รับได้ไงวะ” ทว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเต็มสองรูหู นับหนึ่งจึงพูดออกไป
“ฉันให้นายรับ ไม่ใช่ให้นายรัก” สิ้นเสียงเล็กทั้งสองจึงมองหน้ากันด้วยสายตาฟาดฟัน ก่อนที่คาร์เตอร์จะพูดออกไปเสียงดังโดยที่สายตาไม่ละจากนับหนึ่ง
“ถ้าเป็นลูกของผมจริง ไม่ได้เอาลูกใครมายัดให้ ผมก็เป็นลูกผู้ชายพอที่จะรับผิดชอบ” จากนั้นก็ดันตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วออกจากบ้าน เพื่อไปดื่มเหล้ากับเพื่อน โดยมีพ่อกับแม่มองด้วยใบหน้าเรียบนิ่งกระทั่งอีกคนพ้นสายตา
เมื่อภายในบ้านเหลือเพียงนับหนึ่ง ชนิตราก็เอ่ยบอกเธอด้วยน้ำเสียงปกติ ขณะที่ดวงตานั่งมองนับหนึ่งไม่ละไปไหน
“เธอสะดวกวันไหนก็ย้ายเข้ามาได้เลย”
“ค่ะ” นับหนึ่งมองหน้าผู้ใหญ่ทั้งสอง ก่อนจะประนมมือขึ้นกลางหว่างอก แล้วเอ่ยบอกความรู้สึกออกไปด้วยความจริงใจ
“หนูขอบคุณที่พวกคุณเข้าใจหนูนะคะ” ชนิตราไม่ได้ตอบเอาแต่นั่งกอดอกมองนับหนึ่ง ซึ่งต่างจากไพศาลที่พยักหน้าเบา ๆ แล้วดันตัวลุกขึ้นจากโซฟาเดินขึ้นห้องเพื่อพักผ่อน เนื่องจากวันนี้เจอแต่เรื่องปวดสมองทั้งบริษัทและบ้าน
ทางด้านนับหนึ่งเมื่อเห็นว่าทุกอย่างจบสิ้น เธอก็ยกมือไหว้ชนิตราด้วยท่าทีนอบน้อมอีกครั้งพร้อมเอ่ยบอก
“หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ”
จากนั้นก็เดินไปหามิวที่ยืนรออยู่แล้วออกไปข้างนอกบ้าน เมื่อพ้นประตูบานใหญ่มิวก็รีบหันไปมองทางข้างหลัง พอเห็นว่าปลอดคนก็พูดด้วยท่าทีสะใจ
“สะใจฉิบหาย ไอ้ห่านั่นเงียบไปเลย” นับหนึ่งไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะในหัวคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งจบลง หากพ่อแม่ของคาร์เตอร์แข็งข้อไม่เข้าใจและยอมรับก็ยากที่เรื่องนี้จะจบ
“แล้วมึงจะเอายังไงต่อ ย้ายมาอยู่ที่นี่เลยไหม?”
“ย้ายสิ มาถึงขนาดนี้แล้วเรื่องอะไรกูจะยอมลำบากคนเดียว”
“เยี่ยม อย่างน้อยได้เงินแสนเงินล้านมึงต้องได้ โทษฐานไอ้นั่นปากหมาและเห็นแก่ตัว”
“ใช่” นับหนึ่งเดินคุยกับมิวไปยังประตูรั้วด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะภายในใจเต็มไปด้วยความสะใจที่เอาชนะคนเห็นแก่ตัวอย่างคาร์เตอร์ได้ กระทั่งทั้งสองเดินพ้นประตูรั้วมายังหน้าบ้าน นับหนึ่งก็เห็นคาร์เตอร์ยืนกอดอกพิงรถมองเธอด้วยสายตาเคียดแค้น ก็ประหม่าไม่น้อยแต่ก็พยายามทำใจนิ่งเข้าไว้